ระบบหุ่นเชิดในตำนาน ตอนที่ 13 บุตรแห่งสวรรค์นาจา
ระบบหุ่นเชิดในตำนาน ตอนที่ 13 บุตรแห่งสวรรค์นาจา
“ข้าคืออสูรน้อย”
“เสรีไร้กังวล สังหารคนมิกระพริบตา กินคนมิใส่เกลือ………”
พร้อมกับเสียงอันแสนเกียจคร้าน สายตาของกู้ชิงเฟิงก็เบิกกว้าง เห็นเพียงเด็กชายผู้หนึ่งมัดผมแกละ เดินเอามือล้วงกระเป๋าอย่างสบายอารมณ์ตรงมายังเขา
“คนผู้นี้คือ………”
กู้ชิงเฟิงรู้สึกสับสนเล็กน้อย หรือว่าจะให้เด็กคนนี้เดินทางไปกับเขา
“นี่ ๆ ข้าชื่อนาจา เจ้าจำไว้ให้ดี”
เด็กน้อยกล่าวกับกู้ชิงเฟิงด้วยน้ำเสียงโอหัง
กู้ชิงเฟิงอดหัวเราะไม่ได้ เด็กคนนี้นิสัยเหมือนเด็กเหลือขอชัด ๆ
“ผู้อาวุโสเฟยเผิง เรื่องนี้………”
กู้ชิงเฟิงเดินทางครั้งนี้เพื่อฝึกฝนตนเองและแสวงหาสมบัติ ย่อมต้องพบเจอกับอันตรายระหว่างทาง
ไม่มีทหารสวรรค์คุ้มกันก็แล้วไป ตอนนี้ยังมีเด็กเหลือขอมาอีกคน
เขามิได้เดินทางท่องเที่ยวเล่นสนุก
ขณะที่กู้ชิงเฟิงกำลังจะปฏิเสธอย่างสุภาพ
ทันใดนั้น ชายชราไป๋อวี่ที่อยู่ในจี้หยกที่เอวของเขาก็เอ่ยขึ้น
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึง “ศิษย์รัก เด็กน้อยคนนี้มีตบะระดับปราชญ์!”
อะไรนะ!?
กู้ชิงเฟิงถึงกับนิ่งอึ้ง ใบหน้าซีดเผือด
อีกฝ่าย…เป็นแค่เด็กคนหนึ่ง
ดูจากอายุแล้ว คงไม่เกินเจ็ดหรือแปดขวบ ยังอยู่ในช่วงวัยเด็ก แต่กลับมีตบะระดับปราชญ์!?
ฝึกบำเพ็ญตั้งแต่อยู่ในครรภ์ก็คงมิอาจบรรลุถึงขั้นนี้
พรสวรรค์เช่นนี้ มิอาจอธิบายด้วยคำว่าน่ากลัวได้ เป็นดั่งภูตผีปีศาจ!
“นี่… นี่คือระดับของอัจฉริยะภายในวังสวรรค์หรือ?”
กู้ชิงเฟิงอายุสิบกว่าปีก็บรรลุระดับวิญญาณก่อกำเนิด นับว่าเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากยิ่ง
เขายังรู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อย คิดว่าตนเองสามารถเทียบเคียงกับลูกสัตว์เทพได้
แต่เมื่อเทียบกับนาจาแห่งวังสวรรค์แล้ว เขาเป็นเพียงเศษธุลีดิน
ปราชญ์วัยเจ็ดหรือแปดขวบ ทำลายสถิติของห้ามหามณฑลเทพโดยสิ้นเชิง
หากข่าวนี้แพร่ออกไป คงทำให้ทั่วทั้งแผ่นดินต้องตื่นตะลึง
แม้แต่แดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายคงต้องแย่งชิงตัวเขาไป
กู้ชิงเฟิงได้ประจักษ์ถึงความน่ากลัวของขุมอำนาจวังสวรรค์อีกครั้ง
จี๋อวิ๋นเห็นสีหน้าของกู้ชิงเฟิงก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่
แต่เขามิได้อธิบายมากนัก เพียงแค่ต้องการให้นาจาทำให้กู้ชิงเฟิงและคนอื่น ๆ รู้สึกยำเกรงวังสวรรค์มากขึ้นไปอีกขั้น
จากนั้นกู้ชิงเฟิงและนาจาก็ออกจากวังสวรรค์ มุ่งหน้าไปยังสุสานมังกรดำ
……………
ท่ามกลางเทือกเขามหึมาที่ทอดยาวนับหมื่นลี้ มีรัศมีมังกรลอยวนอยู่
ที่นี่คือสถานที่ตั้งของเผ่ามังกรเจียว เผ่าราชันสัตว์เทพ
ทันใดนั้น เสียงอันทรงพลังก็ดังก้องขึ้น
“ฮ่าวเทียน ในอดีตหลังจากที่มหาปราชญ์มังกรดำถูกขับไล่ออกจากเผ่ามังกร เขาก็หายสาบสูญไป ผู้คนต่างคิดว่าเขาไปยังมณฑลเทพแห่งอื่น แต่เผ่ามังกรเจียวของเรารู้ดีว่าเขาได้สิ้นใจไปแล้ว ณ สถานที่แห่งหนึ่งในมณฑลเทพแห่งนี้”
“หลายปีมานี้ เผ่ามังกรเจียวของเราได้ใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อค้นหาเหรียญตรามังกรดำ จนกระทั่งพบเพียงสองเหรียญ”
“บัดนี้ ถึงเวลาที่สุสานจะเปิดออก เจ้าจงนำเหรียญตรามังกรดำไปนำมรดกและอัฐิของเขากลับมา ในอนาคตสายเลือดของเจ้าจะต้องแข็งแกร่งขึ้นอย่างแน่นอน!”
สิ้นคำกล่าว เด็กหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งสวมชุดยาวสีทองก็ค่อย ๆ เดินออกมา
บนศีรษะเขามีเขาของมังกรเจียวสีเขียวสองข้าง ดวงตาเป็นประกายดุจดวงดาว ส่องประกายระยิบระยับ
เห็นเกล็ดมังกรสีเขียวปรากฏขึ้นใต้ผิวหนังอย่างเลือนราง รัศมีอันน่าเกรงขามแผ่กระจายไปทั่วร่าง
เด็กหนุ่มผู้นี้คืออัจฉริยะผู้แข็งแกร่งที่สุดแห่งยุคสมัยของเผ่ามังกรเจียว มีนามว่าเจียวฮ่าวเทียน
เผ่ามังกรเจียวเป็นเผ่าราชันในพันธมิตรสัตว์เทพ แม้จะมิใช่เผ่าจักรพรรดิสัตว์เทพ แต่ด้วยสายเลือดมังกรที่ไหลเวียนอยู่ภายใน ทำให้พลังของพวกเขาไม่อาจมองข้าม
ภายในเผ่ายังมีมหาปราชญ์ประจำการอยู่ จึงยิ่งใหญ่ไร้ผู้ต่อต้าน
“ขอรับ ฮ่าวเทียนจะทำตามคำสั่งของบรรพบุรุษ นำมรดกและอัฐิของมหาปราชญ์มังกรดำกลับมาให้จงได้”
เจียวฮ่าวเทียนคำนับ ระหว่างคิ้วมีประกายแห่งความเย่อหยิ่ง สง่างามดุจวีรบุรุษ
ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง หากได้รับมรดกของมหาปราชญ์มังกรดำ และหลอมรวมสายเลือดของอีกฝ่ายเข้ากับตนเอง
เขาจะต้องวิวัฒนาการเป็นมังกรเทพสายเลือดบริสุทธิ์
เมื่อถึงเวลานั้น แม้จะต้องเผชิญหน้ากับอัจฉริยะผู้ยิ่งใหญ่แห่งเผ่ามังกร เขาก็มิหวั่นเกรง
จากนั้นเจียวฮ่าวเทียนก็จากไปเพียงลำพัง
เรื่องนี้มิควรเปิดเผยต่อสาธารณชน เขาจึงมิได้พาผู้ติดตามหรือทหารองครักษ์ไปด้วย
แน่นอนว่าเขายังมีผู้คุ้มกัน
เพราะเขาคืออัจฉริยะอันดับหนึ่งของเผ่ามังกรเจียว ความหวังของเผ่าในอนาคต การเดินทางออกนอกเผ่าย่อมต้องมีผู้คุ้มกัน
……………
อีกด้านหนึ่ง
ด้วยระยะทางที่ไกลโพ้น
นาจาจึงพากู้ชิงเฟิงเหาะเหินเดินอากาศไป
แต่วิธีการของเขานั้น มิได้อ่อนโยนนัก
ในเวลานี้ กู้ชิงเฟิงที่ถูกนาจาหิ้วไปด้วยมือข้างหนึ่ง มีสีหน้าจนใจ
แต่เมื่อเขาก้มลงมองกงล้อเพลิงที่อยู่ใต้เท้าของนาจา ผ้าแพรแดงที่พันรอบตัว และห่วงทองคำที่ข้อมือ ก็อดรู้สึกตกตะลึงมิได้
ก่อนหน้านี้ ชายชราไป๋อวี่บอกเขาว่าทั้งสามสิ่งล้วนเป็นอาวุธปราชญ์!
“แม้แต่ปราชญ์รุ่นเก่า การมีอาวุธปราชญ์หนึ่งชิ้นก็ถือว่าดีมากแล้ว แต่นาจากลับมีถึงสามชิ้น!”
กู้ชิงเฟิงรู้สึกใจสั่น ใบหน้าชาชิน
เขาได้แต่ถอนหายใจ วังสวรรค์แห่งนี้ร่ำรวยยิ่งนัก
เด็กคนหนึ่งเดินทางออกนอกวังสวรรค์ ยังมีอาวุธปราชญ์ถึงสามชิ้น
ชายชราไป๋อวี่ก็รู้สึกท้อแท้เช่นกัน เขาบำเพ็ญเพียรมาทั้งชีวิต ก็มีเพียงอาวุธปราชญ์หนึ่งชิ้นเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น คุณภาพของอาวุธปราชญ์ของเขายังเทียบมิได้กับอาวุธปราชญ์ของนาจาแม้แต่ชิ้นเดียว
เปรียบเทียบกันแล้ว สมบัติของเขากลายเป็นเพียงเศษขยะ
ชายชราไป๋อวี่รู้สึกท้อแท้จนพูดไม่ออก
จี๋อวิ๋นที่กำลังควบคุมหุ่นเชิดนาจาจากไข่มุกมารอยู่ มิได้สังเกตเห็นสีหน้าตกตะลึงและท้อแท้ของกู้ชิงเฟิงและชายชราไป๋อวี่
เขากำลังสัมผัสถึงพลังและสมบัติเวทของนาจา
หากเทียบกับเฟยเผิงที่บริสุทธิ์ มีเพียงกระบี่สะบั้นอสูรเพียงเล่มเดียว
นาจาจากไข่มุกมารกลับร่ำรวยยิ่งกว่า
สมบัติเวทที่ปรากฏให้เห็นมีหอกอัคคี กงล้อเพลิง ผ้าแพรป่วนฟ้า และห่วงจักรวาล
ส่วนที่ซ่อนไว้มีเกราะเพลิงเทพเก้ามังกร อิฐทองคำ กระบี่คู่หยินหยาง
ทุกชิ้นล้วนเป็นสมบัติล้ำค่า
ยิ่งไปกว่านั้น ล้วนอยู่ในสภาพถูกผนึก และจะค่อย ๆ คลายออกตามระดับตบะของนาจา
“นี่มันเด็กน้อยมากสมบัติชัด ๆ”
จี๋อวิ๋นตกตะลึงกับจำนวนสมบัติเวทของนาจา สมกับที่นิกายฉ่านชอบให้ท้ายศิษย์ สมบัติเวทมีครบครันทุกอย่าง
แต่สำหรับเขานั้น นับเป็นเรื่องดีอย่างยิ่ง
ด้วยสมบัติเวทเหล่านี้ พลังรบของนาจาจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก
จากนั้น ภายใต้การควบคุมของจี๋อวิ๋น นาจาเร่งความเร็วของกงล้อเพลิงจนถึงขีดสุด
ไม่กี่วันต่อมา พวกเขาก็มาถึงจุดหมายปลายทาง
ณ มุมหนึ่งทางทิศตะวันออกของมณฑลเทพจงถู ที่นี่คือป่าใหญ่แห่งความมืดมิด
จากนั้น กู้ชิงเฟิงก็หยิบเหรียญตรามังกรดำออกมา
ตามคำแนะนำของแผนที่บนเหรียญ พวกเขาใช้เวลาครึ่งวันเดินทางลึกเข้าไปในป่าใหญ่
ณ ที่แห่งนั้นมีต้นไม้โบราณต้นหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่
“ที่นี่แหละ”
กู้ชิงเฟิงถือเหรียญตรามังกรดำ ชี้ไปยังต้นไม้โบราณต้นนั้น
แต่สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ ในความว่างเปล่าอันไกลโพ้น มีดวงตาคู่หนึ่งจ้องมองเขามา