ตอนที่ 34: ค้นหา
ตอนที่ 34: ค้นหา
ในฐานะสหายผู้ฝึกตนที่หมกมุ่นกับการฝึกฝนสายเก่า แม้จะไม่ได้ฝึกฝนการหลอมยา แต่หยางหลุนกับฉีหลี่ก็ยอมรับหวังฝูในฐานะสหายผู้ฝึกตนเช่นกัน พวกเขาเลือกสถานที่ห่างไกลของยอดเขาขนนกโบยบินเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกรบกวนขณะทำการหลอมยา
พวกเขาคิดว่าหวังฝูก็เหมือนกัน
พวกเขาทั้งสามสนทนากันมากมายตลอดทาง แล้วทั้งสองฝั่งยิ่งมายิ่งประหลาดใจ
หวังฝูเคยได้ยินเกี่ยวกับประโยชน์จากการหลอมยาจนอิจฉาการใช้โอสถเพื่อการฝึกฝนเป็นอย่างมาก ทว่ามันก็แค่นั้น เขามีหม้อขนาดเล็กอยู่กับตัว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องฝึกฝนการหลอมยาแต่อย่างใด
การกินยาเม็ดมากเกินไปอาจทำให้เกิดการสั่งสมของพิษยาเม็ด แต่สำหรับของเหลววิญญาณกลับไม่มีเรื่องเช่นนั้นให้ต้องกังวล ซึ่งมันคือหนึ่งในสาเหตุที่ของเหลววิญญาณกลายเป็นที่นิยม
ตอนหยางหลุนบอกว่ามีเศษโอสถและยาเม็ดเหลือทิ้งจำนวนมาก หวังฝูจึงใช้โอกาสเพื่อแบ่งปันความกังวลของพวกเขาด้วยการบอกว่าพิษจากเศษโอสถและยาเม็ดเหลือทิ้งสามารถดึงออกมาเพื่อส่งเสริมการวาดยันต์จนทำให้พลังของยันต์เพิ่มมากขึ้นได้
ทั้งสองบังเกิดความยินดีเมื่อได้ยินเช่นนี้ก่อนจะแข่งกันมอบเศษโอสถและยาเม็ดเหลือทิ้งให้หวังฝู
นี่คือสิ่งที่เรียกว่าดีกับทั้งสองฝ่าย
หวังฝูย่อมรับเอาไว้
ทั้งสองถึงขั้นขนมาไว้ในถุงเก็บของ ทำให้ในลานกว้างของหวังฝูเต็มไปด้วยเศษโอสถและยาเม็ดเหลือทิ้งสีดำขนาดเท่าภูเขาลูกย่อม
“ของพวกนี้ล้วนเป็นปราณวิญญาณบริสุทธิ์”
หวังฝูมองเศษโอสถและยาเม็ดเหลือทิ้งขณะเอามือแตะริมฝีปากแล้วหัวเราะสองครั้ง “หลังจากนี้ต้องไปลานกว้างของหยางหลุนกับฉีหลี่ทุกสามเดือนเพื่อรวบรวมเศษโอสถและยาเม็ดเหลือทิ้ง แต่ก็ต้องใช้พิษโอสถเพื่อวาดยันต์บางส่วนส่งไปให้พวกเขาทั้งสองบ้าง เหตุผลแรกคือเป็นรางวัล เหตุผลที่สองคือหลีกเลี่ยงการถูกสงสัย”
หวังฝูเลียริมฝีปากขณะวางหม้อขนาดเล็กไว้ข้างเศษโอสถและยาเม็ดเหลือทิ้ง แล้วหม้อจึงเริ่มกลืนกินเพื่อทำการขัดเกลา
ขณะมองปราณวิญญาณบริสุทธิ์ที่ไหลหลั่งเข้าสู่หม้อขนาดเล็ก หยดของเหลววิญญาณจึงก่อตัวเป็นรูปร่าง แล้วหวังฝูจึงบังเกิดความยินดี
เขาเลียริมฝีปากขณะดวงตาทอประกายด้วยความละโมบ “ถ้าเป็นแบบนี้ การฝึกฝนของเราจะต้องพัฒนาอย่างมั่นคงแน่นอน”
วิ้ง!
เมื่อหวังฝูกำลังพึมพำกับตัวเองอยู่นั้น ค่ายกลต้องห้ามในลานกว้างเริ่มสั่นไหว หลังใช้แผ่นป้ายเพื่อควบคุมค่ายกลต้องห้าม หวังฝูจึงทราบในทันทีว่ามีใครบางคนมาเยี่ยมเยียน
“อาจจะเป็นพวกหยางหลุนหรือเปล่า?”
หวังฝูเดินไปที่ประตูลานกว้างด้วยความสับสนขณะคลายค่ายกลแล้วเดินออกไป เมื่อนั้นจึงเห็นชายหนึ่งหญิงหนึ่งกำลังยืนอยู่นอกลานกว้าง พวกเขาไม่ใช่หยางหลุนกับฉีหลี่
“ท่านคือ… ศิษย์พี่ไป๋หยิงเฟยหรือ?”
แม้หวังฝูไม่รู้จักหญิงสาว แต่เขารู้จักอีกคน
เมื่อเห็นรอยยิ้มของไป๋หยิงเฟย หวังฝูจึงขมวดคิ้ว ผู้ชายคนนี้ตามเขามาถึงที่นี่ หรือว่ายังคงคิดถึงเรื่องสูตรของเหลววิญญาณอยู่?
“ฮ่าฮ่า... ศิษย์น้องเอ๋ย เสียเวลาตั้งนานกว่าจะหาตัวจนเจอ” ไป๋หยิงเฟยพาหลี่เสี่ยวหวนมาตรงหน้าด้วยสภาพเกือบหลั่งน้ำตาด้วยความยินดี พวกเขาได้ตัวเลือกที่ค่อนข้างจะแน่ชัดมาจากซ่งจิ่งถัง แต่เจ้าสำนักถ่ายทอดคำสั่งเสียก่อนจนต้องหยุดมือไปชั่วคราวจนกระทั่งเรื่องที่ประตูขุนเขาสิ้นสุดลง เมื่อนั้นพวกเขาจึงออกตามหาทีละคน
หวังฝูเป็นคนที่สองที่พวกเขามาหา
“ศิษย์พี่ไป๋ก็พูดเล่นไป ข้าจะไปทำให้ศิษย์พี่กังวลขนาดนั้นได้อย่างไร” หวังฝูหัวเราะแห้งแม้จะยังอยู่ในสภาพระแวดระวัง เขาเห็นไป๋หยิงเฟยพาหญิงสาวมาที่นี่ ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายจะใช้กับดักสาวสวย
แม้หญิงสาวจะน่ารัก แต่กับดักสาวสวยย่อมใช้ไม่ได้ผล หวังฝูไม่ใช่คนแบบนั้น
อาจเป็นเพราะเห็นความระแวดระวังของหวังฝู ไป๋หยิงเฟยจึงรีบเข้าประเด็น “ศิษย์น้องไม่ต้องห่วง ข้าไม่ได้มาหาเจ้าในครั้งนี้เพราะเรื่องสูตรยา แต่เป็นเพราะเรื่องอื่นต่างหาก”
หวังฝูรู้สึกโล่งอกขณะฟังไป๋หยิงเฟยต่อ
“นี่คือศิษย์น้องหญิงหลี่เสี่ยวหวน นางกำลังตามหาเจ้า ส่วนเหตุผลที่เจาะจงก็เป็นเพราะยันต์สีทองที่ซื้อมาจากเจ้าก่อนหน้านี้”
“คารวะศิษย์พี่หญิงหลี่” จากนั้นหวังฝูจึงตระหนักได้ว่าเขามองการฝึกฝนของหญิงสาวคนนี้ไม่ออก
หลี่เสี่ยวหวนกลอกตามองไป๋หยิงเฟย ทันใดนั้นก็เผยท่วงท่าเสน่หาออกมาขณะมองหวังฝูแล้วเอ่ยคำ “ศิษย์น้องชื่ออะไรหรือ? เจ้าวาดยันต์สีทองด้วยตัวเองหรือ?”
“ศิษย์พี่หญิง ชื่อของข้าคือหวังฝู” หวังฝูยังคงสงบนิ่ง “ยันต์สีทองที่ศิษย์พี่ไป๋ซื้อไปจากข้าเป็นฝีมือของข้าเอง”
“หวังฝูหรือ?” ดวงตาของหลี่เสี่ยวหวนทอประกายขณะมองหวังฝูตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นจึงหมองหม่นอีกหนขณะเอ่ยคำประหนึ่งพูดกับตัวเอง “หวังฝูที่ข้องเกี่ยวกับอาจารย์อาหญิงอวิ๋นหรือ? ไม่สิ หวังฝูคนนั้นเป็นเพียงศิษย์รับใช้ ส่วนหวังฝูคนนี้ไปถึงขอบเขตกลั่นลมปราณระดับห้า”
หลี่เสี่ยวหวนหันมามองไป๋หยิงเฟย พวกเขาต่างมองเห็นความคิดของอีกฝ่าย จากนั้นจึงส่ายหน้าแล้วหัวเราะคิกคัก ไม่ช้าจึงโยนความคิดที่ไม่สมเหตุสมผลทิ้งไป
หวังฝูย่อมได้ยินเสียงพึมพำของหลี่เสี่ยวหวน แต่เขาไม่คิดเปิดโปงนางแต่อย่างใด ทว่าเมื่อเห็นชายหญิงสบตากันแล้วก็รู้สึกว่าไม่น่ายินดีเท่าไหร่ อย่างน้อยต้องหาทางหลีกเลี่ยงไว้ก่อน
“ไม่ทราบว่าศิษย์พี่หญิงหลี่อยากคุยกับข้าเรื่องอะไรหรือ?” เมื่อเห็นชายหญิงคล้ายกับจะไม่เปิดประเด็นต่อ หวังฝูจึงรีบเอ่ยเตือน เขาเพียงอยากส่งทั้งสองออกจากลานกว้างเพื่อจะได้ไปดูผลการเก็บเกี่ยวของหม้อขนาดเล็ก
“แน่นอนว่าเป็นเรื่องดี…”
จากนั้นหลี่เสี่ยวหวนเล่าเรื่องตำหนักยันต์ล้ำเลิศให้ฟัง
“สรุปก็คือลุงของข้าขอให้ตามหาเจ้า จากนั้นพาตัวเจ้าไปตำหนักยันต์ล้ำเลิศ ไม่แน่ว่าศิษย์น้องหวังอาจจะสามารถเข้าตำหนักยันต์ล้ำเลิศแล้วกลายเป็นศิษย์สายในก็ได้”
“ตำหนักยันต์ล้ำเลิศ… ผู้ดูแลหลี่อี้…”
หวังฝูทราบดีว่าสถานที่ที่สำนักขนนกร่วงโรยวาดยันต์คือสถานที่ยิ่งใหญ่ซึ่งอยู่สำนักชั้นใน โดยเฉพาะสำหรับผู้สร้างยันต์ของสำนักขนนกร่วงโรยแล้ว มันคือวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่สถิตอยู่ในใจ ภายในตำหนักยันต์ล้ำเลิศ ไม่เพียงแต่สามารถวาดยันต์ได้อย่างเต็มที่เท่านั้น แต่ยังเรียนรู้วิชาที่ข้องเกี่ยวกับยันต์ได้อีกด้วย โดยวิชาทั้งหลายที่ต้องอาศัยความร่วมมือในการฝึกฝนยังเปิดให้ผู้สร้างยันต์ได้ทำการวาดยันต์โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายอีกด้วย
แน่นอนว่าไม่มีของฟรีในโลกแห่งการฝึกตนเป็นเซียน สำนักขนนกร่วงโรยก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ตำหนักยันต์ล้ำเลิศยิ่งแล้วใหญ่
ผลประโยชน์มากมายต้องแลกกับยันต์ที่เสร็จสมบูรณ์เช่นกัน
“เตรียมตัวให้พร้อม เดี๋ยวหลังจากนี้ไปตำหนักยันต์ล้ำเลิศกับข้าเพื่อพบท่านลุง” หลี่เสี่ยวหวนตัดสินใจแทนหวังฝูทันที
แม้หวังฝูเปิดปาก แต่กลับพูดอะไรไม่ได้
เห็นชัดว่าหญิงสาวคนนี้ได้ผลประโยชน์บางอย่างในการตามหาเขา
แต่มันปฏิเสธได้หรือ?
ไม่ได้
หวังฝูไม่อยากปฏิเสธ เขาทราบว่านี่คือโอกาส เป็นโอกาสที่จะไปถึงจุดสูงสุดในก้าวเดียว
“ศิษย์พี่หญิงหลี่รอสักครู่ ข้าขอเข้าไปเก็บกวาดข้างในให้เรียบร้อยเสียหน่อย”
“อื้ม ข้าให้เวลาเจ้าสิบห้านาที” น้ำเสียงของหลี่เสี่ยวหวนไม่เจือด้วยความสงสัย
หวังฝูแย้มยิ้นขณะถอยเข้าไปในลานกว้าง ทันทีที่ค่ายกลทำงาน รอยยิ้มก็หายไป
“ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา เรายังแข็งแกร่งไม่พอ อย่าไปยั่วโมโหนาง”
หวังฝูตีตราให้กับหลี่เสี่ยวหวนทันที
ภายในลานกว้าง หม้อขนาดเล็กทำการกลืนกินเสร็จแล้ว ซึ่งความเร็วของมันยิ่งมายิ่งมากกว่าแต่ก่อน หวังฝูสะบัดมือเพื่อใช้วิชาควบคุมวัตถุ ทำให้หม้อลอยมาอยู่ในฝ่ามือ เขาก้มมองลงไปก่อนจะพบของเหลววิญญาณบริสุทธิ์หลายร้อยหยดกองอยู่ใจกลางหม้ออย่างเงียบงันขณะแผ่ปราณวิญญาณมหาศาลออกมา หวังฝูโน้มตัวไปข้างหน้าแล้วสูดดมเข้าไป มันช่างรู้สึกผ่อนคลายไม่น้อย ดูท่าว่าการฝึกฝนของเขาจะเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน
“ของเหลววิญญาณที่เกิดจากเศษโอสถและยาเม็ดเหลือทิ้งเข้มข้นกว่าของเหลววิญญาณไม้ดำ หากเป็นโอสถวิญญาณหรือยาเม็ดของจริง ผลของมันต้องสุดจะจินตนาการแน่”
หวังฝูเลียริมฝีปาก หากไม่มีใครรออยู่ข้างนอก เขาคงกลืนกินเข้าไปสักหยดเพื่อลองผลของมัน แต่สำหรับตอนนี้งทำได้เพียงห้ามใจเอาไว้ก่อน
ด้วยการใช้ความคิดเพียงเล็กน้อย หม้อขนาดเล็กจึงหลอมรวมเข้ากับหน้าอกก่อนจะกลายเป็นลวดลายคล้ายรอยสัก
เนื่องจากไม่มีอะไรต้องเก็บแล้ว หวังฝูจึงเปิดค่ายกลแล้วเดินออกไปอีกครั้ง
“ดูเหมือนว่าศิษย์น้องหวังจะเก็บของเสร็จแล้ว งั้นไปกันเถอะ” หลี่เสี่ยวหวนพยักหน้า จากนั้นหันไปหาไป๋หยิงเฟยแล้วแย้มยิ้มอย่างอ่อนโยน “รบกวนศิษย์พี่พาพวกเราไปที่นั่นที”
“ฮ่าฮ่า… ได้แน่นอนอยู่แล้ว”
ใบไม้สีเขียวใบหนึ่งปรากฏขึ้นจากถุงเก็บของที่เอวไป๋หยิงเฟย จากนั้นจึงมีความยาวหลายจั้งในพริบตาก่อนจะลอยอย่างมั่นคงอยู่ที่เท้า
“ศิษย์น้องหญิง ศิษย์น้องหวัง พวกเราไปกันเถอะ”
ขณะมองอาวุธวิเศษบินได้ใต้เท้า หวังฝูจึงทราบทันทีว่าศิษย์พี่ไป๋หยิงเฟยทะลวงถึงขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสิบจนได้เลื่อนขั้นเป็นศิษย์สำนักในแล้ว