ตอนที่ 33: เศษโอสถและยาเม็ดเหลือทิ้ง
ตอนที่ 33: เศษโอสถและยาเม็ดเหลือทิ้ง
“คารวะศิษย์พี่”
เจ้าสำนักโม่จือยวนโค้งคำนับเล็กน้อย แม้นางจะเป็นเจ้านสำนัก แต่ก็ไปถึงเพียงขอบเขตสร้างรากฐานขั้นท้าย ส่วนคนตรงหน้าจมอยู่กับขอบเขตสร้างรากฐานมาเกือบร้อยปี ตอนที่นางสร้างรากฐาน อีกฝ่ายก็ไปถึงขอบเขตสร้างรากฐานขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว ตอนนี้ผ่านมาหลายสิบปี แม้ขอบเขตจะไม่พัฒนา แต่พละกำลังก็นับว่าดีที่สุดในสำนักขนนกร่วงโรยซึ่งเป็นรองเพียงขอบเขตปราณทองเท่านั้น
“คารวะเจ้าสำนัก” จู้ฉิงหลี่โค้งคำนับให้กับเจ้าสำนัก
“เหตุใดศิษย์พี่จู้ถึงมาอยู่ที่นี่?” โม่จือยวนถาม
“ในฐานะรองหัวหน้าโถงพิทักษ์กฎ ข้าย่อมต้องทำหน้าที่พิทักษ์กฎสำนักยามมีเหตุทะเลาะวิวาทระหว่างศิษย์ในสำนัก” จู้ฉิงหลี่มองอวิ๋นหนิงซวงผู้เต็มไปด้วยจิตสังหารกับเฉาเยี่ยนผู้อยู่ในสภาพน่าเวทนาและได้รับบาดเจ็บสาหัส
“ศิษย์พี่ นี่อาจจะเป็นเรื่องของตระกูลอาจารย์อาเฮ่อ…” โม่จือยวนเอ่ยคำอย่างแผ่วเบา บ่งบอกว่าเรื่องนี้ได้รับอารอนุมัติโดยผู้อาวุโสเฮ่อแล้ว
ทว่าจู้ฉิงหลี่เอ่ยคำอย่างจริงจัง “ในสำนักมีเพียงกฎสำนักเท่านั้น ไม่มีเรื่องของตระกูล”
“หากทั้งสองสู้กันจนตายไปข้าง ข้าย่อมไม่สนใจอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้อยู่ภายในสำนัก ดังนั้นพวกเราต้องทำตามกฎของสำนัก การฆ่าคนอย่างไร้เหตุผลย่อมเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้”
จู้ฉิงหลี่มองอวิ๋นหนิงซวง
“จะอยู่บนเวทีแห่งความเป็นความตายแล้วลงนามใบมรณบัตรหรือแสดงหลักฐานว่าอีกฝ่ายฝ่าฝืนกฎของสำนัก”
“ฮ่าฮ่าฮ่า...” เฉาเยี่ยนหัวเราะเสียงดัง นางทราบดีว่าวันนี้ยังไม่ถึงฆาต อาจารย์จู้ผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องความเข้มงวดและปฏิบัติตามกฎของสำนักอย่างเคร่งครัด รวมถึงบังคับใช้กฎอย่างไร้ความปรานี แถมวิธีการยังเลือดเย็นอีกด้วย “อวิ๋นหนิงซวง เจ้าฆ่าเข้าไม่ได้แล้ว”
“หลักฐาน...” อวิ๋นหนิงซวงไม่คลายจิตสังหาร แต่กลับยิ้มหยันแทน “เงินในโลกคือหลักฐาน”
ทุกคนตกตะลึง แต่เมื่ออวิ๋นหนิงซวงโยนกระดาษข้าวสีทองออกมา รายละเอียดที่อยู่ภายในกลับทำให้ทุกคนพูดไม่ออก
“นี่มัน… คัมภีร์หมื่นทอง… ของศาลาสมบัติ” ศิษย์คนหนึ่งที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนกระซิบ
“มีข่าวลือว่าศาลาสมบัติไม่เพียงแต่เป็นกลุ่มที่ร่ำรวยที่สุดในโลกแห่งการฝึกตนเท่านั้น แต่ยังเป็นกลุ่มที่มีข้อมูลมากที่สุดอีกด้วย พันเงินหมื่นทองคือสิ่งที่อ้างอิงถึงประกาศพันเงินกับประกาศหมื่นทองของศาลาสมบัติ ข้อมูลมีมูลค่ากับราคาต่างกันออกไป ประกาศพันเงินที่ราคาต่ำสุดเริ่มต้นที่หินวิญญาณหนึ่งพันก้อน ส่วนประกาศหมื่นทองที่อยู่ตรงหน้าพวกเรามีมูลค่าอย่างต่ำเท่ากับหินวิญญาณหลายหมื่นหรือถึงขั้นหลายแสนก้อน เมื่อใดก็ตามที่ประกาศนี้ถูกเผยแพร่ ข้อมูลย่อมได้รับการยืนยันโดยศาลาสมบัติแล้ว ว่ากันว่า… ไม่เคยมีข้อผิดพลาดมาก่อน”
“แสดงว่าเฉาเยี่ยนจบเห่แล้ว มันเขียนชัดเจนเลยว่านางส่งข้อความหาสำนักเพลิงคลั่ง นึกไม่ถึงว่าแม้แต่เจ้าตระกูลเฉาจะข้องเกี่ยวด้วย เกรงว่าตระกูลเฉาก็จบสิ้นในคราวนี้เหมือนกัน…”
“สุดท้ายแล้วนางก็ยังหมายตาสิทธิ์สำหรับเส้นปราณปฐพีแห่งต้าเซี่ย นางคิดว่าขอเพียงอาจารย์อาหญิงอวิ๋นตายก็จะถึงคราวของตัวเอง แต่น่าเสียดายที่นางทำผิดพลาดจนลงเอยด้วยความเสียใจไปตลอดชีวิต คราวนี้ทั่วทั้งตระกูลเฉาพังพินาศหมดแล้ว”
“อาจารย์หญิงอวิ๋นบอกเองไม่ใช่หรือว่าไม่มีใครที่ทำผิดแล้วจะสามารถหนีรอดไปได้ ตระกูลเฉาไม่ได้ยินดีกับสิทธิ์ยาเม็ดสร้างรากฐานหนึ่งร้อยปีอีกต่อไป”
“เหตุใดถึงไม่ทำลายตระกูลเฉาหรือ?”
“โง่ชะมัด ตระกูลเฉายังมีศิษย์คนอื่นในสำนัก เหตุใดพวกเขาทั้งหมดต้องถูกฆ่าด้วย?”
เสียงของเหล่าศิษย์ที่อยู่รอบข้างดังขึ้นทะลคน แต่เฉาเยี่ยนกลับอ่อนแรงไร้พลังราวกับสูญสิ้นวิญญาณ นางทราบดีว่าทุกอย่างจบลงแล้ว
“เฉาเยี่ยน ข้าไม่นึกเลยว่าเจ้าจะทำเรื่องเช่นนี้ มันคือการละเมิดคำสอนของบรรพชนจนไม่อาจอภัยให้ได้” สมาชิกตระกูลเฉาผู้หนึ่งกระโดดออกมาแล้วชี้ไปที่เฉาเยี่ยนพร้อมกับด่าทอ เมื่อเขากำลังจะลงมือพิสูจน์ความจงรักภักดีต่อตระกูลเฉาก็กลับถูกจู้ฉิงหลี่ตบหน้า
“ไปให้พ้น ยังไม่ถึงตาของเจ้าที่จะลงมือทำอะไรที่นี่ ข้าจะตรวจสอบตระกูลเฉาทั้งหมดด้วยตัวเอง หากเจ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องก็แล้วไป แต่ถ้าเกิดรู้อะไรขึ้นมา ไม่ว่าวันนี้เจ้าจะทำตัวอย่างไรก็ไม่สามารถหลบหนีจากกฎไปได้หรอก”
“ศิษย์พี่จู้โปรดอภัยให้ด้วย ข้าทำตัวบุ่มบ่ามไปหน่อยจนปล่อยให้ความโกรธเข้าครอบงำ” สมาชิกขอบเขตสร้างรากฐานของตระกูลเฉาเช็ดเลือดออกจากมุมปากแล้วไม่กล้าบ่นอะไรอีก เขาเข้าใจดีว่าทันทีที่จู้ฉิงหลี่พูดเช่นนี้ก็เท่ากับยอมรับข้อมูลในประกาศทองแล้ว
หลังจากถอนหายใจ สมาชิกตระกูลเฉาจึงโค้งคำนับแล้วจากไป
ตระกูลเฉาจบเห่แล้ว
หนึ่งร้อยปี หนึ่งร้อยปีที่ไม่มีสิทธิ์ในยาเม็ดสร้างรากฐาน ตระกูลจะค่อยตกต่ำ ท้ายที่สุดก็จะไปถึงจุดต่ำสุดหรืออาจถึงขั้นหายไป
หากไม่มีขอบเขตปราณทองถือกำเนิดขึ้นภายในหนึ่งร้อยปี เมื่อดูจากสมาชิกขอบเขตสร้างรากฐานสี่คนในตระกูลที่รวมถึงเขาแล้ว ย่อมไม่มีใครมีพรสวรรค์เช่นนี้
หลังจากเอ่ยคำมายืดยาว แต่เพียงไม่กี่อึดใจก่อนอวิ๋นหนิงซวงจะโยนประกาศทองให้ แล้วอาวุธวิญญาณกระบี่บินจึงโคจรรอบคอของเฉาเยี่ยนก่อนศีรษะจะกลิ้งลงกับพื้น
สีแดงสดใสภายใต้แสงอาทิตย์ทำให้ทุกคนรู้สึกหวาดกลัว
ศีรษะกับร่างของเฉาเยี่ยนถูกแยกออกจากกัน แล้วอวิ๋นหนิงซวงจึงทะยานจากไปพร้อมกับกระบี่บิน
“ช่างเป็นการฆ่าที่เด็ดขาดนัก…”
หวังฝูผู้แยกย้ายไปพร้อมกับฝูงชนหันมองกลับไปด้วยดวงตาทอประกาย เขาหักห้ามแรงกระตุ้นที่จะไล่ตามไป จึงทำได้เพียงลอบถอนหายใจเท่านั้น “สมกับศิษย์พี่หญิงอวิ๋นที่เราชื่นชม ช่างดุดันนัก”
ระหว่างทางกลับ หวังฝูได้พบกับเพื่อนบ้านสองคนอย่างหยางหลุนกับฉีหลี่ เขากล่าวคำทักทายขณะเดินตามอีกฝ่ายที่สนทนากันไม่หยุดปาก ตอนแรกหวังฝูคิดว่าพวกเขากำลังคุยกันเรื่องของเฉาเยี่ยน แต่นึกไม่ถึงว่าเรื่องที่คุยจะเป็นวิธีหลอมยา
ควรควบคุมไฟในการหลอมยาเพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างยาเม็ดได้อย่างไร?
เวลาที่ดีที่สุดในการเติมวัตถุดิบหลักอย่างดอกใบทองตอนหลอมยาเม็ดไขกระดูกทองคือเมื่อไหร่?
ผลของเพลิงไม้ดำรวมกับเพลิงวิญญาณจะแรงขึ้นหรือเปล่า?
เศษโอสถและยาเม็ดเหลือทิ้งจากการหลอมล้มเหลวใกล้จะเต็มแล้ว
…
หวังฝูไม่เข้าใจว่าทั้งสองกำลังสนทนาเรื่องอะไร แต่เขาเข้าใจอยู่เรื่องหนึ่ง พวกเขามีเศษโอสถและยาเม็ดเหลือทิ้งจำนวนมากซึ่งจำเป็นต้องกำจัดอย่างเร่งด่วน
หวังฝูบังเกิดความยินดี เศษโอสถและยาเม็ดเหลือทิ้งต้องเต็มไปด้วยปราณวิญญาณกับพลังโอสถของยาวิญญาณจำนวนมากเป็นแน่ แม้จะมีพิษอยู่ในโอสถกับยาไม่น้อยเช่นกัน แต่เขามีหม้อขนาดเล็กอยู่ ด้วยความสามารถของหม้อในการขจัดกากและคงแก่นเอาไว้ พิษที่อยู่ในโอสถกับยาจึงไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด
“ศิษย์พี่ โปรดรอสักครู่…”
หวังฝูรีบตามผู้ชายทั้งสอง พวกเขามีท่าทีสุภาพและไม่แสดงความไม่พึงพอใจออกมาหลังจากหวังฝูเข้ามาขัดจังหวะบทสนทนา
“ศิษย์น้องหวัง มีอะไรหรือ?”
“ข้าบังเอิญได้ยินว่าพวกท่านทั้งสองเป็นนักหลอมยาเก่งกล้าสามารถ ข้านับถือนักหลอมยามากที่สุดในชีวิต คาดไม่ถึงว่าจะมีถึงสองคนอยู่ใกล้บ้านเรือนเคียงขนาดนี้ ข้าตื่นเต้นมากจนต้องเข้ามาขัดจังหวะพวกท่านทั้งสอง” หวังฝูแย้มยิ้มขณะถูมือด้วยความตื่นเต้นยิ่ง
“โห? ศิษย์น้องหวังสนใจการหลอมยาเหมือนกันงั้นหรือ?” หยางหลุนมองหวังฝูด้วยความประหลาดใจประหนึ่งพยายามแยกว่าคำพูดของหวังฝูเป็นความจริงหรือความลวง
“เฮ้อ…” หวังฝูถอนหายใจจนทั้งสองต้องหยุดชะงัก “ข้าใฝ่ฝันจะฝึกตนเป็นเซียนและหลอมยาเม็ดมาตั้งแต่ยังเด็ก ข้าคิดว่าหลังจากเข้าสำนักขนนกร่วงโรยแล้วก็จะสามารถเติมเต็มความฝันในวัยเด็กได้ในที่สุด แต่น่าเสียดายที่รากฐานวิญญาณของข้าไม่แข็งแกร่ง อีกทั้งไม่มีพรสวรรค์ด้านการหลอมยา ข้าจึงทำได้เพียงเดินทางสำรองอย่างการวาดยันต์เท่านั้น”
“อย่างนี้นี่เอง แต่ศิษย์น้องหวังฝูเข้าใจผิดไปอย่างหนึ่ง” หยางหลุนพยักหน้าเล็กน้อย หลังจากนิ่งไปสักพักจึงเอ่ยคำ “การวาดยันต์จะนับเป็นทางสำรองได้อย่างไร? มันไม่มีลำดับความหรือความแตกต่างในจุดแข็งของสี่ศาสตร์อย่างอาวุธ ค่ายกล ยันต์และโอสถหรอก ขอเพียงหมกมุ่นในสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสามารถประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ได้ เมื่อนั้นก็จะกลายเป็นปรมาจารย์แห่งยุคสมัย”
“พวกข้าไม่คาดคิดว่าศิษย์น้องหวังฝูจะถึงกับเป็นผู้สร้างยันต์เหมือนกัน”
สายตาที่พวกหยางหลุนมองหวังฝูเปลี่ยนไปประหนึ่งพบผู้ฝึกตนสายเดียวกัน
“ฮ่าฮ่า... ข้าไม่คิดว่าศิษย์พี่ทั้งสองจะเป็นนักหลอมยาเหมือนกัน” หวังฝูตอบกลับด้วยรอยยิ้ม แต่ในใจกลับบ่นไม่หยุด
สองคนนี้อ้างว่าไม่มีลำดับความหรือความแตกต่างในจุดแข็งของสี่ศาสตร์ แต่พวกเขากลับจัดโอสถให้อยู่อันดับหนึ่ง แต่ว่าแบบนี้ก็ดีแล้ว หากเยินยออีกสักหน่อยก็น่าจะไม่มีปัญหาเรื่องการขอเศษโอสถและยาเม็ดเหลือทิ้ง
ตอนนี้หวังฝูต้องการของเหลววิญญาณที่มีปราณวิญญาณอุดมสมบูรณ์เพื่อทำการฝึกฝนเป็นการด่วน ผลของแก่นวิญญาณที่เกิดจากพืชพรรณธรรมดาไม่ดีเท่ากับของเหลววิญญาณไม้ดำ ซึ่งนั่นยังไม่รวมถึงยาเม็ดวิญญาณทั้งสองของจูเจิ้นกับจางเหิง ทำให้ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ความเร็วการฝึกฝนของหวังฝูจึงช้าลงกว่าแต่ก่อน
“แต่สุดท้ายรากฐานวิญญาณห้าธาตุของเรามันอ่อนแอเกินไป… เฮ้อ เพราะแบบนี้เราถึงทำอะไรไม่ได้”
หวังฝูลอบถอนหายใจ