บทที่ 32
รถกระบะคันเล็กๆ วิ่งอย่างฉวัดเฉวียนบนถนนภูเขาที่คดเคี้ยวและลาดชันด้วยความรวดเร็ว ท้ายรถบรรทุกผักจำนวนมาก ขณะที่ด้านในตรงเบาะผู้โดยสารมีสมาชิกครอบครัวที่เหลือสามคนนั่งกันอย่างตื่นตระหนก
อู่หลานนั่งอยู่ที่เบาะหลัง มองดูลูกสาวเธอกำลังขับรถไปยังตัวเมืองอย่างคล่องแคล่ว ตอนนี้เธอไม่เสียดายเงินที่ซื้อรถคันนี้ไปแล้ว กลับรู้สึกภาคภูมิใจ
"เห็นไหมว่าการใช้เงินก้อนใหญ่ต้องฟังฉัน ดูซิว่าตอนนี้เราออกไปข้างนอกสะดวกแค่ไหน! ไม่ต้องจ่ายค่าเหมารถอีกตั้งสองร้อยหยวนแน่ะ เสียเปรียบเขาเยอะเลย! "
ซ่งซานเฉินโต้แย้งทันที "นี่! ตอนนั้นคุณยังทำท่าไม่ยอมจะซื้ออยู่เลยนะ แล้วอีกอย่าง ใครกันที่เป็นคนพูดว่าจะสอบใบขับขี่แทนผมน่ะ แต่ไม่เห็นช่วงนี้คุณจะเตรียมตัวอ่านหนังสืออะไรเลยด้วยซ้ำ! "
อู่หลานหัวเราะเย็นๆ "แหม..ใครจะสู้คุณได้ล่ะเล่นอ่านทุกวันเลย ไหนล่ะ ข้อสอบพรีเทสคุณได้คะแนนเท่าไหร่กัน มันจะสูงกว่าฉันสักขนาดไหนกันเชียว! ฉันได้ 81 คุณได้เท่าไหร่ตาเฒ่า! "
ซ่งซานเฉินเงียบไป
"แม่ หมูของผมอยู่ไหน" จู่ๆ เฉียวเฉียวที่นั่งอยู่ที่เบาะข้างหน้าข้างคนขับก็ถามขึ้น
เขาจำไม่ค่อยได้ ข้อสอบเหล่านั้นดูยากเกินไป เหมือนจะได้แค่ 75 คะแนนถ้าจำไม่ผิด
ซ่งถานหัวเราะออกมาเพราะกลั้นขำไม่อยู่ เธอรู้ว่าเฉียวเฉียวหมายถึงอะไร เดี๋ยวพอไปบ้านยายรับฟางแห้งเสร็จ แล้วพรุ่งนี้อู่หลานก็จะอุ้มลูกหมูตัวเล็กๆ กลับมาเลี้ยงที่คอก เฉียวเฉียวรอคอยมานานมากแล้ว บ่นคิดถึงแต่หมูสีชมพูกับครอบครัวทั้งวัน
ในกระจกมองหลัง สีหน้าของอู่หลานดูมืดมน ตอบอย่างไม่พอใจ "รอไปเถอะ! พรุ่งนี้ฉันจะไปอุ้มมาให้! แกก็นอนกับหมูแม่ของแกไปเลย! "
เฉียวเฉียวร้องดีใจ "เย้! ผมจะอาบน้ำให้เพ็กกี้! "
ซ่งซานเฉินยิ้ม "โอเค พ่อต่อท่อน้ำไปที่หลังเขาให้แล้ว เดี๋ยวจะได้ล้างคอกหมู เวลาอากาศร้อนๆ เฉียวเฉียวก็จะได้เล่นน้ำได้ด้วยเลย"
สรุปแล้วคนที่โมโหก็มีแต่เธอคนเดียวสินะ
เมื่อรถเลี้ยวเข้าตัวเมือง คณะเดินทางครอบครัวซ่งก็ไปซื้อเนื้อที่แผงขายเนื้อ ส่วนซ่งถานก็ปลีกตัวไปบริษัทขนส่งเพียงคนเดียว
ผู้ช่วยแพทย์เจินหลี่และผู้มีพระคุณต้องได้ผักป่าคนละสิบกิโลกรัม แต่การห่อพัสดุเช่นนี้ก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก พนักงานหนุ่มสาวที่บริษัทขนส่งมองผักป่าจำนวนมากที่เก็บมาอย่างสะอาดสะอ้านเรียบร้อยแล้วลังเลอยู่นาน
"ต้องอัดอากาศใส่ถุงอันนี้จริงๆ เหรอคะ แล้วกล่องโฟมก็ต้องขนส่งแบบแช่แข็งด้วยเหรอ แพงไม่เบาเลยนะคะลูกค้า! จริงๆ ไม่ต้องแช่แข็งก็ได้ เมืองหลวงส่วนใหญ่ขนส่งของเราก็สามารถส่งถึงได้ภายในวันเดียวอยู่แล้ว"
"และก็ดูผักของลูกค้าสดใหม่ดีนะคะ อากาศตอนนี้ก็ไม่ร้อนเท่าไหร่ เราใส่กล่องโฟมแล้วเดี๋ยวฉันจะรีบให้รถเอาไปส่งที่เขตเทศบาลดีกว่า จะได้ทันส่งออกคืนนี้ พอถึงที่นู่นแล้วความสดก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่"
ผักพวกนี้ก็ไม่ได้มีราคาแพงอะไรมากมาย ถ้าจะขนส่งแบบแช่แข็ง แบบนี้ก็ไม่เหมือนกับเอาเนื้อหมูไปขายในราคาเท่าเม็ดลูกกวาดเหรอ จะคุ้มค่าได้ยังไง? ยิ่งเดี๋ยวนี้ตามป่าเขาก็มีผักป่าเต็มเกลื่อนไปหมด ขนาดตามห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ ยังสามารถหาซื้อผักป่าได้ด้วยซ้ำ
ซ่งถานถอนหายใจ เธอก็ไม่อยากจ่ายเงินเพิ่มนักหรอก แต่ก็ไม่มีทางเลือก ผักที่สดและผักที่ไม่สดคุณภาพรสชาติย่อมแตกต่างกัน ไหนๆ ก็ขายในราคาแพงตั้ง 30 หยวนต่อกิโลแล้ว ก็ทำให้รสชาติมันสมราคาหน่อย
เธอหยิบนามบัตรขึ้นมา "ถ้าในอนาคตหนูต้องขนส่งจำนวนมากๆ และต้องแช่แข็งแบบนี้อีก ขนส่งจะลดราคาให้หน่อยได้ไหมคะ และมีบริการรับของถึงที่ด้วยไหม"
พนักงานหนุ่มสาวก็ตกใจ คนแถวนี้แทบไม่เคยได้ใช้บริการรับของถึงที่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ "ลูกค้าอยู่ที่ไหนคะ"
"หมู่บ้านหยุนเฉียวค่ะ"
ใบหน้าของพนักงานหนุ่มสาวเหยเกขึ้นทันที "โห แถวนั้นไปลำบากพอควรเลย... งั้นเอาแบบนี้ ถ้าเกินห้าสิบชิ้น ฉันจะขับรถไปรับเองค่ะ แต่ถ้าแค่ยี่สิบชิ้น ฉันจะคิดราคาเรทพิเศษให้ลูกค้าแทน"
บริษัทขนส่งของพวกเขาขึ้นชื่อเรื่องความรวดเร็วและการจัดส่งถึงจุดหมายปลายทางได้ทั้งทั่วประเทศอยู่แล้ว แต่ก็แลกมาด้วยราคาค่าขนส่งที่ค่อนข้างแพง ทำให้ในเมืองเล็กๆ เช่นนี้คำสั่งซื้อที่ได้รับจึงมีไม่มากนัก
แต่บริษัทขนส่งแห่งนี้มีเธอเป็นเจ้าของกิจการเอง ดังนั้นหากมีลูกค้าดีลใหญ่แบบนี้ เธอก็ยินดีจะลงทุน
"แต่ที่นี่ไม่มีถุงน้ำแข็งนะคะ แต่ยังไงฉันก็ต้องเดินทางไปส่งของที่เขตเทศบาลก่อนบ่ายสองอยู่แล้ว ถ้าลูกค้าไว้ใจฉัน ก็วางมัดจำมา แล้วเดี๋ยวฉันจะไปห่อที่เขตเทศบาลให้ แล้วจะแจ้งราคาให้ลูกค้าอีกที"
ซ่งถานคิดอย่างถี่ถ้วนดีแล้ว จึงโอนเงินหนึ่งพันหยวนให้โดยตรง "หลังจากนี้หนูยังต้องส่งของกับที่นี่อีกแน่นอนค่ะ ขาดเกินค่อยว่ากัน แต่ในอนาคตถ้าหนูเริ่มมีของที่ต้องส่งเยอะขึ้นเมื่อไหร่ หนูอาจจะเหมาจ่ายรายเดือนนะคะ"
ถึงแม้ว่าบรรดาหนุ่มส่งของเมื่อได้ฟัง จะพากันรู้สึกว่าผักเหล่านี้ไม่ได้เหมาะสมหรือคู่ควรกับการยอมจ่ายรายเดือนเลย แต่ก็ไม่ได้ขัดขวางเจ้าของขนส่งที่จะตอบตกลงไปก่อน
เมื่อจัดการเรื่องขนส่งเสร็จ ซ่งซานเฉินและเฉียวเฉียวก็รออยู่พร้อมกับเนื้อจำนวนมากแล้ว เธอเห็นเฉียวเฉียวยังเอาแต่จับกระเป๋าตัวเองอยู่นานสองนานแล้ว ซ่งถานก็เลยยิ้ม ก่อนจะถามว่า "ซื้ออะไรมาเหรอ"
เขาจึงรีบยิ้มกว้างแล้วล้วงของออกมาจากกระเป๋าโชว์พี่สาว เป็นขวดพลาสติกอ่อนๆ ขนาดเท่าดินสอสีชอล์คจำนวนสองหลอด แถมยังมีแท่งพลาสติกเล็กๆ ที่มีห่วงแถมมาให้สองอันด้วย สีหน้าของเฉียวเฉียวดูภูมิใจอย่างเห็นได้ชัด ผมยาวสีดำเข้มนุ่มสลวยยิ่งขับให้ผิวเขาขาวผ่อง ตาเป็นประกาย
"เป่าฟอง! "
ซ่งถานมองดู นี่มันไม่ใช่ของเล่นเป่าฟองสบู่ยอดนิยมสมัยที่เธอเรียนอยู่เหรอ ทำไมผ่านมาสิบกว่าปีแล้วของแบบนี้ยังมีผลิตอยู่อีก เดี๋ยวนี้เขาใช้เป็นเครื่องพ่นฟองสบู่กันแล้วนี่ อันที่เฉียวเฉียวถือมันของโบราณล้าสมัยตั้งไม่รู้กี่ปีแล้ว
แต่พอคิดดูอีกที เฉียวเฉียวมีเงินเพียงสิบหยวน ก็คงซื้อเครื่องพ่นฟองสบู่ไม่ได้หรอก
จึงเกิดความสนใจขึ้นมาบ้าง ขณะที่สตาร์ทรถเธอก็พูดคุยกับเฉียวเฉียวไปด้วย
"เดี๋ยวเอาเป่าฟองให้พี่สาวเล่นบ้างนะ"
เฉียวเฉียวพยักหน้าอย่างหนักแน่น "สองหลอด คนละหลอด! "
อู่หลานและซ่งซานเฉินมองดูพี่น้องสองคนที่กำลังหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุข แล้วก็พลันรู้สึกว่าถ้าถานถานอยู่ในหมู่บ้านกับพวกเขาตลอดไปก็คงไม่เลว
เพียงแต่ว่า ในหมู่บ้านทุรกันดารแบบนี้คงจะหาคู่ให้ยาก จึงทำให้ผู้เป็นแม่เริ่มกังวลใจขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อหันไปมองซ่งซานเฉินที่ไม่สนใจอะไรนอกจากความสุขของตัวเองและลูกๆ ก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดในใจ
อย่างไรก็ตาม ความหงุดหงิดของอู่หลานแม้จะไม่มีใครรับรู้ แต่เมื่อเห็นคุณยายวัยแปดสิบที่มีโอกาสได้เจอพี่น้องสองคนยืนอยู่ตรงหน้า ก็ทำให้เธอหายหงุดหงิดไปทันที
"ถานถานกลับมาแล้วเหรอ"
"เฉียวเฉียวก็มาด้วย! "
พี่น้องสองคนรีบพยุงพาคุณยายเข้าบ้าน เมื่อเปิดประตูรั้วเข้ามา สิ่งแรกที่เจอคือลานบ้านที่จัดไว้เป็นระเบียบเรียบร้อย ขณะที่คุณตากำลังนั่งอยู่บนรถเข็นที่ระเบียง ผมหงอกขาว มีริ้วรอยความเหี่ยวย่นปรากฏให้เห็นทั่วใบหน้า แต่แววตาเต็มไปด้วยความยินดี
อีกด้านหนึ่งของลานบ้านเป็นบ้านของคุณป้าใหญ่ และอู่เฉิงเถาผู้เป็นสามีซึ่งอยู่ร่วมกัน เป็นบ้านสองชั้น ตอนนี้เป็นช่วงที่ว่างเว้นจากการทำนาจึงพักผ่อนอยู่ที่บ้าน ก็รอต้อนรับอย่างอบอุ่นเช่นกัน
"ถานถานกลับมาแล้วเหรอ ยิ่งโตยิ่งสวย! ดูทันสมัยมาก เหมือนดาราเลย......โอ้โห เฉียวเฉียวก็หล่อขึ้นอีกแล้ว! "
เมื่อมองเห็นเนื้อที่อู่หลานถือมาในมือ ก็อดหัวเราะไม่ได้ "มาทั้งที อุตส่าห์ซื้อเนื้อมาทำไม ในบ้านมีอยู่เต็มตู้เย็น"
อู่หลานส่งเนื้อให้ แล้วเรียกเฉียวเฉียวให้ขนผัก หัวเราะเสียงดัง "ป้าใหญ่ ถานถานไม่ได้ทำงานที่หนิงเฉิงแล้วนะ แกกลับมาทำเกษตรที่หยุนเฉียว"
"นี่ไง ผักป่าที่เพิ่งโตใหม่ๆ ขายได้ตั้งสามสิบหยวนต่อกิโลเลยนะ แต่ถานถานแกคิดถึงคุณยายและคนอื่นๆ ผักชุดสุดท้ายนี้ก็เลยไม่ยอมขาย บอกตั้งใจเก็บเอามาให้ทุกคนชิมด้วยกัน"
ข้อความนี้มีข้อมูลมากเกินไป ป้าใหญ่ต้องยืนนิ่งอยู่กับที่เพื่อย่อยข้อมูลอยู่นาน กว่าจะวิเคราะห์ประเด็นสำคัญออกมาได้
หา! หลานสาวของเธอ ทั้งสวยและฉลาดขนาดนี้ แถมเป็นนักศึกษาจบใหม่ แต่ไม่ยอมทำงานที่เมืองหลวง ดันจะกลับมาปลูกผักที่บ้านเกิดเนี่ยนะ!
แม่เจ้าโว้ย! ….