ตอนที่ 36: ศาลาช่างประดิษฐ์
ตอนที่ 36: ศาลาช่างประดิษฐ์
แสงสีทองปรากฏ แล้วยันต์วิญญาณจึงเสร็จสมบูรณ์
ยันต์วัชระคุณภาพสูงถูกวาดสำเร็จ
“ฟู่…” หวังฝูพ่นลมหายใจเหม็นออกมาขณะมองยันต์วัชระตรงหน้า เขาทราบว่าตัวเองจะได้เข้าสู่สำนักชั้นในค่อนข้างแน่นอนแล้ว
เขาเงยหน้าขึ้นก่อนจะพบกับใบหน้าแย้มยิ้มของหลี่อี้ หลี่อี้ยื่นมือออกไปก่อนยันต์วัชระใหม่เอี่ยมจึงมาอยู่ในมือ เขามองอย่างละเอียดจนถึงขั้นใช้งานมัน แล้วชั้นแสงสีทองจางจึงปกคลุมทั่วร่างกายประหนึ่งเกราะ
“ใช่เลย ยันต์วัชระคุณภาพเช่นนี้ห่างจากระดับสูงสุดเพียงขั้นเดียวเท่านั้น ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีพรสวรรค์ในวิชายันต์เหมือนกัน” หลี่อี้พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งเป็นการยอมรับในตัวหวังฝู
จากนั้นเขามองหลี่เสี่ยวหวนอีกครั้งแล้วเผยรอยยิ้มออกมา “เสี่ยวหวน ครั้งนี้เจ้าไม่ได้หลอกข้า”
“เรื่องนั้น…” หลี่เสี่ยวหวนเงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “ท่านไม่เห็นหรือว่าข้าเป็นใคร… เดี๋ยวนะลุงเจ็ด ข้าเคยโกหกท่านตั้งแต่เมื่อไหร่?” จากนั้นนางลุกขึ้นด้วยความไม่เต็มใจขณะดึงแขนของหลี่อี้แล้วส่ายไปซ้ายทีขวาที “ไม่เคยไม่เคย…”
หลี่อี้ปล่อยให้สั่นอย่างนั้นสักพักก่อนจะแสร้งร้องขอความเมตตาแล้วโยนยันต์ใบหนึ่งออกมา “พอแล้วพอแล้วพอแล้ว สาวน้อยเอ๋ย ข้า ลุงเจ็ด ทำผิดไปแล้วใช่หรือไม่? งั้นเอายันต์ระดับสองที่เจ้าต้องการไป…” เมื่อเห็นหลี่เสี่ยวหวนยื่นมือออกมาด้วยความตื่นเต้น เขาจึงดึงมือออกแล้วเตือนนาง “ยันต์ระดับสองทรงพลังมาก อย่าใช้จนกว่าจะถึงสถานการณ์แห่งความเป็นความตาย แล้วก็อย่าใช้กับศิษย์ร่วมสำนัก”
“ลุงเจ็ดไม่ต้องห่วง เสี่ยวหวนได้สติแล้ว” หลี่เสี่ยวหวนรู้สึกเหมือนกับถูกมดกัด หากไม่ใช่เพราะเป็นลุงเจ็ดแล้วเป็นคนอื่น เกรงว่านางคงคว้าไปนานแล้ว
เมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ หลี่อี้จึงพยักหน้าแล้วส่งยันต์ให้หลานสาว
หลี่เสี่ยวหวนถือยันต์ระดับสองไว้ในมือขณะมองดูทุกคนรอบข้างในตอนนี้ ศิษย์เหล่านั้นพากันหดคอ พวกเขาล้วนเป็นผู้สร้างยันต์ ดังนั้นทุกคนจึงทราบถึงพลังของยันต์ระดับสองซึ่งเทียบเท่ากับการโจมตีขอบเขตสร้างรากฐาน หากไม่มีอาวุธป้องกันแข็งแกร่ง ไม่ว่าใครที่โดนเข้าไปย่อมถึงแก่ความตาย
หลี่เสี่ยวหวนตื่นเต้นหลังจากได้ยันต์มา นางกล่าวลากับหลี่อี้ก่อนออกจากตำหนักยันต์ล้ำเลิศ ไป๋หยิงเฟยย่อมติดตามนาง เหลือเพียงหวังฝูที่เฝ้ามองหลี่อี้ด้วยความคาดหวัง
“มาเถอะ ตามข้าไปจัดการเรื่องเอกสาร เดี๋ยวข้าจะบอกเกี่ยวกับเรื่องของตำหนักยันต์ล้ำเลิศเอง” โชคดีที่หลี่อี้ไม่ลืมหวังฝู เขาหันศีรษะมามองหวังฝู จากนั้นเดินออกจากตำหนักด้านข้างโดยเอามือไขว้หลัง แล้วหวังฝูจึงรีบเดินตาม
สิ่งที่เหลือไว้มีเพียงสีหน้าอิจฉาริษยาของศิษย์ทั้งหลายที่อยู่ด้านหลัง
“พวกเราตำหนักยันต์ล้ำเลิศเชี่ยวชาญการฝึกผู้สร้างยันต์ พวกเราจะรับศิษย์คนใดก็ตามที่มีพรสวรรค์ด้านการสร้างยันต์ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเราพบเจอในคนที่มีการฝึกฝนขอบเขตกลั่นลมปราณระดับห้าเช่นเจ้า”
หวังฝูเกาศีรษะเมื่อได้ยินเช่นนี้ หลี่อี้ยังคงเอ่ยคำต่อไปขณะหวังฝูฟังอย่างตั้งใจ
“การสร้างยันต์มีอยู่สองประเภท ผู้ที่วาดยันต์เพื่อผนึกวิชาทั้งหลายลงไปจะถูกเรียกว่าผู้สร้างยันต์ นี่คือวิธีที่ถูกใช้โดยผู้ฝึกตนในโลกแห่งการฝึกตนเป็นเซียนมากที่สุด อีกประเภทคือปรมาจารย์ยันต์วิญญาณ”
“ด้วยการใช้วิชากระตุ้นพลังวิญญาณเฉพาะตัวเพื่อร่างลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์ จากนั้นจึงกระตุ้นพลังแห่งฟ้าดินเพื่อสลักยันต์ลงไปในกระดาษยันต์ มันจึงถูกเรียกว่ายันต์วิญญาณ แล้วผู้สร้างยันต์ที่วาดยันต์วิญญาณขึ้นมาจะถูกเรียกว่าปรมาจารย์ยันต์วิญญาณ จะว่าไป เจ้าสามารถวาดยันต์วัชระคุณภาพสูงได้ นั่นก็หมายความว่าเจ้าคือปรมาจารย์ยันต์วิญญาณ”
“หากสามารถวาดยันต์ธรรมดาได้ด้วยการคัดลอกพวกมัน ไม่ว่าผู้ฝึกตนคนใดที่พยายามอย่างต่อเนื่องย่อมสามารถประสบความสำเร็จได้ แต่ยันต์วิญญาณนั้นต่างออกไป หากอยากวาดยันต์วิญญาณก็ต้องอาศัยความรู้แจ้งเสียก่อน” เมื่อเอ่ยคำถึงตรงนี้ หลี่อี้จึงหัวเราะสองครั้ง “หากสามารถวาดได้เพียงยันต์ธรรมดา ต่อให้เป็นขั้นสูงสุดก็ไม่อาจสร้างข้อยกเว้นให้กับเจ้าผู้เป็นศิษย์สายนอกและอยู่ขอบเขตกลั่นลมปราณระดับห้าในการเข้าตำหนักยันต์ล้ำเลิศได้”
“ลุงหลี่พูดถูก ข้ายังได้ไปต่อรองในตลาดจนได้วิธีการวาดยันต์ของยันต์วัชระกับยันต์วิญญาณระดับต่ำและระดับกลางขั้นหนึ่งจำนวนมาก ข้าใช้เวลากับกระดาษยันต์จำนวนมากก่อนจะโชคดีพอที่จะทำการวาดได้สำเร็จ” หวังฝูวางตัวพลางแย้มยิ้ม “นับตั้งแต่ได้สัมผัสเกี่ยวกับยันต์ ข้าก็ได้เห็นความลึกล้ำและความกว้างใหญ่ของยันต์ บัดนี้โชคดีพอที่ได้รับความช่วยเหลือจากลุงหลี่จนเข้าตำหนักยันต์ล้ำเลิศเพื่อทำการฝึกฝนยันต์ที่แสนลึกลับได้ ข้าจึงรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างยิ่งนัก ภายภาคหน้า ข้าจะวาดยันต์อย่างตั้งใจเพื่อนำเกียรติมาสู่ลุงหลี่และตอบแทนคุณสำนักอย่างแน่นอน”
มรดกการวาดยันต์นับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ระหว่างทางมาที่นี่ หวังฝูคิดหาข้ออ้างเอาไว้เช่นกัน จากนั้นจึงได้คำตอบเป็นการต่อรองในตลาด ศิษย์นับร้อยเข้าออกตลาดอยู่ทุกวัน ซึ่งสิ่งที่พวกเขาขายล้วนเป็นของแปลกประหลาด ดังนั้นจึงไม่มีทางตรวจสอบได้
มีเพียงวิธีนี้ที่จะสามารถปกปิดมรดกของ “คัมภีร์ยันต์สวรรค์” ไว้กับเขาได้
“ฮ่าฮ่า...” หลี่อี้หัวเราะเสียงดังเมื่อได้ยินเช่นนี้ จากนั้นมองหวังฝูด้วยความพึงพอใจ “เจ้างช่างเป็นคนที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก”
“พรสวรรค์และความเพียรพยายามคือสิ่งสำคัญในการวาดยันต์ แต่การมีผู้เชี่ยวชาญที่คอยช่วยชี้แนะสั่งสอนเจ้าย่อมสำคัญยิ่งกว่า หากในอนาคตเจ้าทำได้ดี ข้าสามารถแนะนำเจ้าให้กับผู้อาวุโสสักสองสามคนได้ ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะต้องตาหนึ่งในศิษย์พี่หรือแม้แต่กับอาจารย์อาจนรับเป็นศิษย์เอกก็ได้ ถึงตอนนั้นเจ้าจะโลดโผนสู่ท้องฟ้าอย่างแท้จริง”
“ขอบคุณอาจารย์ลุงหลี่” หวังฝูบังเกิดความยินดี
ในไม่ช้า หลี่อี้นำหวังฝูไปสถานที่ที่ลงทะเบียนข้อมูลศิษย์ทั้งหลาย แล้วสถานะของหวังฝูจึงเปลี่ยนจากศิษย์สายนอกเป็นศิษย์สายในของตำหนักยันต์ล้ำเลิศอย่างเป็นทางการ
ทว่าเพราะการฝึกฝนไม่เพียงพอของหวังฝู เขาจึงทำได้เพียงรับเงินเดือนของศิษย์สำนักชั้นในกับคู่มือสำนักชั้นในเท่านั้น ส่วนผลประโยชน์อย่างอาวุธวิเศษระดับกลาง อาวุธวิเศษบินได้และที่พักสำนักชั้นในต่างถูกผัดผ่อนไปก่อน แม้ภายนอกหวังฝูจะไม่ได้สนใจเท่าไหร่ แต่ภายในกลับสาปส่งให้หยุด
แต่สิ่งที่ทำได้ก็มีแค่สาปส่งในใจเท่านั้น
นอกจากนี้ หวังฝูยังไม่สามารถไปสถานที่ทั้งหลายในสามยอดเขาของสำนักชั้นในได้ ตามคำอธิบายของหลี่อี้ หากศิษย์ขอบเขตกลั่นลมปราณระดับห้าเตร็ดเตร่บริเวณสำนักชั้นในก็อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้
ท้ายที่สุดมันก็วกกลับมาเรื่องการฝึกฝนที่ต่ำเกินไป
หวังฝูจนปัญญากับเรื่องนี้และทำได้เพียงสาปส่งอยู่ในใจว่าจะต้องพัฒนาการฝึกฝนให้จงได้
หลังจากลงทะเบียนข้อมูลทั้งหมดและเปลี่ยนแผ่นป้ายประจำตัวของศิษย์สายในแล้ว หลี่อี้จึงพาหวังฝูไปตำหนักด้านข้างของตำหนักยันต์ล้ำเลิศ ศาลาศาสตร์ลับ
วิชาส่วนใหญ่ของสำนักขนนกร่วงโรยถูกบันทึกไว้ที่นี่ ซึ่งจัดทำขึ้นโดยตำหนักยันต์ล้ำเลิศโดยเฉพาะเพื่อให้ผู้สร้างยันต์ทำการสร้างยันต์หลังจากทำการฝึกฝนแล้ว
หวังฝูมองค่ายกลอันตระการตาบนชั้นหนังสือจำนวนมากพลางกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก
“ศิษย์ทั้งหลายของตำหนักยันต์ล้ำเลิศสามารถฝึกฝนวิชาที่นี่ได้ แต่ทุกครั้งที่ทำการฝึกฝนวิชา เจ้าต้องวาดยันต์หนึ่งใบที่มีผลแบบเดียวกับวิชาด้วย เริ่มต้นที่หนึ่งร้อยใบ…” หลี่อี้ไม่ประหลาดใจขณะมองหวังฝูด้วยท่าทีสงบ ดวงตาของเขาทอประกายประหนึ่งราดน้ำเย็นอย่างไร้ความปรานี
“หนึ่งร้อยใบ...” หวังฝูพึมพำ ฟังดูเหมือนไม่มาก ด้วยอัตราความสำเร็จในการวาดยันต์ผนึกวิชาธรรมดาแล้ว ใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็เป็นอันเสร็จสิ้น
“เริ่มต้นที่หนึ่งร้อยใบ…” หลี้อี้แก้ไขใหม่ “มันขึ้นอยู่กับระดับของวิชา ส่วนวิธีการวาดยันต์วิญญาณ เริ่มต้นที่หนึ่งพันใบ”
หวังฝูพยักหน้าเพื่อแสดงให้เห็นว่าเข้าใจ
หลังจากมาถึงศาลาศาสตร์ลับ หวังฝูจึงถูกพาไปที่ศาลาช่างประดิษฐ์
มันคือสถานที่ที่ปรมาจารย์ยันต์วิญญาณใช้วาดยันต์ ส่วนตำหนักด้านข้างที่ศิษย์จำนวนมากวาดยันต์ก่อนหน้านั้น มันคือสถานที่ที่ยันต์ธรรมดาถูกวาด จึงถูกเรียกว่าศาลาสร้างยันต์
การตกแต่งในศาลาช่างประดิษฐ์ดีกว่าในศาลาสร้างยันต์ค่อนข้างมาก ไม่เพียงแต่ปรมาจารย์ยันต์วิญญาณจะมีห้องขนาดเล็กเป็นของตัวเองเท่านั้น แต่ปราณวิญญาณที่นี่ยังเข้มข้นมากกว่าอีกด้วย
“ความแตกต่างมากเกินไปแล้ว” หวังฝูถอนหายใจ
“ยันต์วิญญาณทุกใบล้วนสืบทอดต่อกันมา ผู้ที่สามารถกลายเป็นปรมาจารย์ยันต์วิญญาณได้คืออัจฉริยะที่ถูกเลือกจากท่ามกลางผู้สร้างยันต์ พวกเขาย่อมต้องได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่า” หลี่อี้เอ่ยคำ “เจ้าสามารถวาดยันต์วัชระได้ ดังนั้นเจ้าจึงเป็นหนึ่งในนั้น ส่วนวิธีการวาดยันต์ของยันต์อื่นหรือการฝึกฝนวิชาเพื่อวาดยันต์ธรรมดา เจ้าสามารถฝึกฝนได้หลังจากส่งมอบยันต์วัชระให้กับตำหนักยันต์ล้ำเลิศแล้วสิบใบ”
“ก่อนเจ้าจะทะลวงถึงขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสิบ เจ้าสามารถอยู่ที่ห้องภายในตำหนักยันต์ล้ำเลิศได้ แผ่นป้ายประจำตัวของเจ้าจะคอยนำทางให้ หากไม่คุ้นชินก็สามารถใช้ที่พักนอกสำนักได้ตามแต่ที่เจ้าสะดวก เอาละ เจ้ามีคำถามอะไรหรือไม่?”
“ไม่มีแล้ว ขอบคุณอาจารย์ลุงหลี่”
หวังฝูคำนับด้วยความเคารพขณะเอ่ยคำขอบคุณ