ตอนที่แล้วความว่างเปล่า
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเกม

ผู้คน


เด็กสาวกรีดร้องเสียงดัง ยิ่งพอก้องกังวานในสถานที่เช่นนี้ก็ดูน่ากลัวไม่น้อย

ซ่งชิงเสี่ยวรู้สึกหูอื้อเพราะเสียงนั้น ขณะที่ชายวัยกลางคนก็เริ่มหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะหาทางออกไม่เจอเป็นเวลานาน บวกกับทั้งหิวและเหนื่อย และยังลื่นล้มลงอย่างกะทันหันจนตกใจกลัวสุดขีด เสียงกรีดร้องของเด็กสาวกลายเป็นตัวเร่งให้จุดอารมณ์ของเขาถึงขีดสุด ทันทีที่เขากลับมาได้สติและผ่อนคลายลงเล็กน้อย เขาก็ไม่ลังเลที่จะยกแขนขึ้นและตบหน้าเด็กสาวอย่างแรง!

เสียงดัง "เพี๊ยะ" ดังขึ้น ตีจนศีรษะของเด็กสาวหันไปด้านข้าง แรงมากจนซ่งชิงเสี่ยวที่เพิ่งจะนั่งตัวตรงได้ก็ถูกเด็กสาวที่กำมือเธอไว้ดึงให้ล้มลงไปกองกับพื้นอีกครั้ง!

"ถ้าแกส่งเสียงอีก ฉันจะแกเธอให้ตาย ! "

เสียงกรีดร้องของเด็กสาวหยุดลงทันที หลังจากที่เงียบลงแล้ว ยิ่งทำให้รู้สึกเงียบสงัดอย่างประหลาด ราวกับว่ารอบตัวทั้งสามคนมีเพียงเมืองร้าง

ชายวัยกลางคนเดิมที่อยู่บนจุดสูงสุดของความสิ้นหวัง เมื่อลงมือทำ ความกลัว ความกังวล ความเหนื่อยล้า และอารมณ์ด้านลบทั้งหมดก็เหมือนกับว่าได้พบทางออกจากการกระทำที่รุนแรงในทันที ดวงตาของเขาแดงก่ำ สีหน้าโหดเหี้ยม ตบไปหนึ่งครั้งยังไม่หนำใจ ยกกำปั้นขึ้นแล้วต่อยศีรษะของเด็กสาวอีกครั้ง

เด็กสาวถูกต่อยจนมึนงง ปล่อยมือซ่งชิงเสี่ยวโดยไม่รู้ตัวเพื่อจะเอามากัน พร้อมกับส่งเสียงร้องไห้ "อื้ออื้อ"

ก่อนหน้านี้ตบไปหนึ่งครั้งจนมุมปากของเด็กสาวแตก มีเลือดถังลออกมา เมื่อชายวัยกลางคนต่อยศีรษะของเด็กสาวอีกหนึ่งครั้ง สีหน้าของเด็กสาวก็เปลี่ยนไป

ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปคงจะตายจริง ๆ แน่  ซ่งชิงเสี่ยวพยายามห้าม

เธอเติบโตมาในเมืองหลวงตอนตะวันตกที่มีเหตุการณ์ความรุนแรงบ่อยครั้ง โตมาในสถานที่ซึ่งเรียกว่า "สลัม" ดังนั้นจึงเคยเห็นภาพการทารุณกรรมแบบนี้มาเยอะมาก เธอรู้ดีถึงความหวาดกลัวของเด็กสาวคนนั้น

ยิ่งในบรรยากาศเช่นนี้ แม้แต่ลมพัดหญ้าถังวเล็กน้อยก็เพียงพอที่จะทำให้คนตัวสั่นได้แล้ว เธอเองก็กลั้นความกลัวไว้ในใจเช่นกัน

เด็กสาวคนนี้มีนิสัยขี้กลัวและขี้ขลาดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หลังจากที่ถูกชายวัยกลางคนต่อยจนล้มลงและตกใจกลัว เพราะชายวัยกลางคนที่ลงมือโดยขาดสติคนนี้ ก็มีโอกาสมากที่เรื่องราวจะบานปลายจนใหญ่โต ทั้งสามคนกว่าจะเดินฝ่าฟันมาถึงจุดนี้ก็ไม่ง่ายอยู่แล้ว ถ้าเด็กสาวถูกทำร้ายจนเกิดปัญหาขึ้นมาอีก คนที่เหลือซึ่งมีอยู่แค่สองคนก็คงไปต่อลำบาก และการตามหาสมาชิกทีมอื่น ๆ อีกหกคนที่เหลือก็ไม่ง่ายเลย ยิ่งไปกว่านั้นการหาทางออกจากพื้นที่นี้คงยากเย็นแสนเข็ญมากขึ้นอีก

แน่นอนว่าสาเหตุที่สำคัญที่สุดไม่ใช่เพียงแค่ความสงสารที่ซ่งชิงเสี่ยวมีต่อเด็กสาวคนนี้ แต่เธอเป็นห่วงว่าถ้าชายวัยกลางคนทำร้ายเด็กสาวจนเกิดปัญหาขึ้นมา เธอที่เหลือแค่คนเดียวก็จะเสียสมดุล

ต้องมาอยู่กับหมอนี่สองต่อสอง เป็นเรื่องน่ากลัวมากจริง ๆ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอันตรายทั้งหมดก็จะตกมาอยู่ที่เธอแทน ยิ่งรู้ว่าชายอ้วนเตี้ยคนนี้เคยใช้ความรุนแรงกับเด็กสาวคนนี้มาแล้ว ในระหว่างการเดินทางก็อาจจะลงไม้ลงมือกับเธอก็ได้ เมื่อถึงเวลานั้นสถานการณ์ของเธอคงจะย่ำแย่มาก!

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ซ่งชิงเสี่ยวก็คว้ามีดที่ซ่อนไว้ที่แขนเสื้อด้วยมืออีกข้างหนึ่ง เพื่อเตรียมพร้อมในกรณีที่ชายคนนั้นโจมตีแบบไม่ทันตั้งตัว ในขณะเดียวกันก็ใช้แรงจากร่างกายกระทุ้งถังล่ไปทางชายวัยกลางคนอย่างสุดแรง

"อย่าทำร้ายแก! "

ตอนที่เธอพูดประโยคนี้จบ เสียงก็แห้งผากมาก มีเพียงซ่งชิงเสี่ยวเท่านั้นที่ได้ยินว่าเลือดในร่างกายของเธอถังลเวียนเร็วแค่ไหน หัวใจเต้น "ตุบ ๆ " อย่างรวดเร็ว

บางทีอาจเป็นเพราะชายวัยกลางคนนี้ ตัวทั้งเตี้ยและอ้วน จึงดูภายนอกแข็งแกร่งแต่ข้างในเป็นโพรง หรืออาจเป็นเพราะตลอดทางที่ผ่านมาเขาหวาดกลัวจนตัวสั่นอยู่แล้ว บวกกับความเหนื่อยและหิว จึงทำให้แค่ซ่งชิงเสี่ยวชนเข้าไปครั้งเดียว ชายวัยกลางคนก็ปลิวล้มลงไปกับพื้นแล้ว ด้วยความโกรธแค้นจึงพยายามจะลุกขึ้นมาทำร้ายอีกครั้ง แต่ซ่งชิงเสี่ยวก็ตัดสินใจใช้แรงทั้งหมดลากเด็กสาวที่ทรุดลงไปนอนกับพื้นจนไม่สามารถขยับตัวได้ พยายามดึงเธอออกมาจากชายวัยกลางคนอ้วนเตี้ยคนนี้ พร้อมกับตะโกนถามอย่างแหบแห้ง

"แกจะฆ่าเธอให้ตายเลยหรือไง ! "

พูดจบประโยค ก็ทำให้ชายวัยกลางคนชะงักมือที่ยกขึ้นค้างไว้กลางอากาศ

แม้ว่าพื้นที่นี้จะดูเป็นภาพลวงตามากแค่ไหน แต่การเคารพกฎหมายก็ยังเป็นแนวคิดที่หยั่งรากลึกในหมู่พลเมืองของจักรวรรดิ เมื่อศีลธรรมยังไม่เสื่อมทรามลงอย่างสมบูรณ์ การห้ามปรามของซ่งชิงเสี่ยวก็ยังพอทำให้ชายวัยกลางคนสงบลงได้ กำปั้นของเขาที่กำไว้ก็คลายออก

ร่างกายของเด็กสาวสั่นเทิ้มราวกับร่อนแกลบ รอยนิ้วมือสีแดงปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วบนแก้มของเธอ เธอหวาดกลัวชายวัยกลางคนคนนั้นอย่างสุดขีด ท่าทางบุคลิกของเธอดูขี้ขลาดเกินไปจริง ๆ นั่นแหละ  ตอนนี้ทั้งที่โดนทำร้ายขนาดนั้นแต่กลับไม่กล้าแม้แต่จะร้องไห้ออกมาเสียงดัง กลับขดตัวและหลบไปอยู่ด้านหลังซ่งชิงเสี่ยวแทน

"อย่าลืมว่าตอนนี้ยังไม่มีใครสักคนที่รู้วิธีหนีออกจากที่นี่เลย ลำพังแค่เราสามคนช่วยกันหาทางออกก็ยากมากพอแล้วนะ"

ซ่งชิงเสี่ยวทบทวนคำพูดของตัวเองอยู่หลายรอบก่อนจะพูดกับอีกฝ่าย เพราะกลัวว่าจะทำให้ชายวัยกลางคนโกรธแล้วเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นมาอีก ในขณะเดียวกันเธอก็กำแขนตัวเองไว้แน่น มือข้างหนึ่งกดที่ด้ามมีดไว้ใต้แขนเสื้อ

"ถ้าเกิดมีใครบาดเจ็บอะไรขึ้นมา จำนวนคนเราก็จะยิ่งน้อยลง มันไม่ได้มีประโยชน์กับทั้งสองฝ่ายเลย"

ทั้งที่ปกติเธอไม่ใช่คนพูดมาก แต่คำพูดที่พูดออกมานั้นตรงประเด็น ชายวัยกลางคนสีหน้าผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด ซ่งชิงเสี่ยวถอนหายใจโล่งอกเล็กน้อย แล้วพูดต่อว่า “เรายังหาโจวจิงไม่เจอเลยตอนนี้ แล้วถ้าหากทุกคนมาเจอกันแล้วหาทางออกจากที่นี่ได้เมื่อไหร่ คุณทำร้ายคนไปก็เป็นเรื่องยุ่งยากอยู่ดี”

เธอพูดถึงเรื่องนี้เพื่อให้ชายวัยกลางคนมีความหวังเล็กน้อย และพยายามทำให้เขาสงบลง เพื่อให้เขาควบคุมพฤติกรรมของตัวเองได้

ประโยคเหล่านี้ได้ผลดีมาก เพราะในที่สุดมันก็ทำให้ชายวัยกลางคนสามารถกลั้นความโกรธไว้สำเร็จจนได้ เขาปัดเศษหญ้าที่ติดอยู่ที่ตัวให้ร่วงลง แล้วลุกขึ้นยืนพร้อมกับเสียงฮึดฮัด

เขาเป็นคนแรกที่เหยียบพลาดลงไป แถมด้วยลักษณะตัวที่อ้วนเตี้ย จึงทำให้ล้มหนักกว่าเด็กสาวทั้งสองคน พอลุกขึ้นมาได้ก็มีเสียงสูดหายใจดังเฮือก ขาขวาดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ดั่งใจเท่าไหร่แล้วตอนนี้ กลายเป็นเดินกระเผลกมากกว่าตอนก่อนหน้านี้อีก

หลังจากสงบสติอารมณ์ลงแล้ว ซ่งชิงเสี่ยวก็สำรวจสถานที่แห่งนี้อย่างรวดเร็ว ที่นี่ต่ำกว่าจุดที่พวกเขาลื่นล้มลงมาเล็กน้อยเท่านั้น จากพื้นที่ที่เหยียบอยู่ดูคล้ายกับจะเป็นขั้นบันไดเลย เพียงแต่พอเวลาผ่านมานานมากแล้ว หญ้าก็ขึ้นปกคลุมบันไดไปหมดบวกกับบรรยากาศที่ไม่สว่างมากนัก จึงทำให้พวกเธอมองไม่เห็นและเหยียบพลาดจนลื่นล้มลงไปกองกับพื้น

หลังจากรู้เรื่องนี้แล้ว ทุกคนก็ยิ่งระมัดระวังมากขึ้นค่อย ๆ เดินตามบันไดลงไป แล้วเริ่มสำรวจพื้นที่จุดใหม่ที่แปลกตาอันนี้

ไม่รู้ว่าเดินไปอีกนานแค่ไหน เงาดำที่ซ่อนอยู่ในหมอกเมื่อสักครู่ก็อยู่ใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว จนในที่สุดภาพที่เห็นตรงหน้าก็เริ่มปรากฏเป็นอาคารที่ดูคล้ายโรงงานร้าง ๆ แห่งหนึ่ง ทั้งสามคนโล่งใจในตอนแรก แต่แล้วก็รู้สึกตึงเครียดขึ้นมาอีกครั้ง

เพราะอะไรน่ะเหรอ...

ก็เพราะในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยแห่งนี้ จู่ ๆ ก็มีอาคารแปลก ๆ ปรากฏขึ้น แถมยังไม่รู้ว่าจะมีอันตรายอีกหรือไม่ ทั้งสามคนจับมือกันแล้วตัดสินใจเดินเข้าไปอย่างหวาดกลัวเล็กน้อย ข้างในมืดกว่าข้างนอกมาก ดูแล้วก็สัมผัสได้เลยว่าน่าจะเป็นโรงงานร้างที่ใหญ่โตพอสมควรมาก่อน แต่เมื่อเข้าไปแล้ว พวกเขากลับพบว่าภายในมีเพียงถังใบใหญ่สิบกว่าใบวางอยู่เท่านั้น นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรอีก

ถังแต่ละใบมีฝาถังปิดทับอยู่ ไม่รู้ว่าข้างในใส่ของกินอะไรเอาไว้หรือไม่ แต่ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนแบบนี้ ถึงแม้ทุกคนจะต่างทั้งเหนื่อยและหิว แต่ก็ยังไม่กล้ามากพอที่จะเปิดฝาถังใบนี้โดยไม่คิดหน้าคิดหลัง หลังจากหารือกันแล้ว พวกเขาจึงตัดสินใจสำรวจรอบ ๆ ดูก่อน

สามารถมองเห็นอาคารได้ ก็หมายความว่าบางทีสถานที่แห่งนี้ก็อาจมีทางออกอื่น ๆ ซุกซ่อนอยู่อีก หากพบทางออกและออกจากสถานที่ผีสิงแห่งนี้ได้ ก็ถือว่าเป็นการหลุดพ้นจากที่บ้า ๆ แบบนี้สักที

ชายวัยกลางคนอ้วนเตี้ยก็เหมือนว่าจะมีแรงมากขึ้นทันทีเมื่อเห็นแสงแห่งความหวังอันรำไรนี้

เวลาผ่านไปทั้งสามคนก็เดินสำรวจโรงงานจนทั่วทุกมุมแล้ว ซ่งชิงเสี่ยวจดจำตำแหน่งและสภาพพื้นที่ที่ตนเองเดินผ่านเอาไว้ในใจอย่างแนบแน่น ไม่รู้ว่าเดินไปนานเท่าใด ทั้งสามก็หมดแรงและเหนื่อยล้าจนได้ ชายวัยกลางคนค่อยๆ สูญเสียความตื่นเต้นและความหวังที่เกิดขึ้นตอนที่พบโรงงานช่วงแรก ๆ ใบหน้าของเขาก็เริ่มหม่นหมองและไม่ค่อยพูด สีหน้าก็ยิ่งอันตรายขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งในที่สุด เสียงท้องของทุกคนก็ร้อง "โครกคราก" จนเดินต่อไปไม่ถังวแล้ว จึงต้องหาที่นั่งพักก่อน

"เธอมีอะไรกินมั้ย? "

ชายวัยกลางคนยื่นมือมาหาซ่งชิงเสี่ยว เธอรู้สึกทันทีว่าเขาแปลก ๆ  ขณะที่มือข้างหนึ่งก็ถูกเด็กสาวกำแน่น อีกข้างหนึ่งก็จับมือกับชายวัยกลางคนเช่นกัน

หลังจากที่โดนชายวัยกลางคนตี เด็กสาวก็ไม่กล้าเข้าใกล้เขาอีกเลย เธอถือว่าซ่งชิงเสี่ยวเป็นฟางเส้นสุดท้าย จึงได้แต่กำมือเธอไว้แน่นตลอดเวลา นั่นกลายเป็นทำให้ซ่งชิงเสี่ยวไม่สามารถกำมีดของตัวเองได้ถนัดนัก ซึ่งในใจก็แอบรู้สึกกังวลอยู่บ้าง

"ไม่มี"

เธอปล่อยมือที่จับกับชายวัยกลางคน แล้วทำทีว่าจะขยี้เกาแขนตัวเอง แต่จริงๆ แล้วเธอแอบกำด้ามมีดไว้เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้น ขณะที่ชายวัยกลางคนสังเกตเห็นการกระทำของเธอ เธอทำท่าทางแบบนี้หลายรอบเหลือเกินตลอดช่วงเวลาที่อ่อนถังวแบบนี้ ชายวัยกลางคนจึงถามด้วยน้ำเสียงหม่นหมองว่า

"เธอทำอะไรกับแขนตัวเองนักหนา"

เขาเริ่มระมัดระวัง ซ่งชิงเสี่ยวฝืนยิ้ม ทำทีเป็นสงบ

"ตอนที่ฉันล้ม พอดีมันกระแทกกับพื้นจนเป็นแผลถลอกน่ะ แล้วก็มีเลือดออก"

เมื่อเธอพูดเช่นนี้ ชายวัยกลางคนก็คลายความสงสัย

หลังจากที่ทั้งสามคนตกลงมาจากบันไดหนนั้น เขาเองก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อยเช่นกัน ขณะนี้ขาขวายังคงเจ็บแปลบๆ เขาจึงละสายตาจากซ่งชิงเสี่ยว แล้วหันไปมองเด็กสาวที่พยายามอยู่ห่างจากตัวเองให้มากที่สุด สายตาก็ดุดันมากขึ้นโดยอัตโนมัติ มีความโกรธเกรี้ยวแฝงอยู่ในสายตาคู่นั้น

"แล้วแกล่ะมีอะไรให้กินบ้างไหม"

ทันทีที่เขาพูด เด็กสาวก็สั่นไปทั้งตัว กระทั่งเมื่อชายวัยกลางคนพูดจบเด็กสาวก็รีบส่ายหัวหงึก ๆ ปฏิเสธท่าเดียว

"ไม่มี ไม่มี"

เธอเกรงว่าชายวัยกลางคนจะไม่เชื่ออีก จึงล้วงกระเป๋าของตัวเองออกมาให้อีกฝ่ายดู ถึงขนาดยอมถอดเสื้อโค้ทออกเพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองไม่ได้โกหกจริง ๆ

ส่วนซ่งชิงเสี่ยวก็เผลอไปสนใจกับไพ่ในหัว ในตอนนี้มันก็ยังคงไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ เป็นเวลานานแล้ว การกระทำของเด็กสาวที่ถอดเสื้อโค้ทออกทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวยังไงไม่รู้

ในสถานการณ์เช่นนี้ การกระทำของเด็กสาวถือเป็นเรื่องที่อันตรายมากในความคิดเธอ น่าเสียดายที่เธออายุน้อยเกินไปจึงไม่รู้ล่ะมั้งว่าสิ่งไหนเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม

ช่างไม่กลัวผู้ชายมีอารมณ์เอาซะเลยเนอะ...

สายตาของชายวัยกลางคนเริ่มเปลี่ยนไป ลมหายใจของเขาก็เปลี่ยนแปลงตามสายตาเช่นกัน ซ่งชิงเสี่ยวสะบัดมือเด็กสาวที่จับเธออยู่ทันที ก่อนจะลดเสียงลงแล้วดุเธอว่า "ใครก็เห็นทั้งนั้นแหละว่าหนูไม่มีอาหาร ! "

ขณะพูด เธอก็ผลักเด็กสาวเบาๆ แล้วแกล้งดึงเสื้อผ้าของเธอกลับเข้าที่ ขณะที่ชายวัยกลางคนกลับยกมุมปากขึ้น "นี่ ยัยหมายเลข 1 ! เข้ามาใกล้ ๆ ฉันหน่อยซิ"

เขาโบกมือเรียกเด็กสาว แล้วเลียริมฝีปาก

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด