บทที่ 48 เมืองฉางเซียนรุ่งเรือง
เมืองฉาง
ที่วัดเวินหวู่
เนื่องจากงานวัดเชงเม้งที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีใกล้เข้ามา ทำให้บรรยากาศรอบๆ วัดเวินหวู่คึกคักขึ้น
โคมไฟ
โคมลอยรูปมังกร
โคมลอยรูปหงส์ไฟ
ผ้าผืนแดงขนาดใหญ่
ร้านค้ารอบๆ วัดเวินหวู่ต่างก็แขวนภาพเขียนคำอวยพรเกี่ยวกับวัดเวินหวู่กันตั้งแต่เช้าตรู่ และเจ้าของร้านต่างก็ยิ้มแย้มแจ่มใสต้อนรับนักท่องเที่ยวจากต่างถิ่นที่มากันอย่างต่อเนื่อง
ถึงแม้ว่าจะยังเหลือเวลาอีกครึ่งเดือนก่อนถึงงานวัดเชงหมิง
แต่บนถนนก็เต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่าน
นักท่องเที่ยวจากต่างถิ่น รวมถึงคุณชาย หญิงสาว นักปราชญ์ พ่อค้า และภรรยาของเจ้าของที่ดิน ต่างก็เดินทางมาเยือนวัดเวินหวู่ล่วงหน้า เพื่อสัมผัสบรรยากาศอันคึกคักก่อนถึงวันงาน
ตามบันทึกประวัติศาสตร์ของเมืองฉางที่มาของวัดเวินหวู่นั้น...
เมืองฉางตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำหยินอี้ ซึ่งเป็นเส้นทางน้ำที่คึกคัก มีเรือสัญจรไปมาตลอดทั้งวัน ทำให้เมืองฉางมีความเจริญรุ่งเรือง
ทำให้ชาวเมืองฉางสามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้อย่างสะดวก
ดังนั้น ผู้คนจากเมืองใกล้เคียงที่ต้องการเข้าสอบขุนนางหรือนักรบ มักจะเลือกเดินทางทางเรือผ่านเมืองฉางเพื่อประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย ทำให้เมืองฉางตัดสินใจสร้างวัดเวินหวู่แห่งนี้ขึ้นมา
วัดเวินหวู่แห่งนี้ ทำให้เมืองฉางได้รับความเจริญรุ่งเรืองและมีรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นอย่างมากในช่วงที่มีการสอบขุนนางและนักรบ
แต่ว่า วัดเวินหวู่แห่งนี้ก็มีความลึกลับน่าสนใจ
ไม่ได้สักการะเทพเจ้าแห่งวัดเวนหวู่
แต่กลับไปสักการะต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์อายุพันปีที่ชื่อ "ต้นหลิวศักดิ์สิทธิ์"
ผู้คนเขียนความปรารถนาและชื่อของตนลงบนแผ่นไม้ไผ่ที่ผูกด้วยเชือกสีแดง แล้วโยนขึ้นไปบนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ โดยเชื่อว่ายิ่งโยนได้สูงเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเป็นสิริมงคล มีโชคลาภ และก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
และแล้ว เมื่อสิบปีก่อน ผลของต้นหลิวศักด์สิทธิ์ก็เปลี่ยนเป็นสีทองคล้ายเหรียญทองคำอย่างน่าอัศจรรย์ นอกจากจะขอพรเรื่องความก้าวหน้าทางการศึกษาและการงานแล้ว ยังมีข่าวลือว่าต้นไม้ต้นนี้สามารถดึงดูดโชคลาภมาให้ได้ ทำให้ทั้งพ่อค้า และคนยากจนต่างก็หลั่งไหลมาขอพร
ทำให้งานวัดเชงเม้งครั้งนี้คึกคักที่สุดในรอบสิบปี
แต่เนื่องจากต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์มีความสำคัญมาก จึงกลัวว่าจะถูกทำลาย วัดเวินหวู่จึงปิดทำการโดยปกติ มีเพียงไม่กี่คนที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลความสะอาด
ดังนั้น วัดจึงเปิดให้เข้าชมเฉพาะในวันงานวัดเชงเม้งเท่านั้น
ด้วยความเข้มงวดเช่นนี้ แม้แต่เจ้าหน้าที่ทางการที่ถูกส่งมาดูแลความปลอดภัยในช่วงงานวัด ก็ยังไม่สามารถเข้าไปในวัดได้
ไม่มีใครรู้ว่าภายในวัดเป็นอย่างไร
และเรื่องราวทั้งหมดนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อสิบปีก่อน หลังจากที่ต้นหลิวศักดิ์สิทธิ์เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าอัศจรรย์ มีคนกล่าวว่าการปิดวัดอย่างเข้มงวดเช่นนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนแฝงตัวเข้ามาทำลายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์
ยิ่งมีคนดูแลวัดน้อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสน้อยที่จะเกิดความผิดพลาด
ผู้พิพากษาจางเข้ารับตำแหน่งมาได้ไม่กี่ปี เมื่อสิบปีก่อนยังไม่ได้เป็นผู้พิพากษาของเมืองฉาง ไม่รู้ว่าเหตุใดผู้พิพากษาคนก่อนถึงยอมให้มีกฎแบบนี้ แต่เนื่องจากเวลาผ่านไปนานมากแล้ว จึงไม่มีใครสามารถหาคำตอบได้ ในที่สุด กฎแปลกๆ นี้ก็ถูกสืบทอดกันมาเรื่อยๆ เป็นเวลาสิบปี
ก่อนถึงวันงานวัดเชงเม้ง วัดเวินหวู่จะไม่เปิดให้บุคคลภายนอกเข้า
แม้แต่เจ้าหน้าทางการหรือตัวผู้พิพากษาเองก็เข้าไปไม่ได้
เพื่อเป็นการให้เกียรติกับผู้พิพากษาคนก่อน ผู้พิพากษาคนปัจจุบันจึงยังคงรักษากฎนี้ไว้
ด้วยเหตุนี้ เจ้าหน้าที่ทางการที่เข้าไปในวัดไม่ได้ จึงไปประจำการอยู่ตามบ้านเรือนที่อยู่ใกล้กับวัดทั้งสี่ด้าน
ตอนนั้นเป็นเวลากลางวันท้องฟ้าแจ่มใส
รอบๆ วัดเวินหวู่ มีเจ้าหน้าที่ทางการสวมหมวกเดินตรวจตราอยู่เป็นระยะ
หัวหน้าหน่วยและเจ้าหน้าที่ทางการที่เคยผ่านประสบการณ์มานาน ต่างก็แอบหลบอยู่ในบ้านพัก เพื่อดื่มชาและอ้างว่าตนเองกำลังเฝ้าดูสถานการณ์อยู่ห่างๆ
กลุ่มคนที่สวมชุดข้าราชการเดินเข้ามาในบริเวณเรือนหลังใหญ่โดยไม่มีสิ่งใดขวาง
ไม่นานนัก มีเจ้าหน้าที่ทางการคนหนึ่งวิ่งเข้ามาในบริเวณเรือนใหญ่ แล้วไปหาหัวหน้าหน่วย
หลังจากที่เจ้าหน้าที่ทางการคนนั้นกระซิบอะไรบางอย่าง หัวหน้าหน่วยก็พยักหน้าแสดงถึงความเข้าใจ แล้วเดินไปยังหน้าห้องห้องหนึ่ง
"หัวหน้าเจิ้ง หัวหน้าจ้าวมาแล้ว ขอเข้ามารับช่วงเวรจากท่านขอรับ”
การรักษาความปลอดภัยวัดเวินหวู่นั้น จะมีการสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันดูแลระหว่างหัวหน้ามือปราบแต่ละคนทุกๆ สอง สามวัน
วันนี้ถึงคราวของของมือปราบจ้าวหยางผิง หนึ่งในสามมือปราบของเมืองฉาง ที่จะมารับช่วงเวร
"หัวหน้าเจิ้ง?"
"หัวหน้าเจิ้ง?"
...
แต่หัวหน้าหน่วยเรียกหลายครั้งก็ไม่มีเสียงตอบรับจากภายในห้อง
หัวหน้าหน่วยคนนี้ดูเหมือนจะชินกับเหตุการณ์เช่นนี้แล้ว จึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร เมื่อเรียกหลายครั้งแล้วไม่ได้รับคำตอบ ก็เลยเดินกลับไปทางเดิม
หัวหน้าหน่วยเดินกลับมาที่ห้องโถงใหญ่ แล้วกล่าวรายงานด้วยความเคารพแก่ชายที่นั่งดื่มชาประมาณว่า: 'รายงานหัวหน้าจ้าว เมื่อสักครู่นี้ข้าไปแจ้งกับหัวหน้าเจิ้งแล้วว่า ท่านหัวหน้าจ้าวมาถึงแล้ว แต่เนื่องจากหัวหน้าเจิ้งกำลังปิดสมาธิอยู่ในตอนนี้ จึงยังไม่ได้ตอบกลับ ข้าจึงขอเรียนท่านหัวหน้าจ้าวโปรดนั่งรออีกสักครู่โดยปกติแล้วหัวหน้าเจิ้งจะปิดสมาธิอยู่นาน และมักจะออกมากินข้าวเพียงเล็กน้อยหลังพลบค่ำ ก่อนจะกลับไปปิดสมาธิและฝึกฝนต่อขอรับ"
ชายร่างสูงใหญ่มีเคราหนาที่ขี่ม้าสีน้ำตาลแดงมาเมื่อครู่นี้ ก็คือมือปราบจ้าวคนนี้
“โอ้? มือปราบเจิ้งเป็นเช่นนี้มาหลายวันแล้วหรือ?”
“ใช่แล้วขอรับ หัวหน้าจ้าว” หัวหน้าหน่วยก้มหัวด้วยความเคารพ
“ไม่เป็นไร งั้นรออีกสักหน่อยแล้วกัน เจ้ารายงานสถานการณ์การป้องกันล่าสุดให้ข้าฟังก่อน”
...
ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ดวงจันทร์ขึ้นส่องแสง ดาวเปลี่ยนตำแหน่ง เวลาผันผ่าน
ในเมืองฉางที่ถูกปกคลุมด้วยความมืดมิดในยามวิกาล มีชายร่างสูงใหญ่เดินเงียบเชียบ ไร้เสียงฝีเท้าใด ๆ บนถนนที่เงียบสงบและหนาวเย็นหลังเวลาห้ามออก
เมื่อเดินมาได้ระยะทางหนึ่ง เขาก็เผชิญหน้ากับชาวบ้านที่ถือคบเพลิงคอยตรวจตราอยู่หลายคน
เมื่อชาวบ้านเหล่านั้นมองเห็นใบหน้าของเขา พวกเขาทั้งหมดก็วางอาวุธในมือลงและก้มหัสคารวะด้วยความเคารพ "มือปราบเจิ้ง!"
เมื่อบรรดาชาวบ้านที่ถือคบเพลิงคอยตรวจตราเห็นมือปราบเจิ้งเดินจากไปแล้ว พวกเขาก็เริ่มกระซิบกระซาบกัน
“มือปราบเจิ้งไม่ใช่ว่าอยู่ที่วัดเวินหวู่หรอกเรอะ ทำไมถึงเดินอยู่คนเดียวบนถนนล่ะ?”
“ลืมไปหรือไง วันนี้เป็นวันเปลี่ยนเวรที่วัดเวินหวู่ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป มือปราบจ้าวจะรับผิดชอบดูแลวัดเวินหวู่แทน”
“คือว่า...พวกเจ้าเห็นหน้าตาของมือปราบเจิ้งรึเปล่า…?”
“อย่าพูดถึงเรื่องนี้เลย เดี๋ยวจะไปถึงหูมือปราบเจิ้งแล้วจะเดือดร้อนกันเปล่าๆ เรื่องของมือปราบทั้งสามคนมันไม่ใช่เรื่องที่พวกเราจะไปยุ่งนะ”
“น-นั่นสินะ ไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้วกัน ว่าแต่พวกเจ้าสังเกตเห็นไหม มือปราบเจิ้งเดินไม่มีเสียงเลยนะ”
“จะไปแปลกอะไรเล่า มือปราบเจิ้งเป็นหนึ่งในสามมือปราบของเมืองฉางของเรานะ อาจจะเป็นเพราะช่วงนี้ท่านฝึกฝนวิชาจนสำเร็จ มีพลังมากขึ้นก็ได้ ไปๆๆ ไปลาดตระเวนกันต่อดีกว่า ทำไมคืนนี้มันรู้สึกหนาวๆ อย่างนี้วะ รู้สึกเหมือนมีลมเย็นๆ พัดมาที่ต้นคอตลอดเวลาเลย…”
(จบบท)