บทที่ 6 : ท้าสู้ม่อเสี่ยวหลาง!
บทที่ 6 : ท้าสู้ม่อเสี่ยวหลาง!
ชูเกอกลับมาที่ห้อง ส่วนสาวน้อยช่างตื๊ออย่างชูเหยียนเอ๋อร์ก็เดินตามหลังเขามาติดๆ
ดวงตากลมโตกะพริบปริบๆเหมือนกลัวจะคลาดสายตา…จนชูเกอได้แต่มองนางอย่างจนใจ
ชูเหยียนเอ๋อร์ยิ้มกว้างจนแก้มเป็นลักยิ้ม เผยให้เห็นฟันขาวสะอาดเรียงราย
'ปล่อยให้นางเล่นไปคนเดียวก่อนเถอะ'
ชูเกอไม่สนใจชูเหยียนเอ๋อร์ที่ยังคงส่งเสียงเจื้อยแจ้วอยู่ข้างๆ, เขานั่งไขว่ห้างแล้วเริ่มฝึกฝนเพื่อเพิ่มพูนระดับพลัง
พลังปราณมีอยู่ทั่วทุกสารทิศในโลก เต็มไปหมดในทุกตารางนิ้วของความว่างเปล่า
การฝึกหายใจเข้าออกนั้นก็คือการดูดซับพลังปราณจากความว่างเปล่าเข้าสู่เส้นชีพจรในร่างกาย ปล่อยให้มันไหลเวียนเป็นวงกลม จากนั้นจึงค่อยๆผ่อนลมหายใจออก
ทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้ ทุกครั้งที่พลังปราณไหลเวียนครบหนึ่งรอบ…ก็จะมีพลังปราณบางส่วนหลงเหลืออยู่ในร่างกาย
ยิ่งผู้ที่มีพรสวรรค์สูง…ก็ยิ่งจะทำให้พลังปราณที่หลงเหลืออยู่ในร่างกายมากขึ้นตามไปด้วย
ส่วนผู้ที่มีพรสวรรค์ต่ำนั้นก็จะเป็นในทางตรงกันข้าม
พลังปราณที่หลงเหลืออยู่ในร่างกายนี้…พวกเราเรียกมันว่า 'ระดับพลัง'
เมื่อพลังปราณสะสมถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิดคอขวดเป็นกำแพงขวางกั้น
ในตอนนั้น ผู้ฝึกตนต้องทำลายกำแพงนั้นเพื่อขยายตันเถียน สร้างอาณาจักรขึ้นใหม่เพื่อรองรับพลังปราณ…นี่แหละที่เรียกว่า 'การพัฒนาขอบเขตพลัง'
ปัญหาของชูเกอก็อยู่ตรงนี้ การที่เขาเอาพลังฝึกฝนไปแลกกับพลังต่อสู้ ทำให้ดูเหมือนว่าตอนนี้ตันเถียนของเขาไม่สามารถกักเก็บพลังปราณได้อีกต่อไป
หากแต่ก่อนเขาสามารถดูดซับพลังปราณได้สิบส่วน แล้วกักเก็บไว้ได้สองส่วน ตอนนี้เขากลับไม่สามารถกักเก็บมันไว้ได้แม้แต่ส่วนเดียว
……….
อาการของเขานั้นคล้ายกับ 'ร่างปราณรั่วไหล'
'ร่างปราณรั่วไหล' หรือที่เรียกกันอีกอย่างว่า 'ร่างกายไร้ค่า' ถือเป็นร่างกายที่น่ารังเกียจที่สุดในโลกแห่งการฝึกฝน
ผู้ที่มีร่างกายแบบนี้จะไม่สามารถฝึกฝนได้ตั้งแต่กำเนิด…เพราะพวกเขาไม่สามารถกักเก็บพลังปราณไว้ในร่างกายได้เลย
“ร่างปราณรั่วไหลอย่างนั้นรึ นี่มันหมายความว่าข้าไม่มีทางพัฒนาขอบเขตพลังได้อีกแล้ว..ชั่วชีวิตนี้ก็คงต้องอยู่กับระดับพลังแค่อาณาจักรทะเลทุกข์ยากขั้นกลางเท่านั้นสินะ” ชูเกอลูบคางอย่างครุ่นคิด
ด้วยระดับพลังแค่อาณาจักรทะเลทุกข์ยากขั้นกลาง เขาไม่มีทางได้เป็นศิษย์หลักอย่างแน่นอน
หรือแม้ว่าเขาจะบังเอิญโชคดีได้เป็นศิษย์หลัก การพัฒนาขอบเขตพลังในอนาคตก็คงจะเป็นเรื่องยากอยู่ดี
แล้วเขาจะแก้ไขผลข้างเคียงนี้ได้อย่างไร?
“พี่ชาย…ท่านกำลังเจอปัญหาอะไรงั้นหรือ?”
เสียงใสๆที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันทำเอาชูเกอสะดุ้ง…เขาเกือบลืมไปแล้วว่าในห้องนี้ยังมีเด็กสาวตัวน้อยอยู่อีกคน
ณ ขณะนี้ชูเหยียนเอ๋อร์กระโดดขึ้นไปนั่งยองๆบนเตียงข้างๆเขาพร้อมกับเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“พี่ชายมีปัญหาอะไรก็บอกข้ามาสิ ข้าช่วยแก้ไขให้ได้นะ!”
“เจ้า?”
ชูเกอหัวเราะเบาๆพร้อมคิดในใจว่า ‘เจ้าตัวเล็กแค่นี้จะไปช่วยอะไรได้’
เเต่ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็พลันแข็งค้างไปชั่วขณะ เมื่อเขานึกขึ้นได้ถึงระดับพลังที่ลึกลับของชูเหยียนเอ๋อร์
‘หรือว่า…นางจะมีวิธีแก้ไขปัญหานี้จริงๆ?’
ชูเกอไอเบาๆเเล้วพูดว่า
“เจ้าพอจะมีวิธีรักษาโรคที่คล้ายๆกับร่างปราณรั่วไหลบ้างไหม?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้, ชูเหยียนเอ๋อร์ก็เบิกตากว้างอย่างตกตะลึง
“อะไรนะ!...ร่างปราณรั่วไหลอย่างนั้นรึ?”
“พี่ชาย…ร่างปราณรั่วไหลน่ะมันรักษาไม่ได้หรอก หรือถ้าได้ค่ารักษามันแพงมาก…ในแคว้นหยุนหวงแห่งนี้ไม่มีใครรักษาได้หรอก”
ร่างปราณรั่วไหลถือเป็นร่างกายที่ถูกสวรรค์ทอดทิ้ง หากต้องการเปลี่ยนแปลงร่างกายเช่นนี้อย่างน้อยๆก็ต้องให้ผู้แข็งแกร่งในอาณาจักรสวรรค์และมนุษย์มาลงมือเปลี่ยนแปลงโชคชะตาให้เท่านั้น
แต่ทว่าในหมู่เจ็ดสำนักใหญ่ของแคว้นหยุนหวงแห่งนี้ กลับไม่มีแม้แต่ปรมาจารย์อาณาจักรสวรรค์เเละมนุษย์สักคน, หรืออย่างน้อยๆก็ในสายตาของคนทั่วไป…พวกเขาไม่เคยปรากฏตัวออกมาเลย
สำนักซวนหยุนเองก็เป็นหนึ่งในเจ็ดสำนักใหญ่…พวกเขาก็ไม่เคยมีบันทึกว่าเคยมีปรมาจารย์อาณาจักรสวรรค์เเละมนุษย์ปรากฏตัวเช่นกัน
เมื่อเห็นชูเหยียนเอ๋อร์เริ่มกระโตกกระตาก…ชูเกอก็รับอธิบายทันที
“ข้าไม่ได้มีร่างปราณรั่วไหล, เพียงแต่ตอนต่อสู้ ข้าเอาพลังฝึกฝนไปแลกกับพลังต่อสู้ จนทำให้ตันเถียนได้รับบาดเจ็บ และเกิดเป็นผลข้างเคียงที่คล้ายๆกับร่างปราณรั่วไหลเท่านั้น”
เมื่อได้ยินเช่นนี้, ชูเหยียนเอ๋อร์ก็เกาหัวราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
เมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้นของชูเหยียนเอ๋อร์ ชูเกอก็เดาได้ทันทีว่านางต้องรู้อะไรบางอย่าง…เขาจึงรีบถามต่อทันที
“เจ้ามีวิธีรักษามันหรือไม่?”
“มีแต่โอสถวิญญาณขั้นสูงอย่าง ‘โอสถหลอมวิญญาณ’ เท่านั้นที่สามารถรักษาอาการนี้ได้” ชูเหยียนเอ๋อร์ถอนหายใจ
“แต่เท่าที่ข้ารู้ ศูนย์กลางการค้าของสำนักซวนหยุนไม่มีโอสถหลอมวิญญาณขาย”
สีหน้าของชูเกอที่กำลังดีใจพลันหม่นหมองลง ความหวังของเขาพังทลายลงในพริบตา
เเต่ทันใดนั้นชูเหยียนเอ๋อร์ก็วางมือลงบนไหล่ของชูเกอ พร้อมตบลงบนหน้าอกของตัวเองเบาๆอย่างภาคภูมิใจ
“แต่ว่า…ตรงหน้าพี่ชายมีปรมาจารย์การปรุงโอสถอยู่นะ”
“หากพี่ชายพูดจาไพเราะเพราะพริ้ง ปรมาจารย์อาจจะยอมปรุงโอสถให้ก็ได้นะ”
ตอนนี้ชูเกอถึงกับพูดไม่ออก…ปรมาจารย์การปรุงโอสถอย่างนั้นรึ?
มีปรมาจารย์การปรุงโอสถที่อายุยังน้อยขนาดนี้ด้วยหรือ?
"ไม่เชื่อหรือ?”
“ท่านอาจารย์ของข้าเคยบอกว่า ข้าเป็นอัจฉริยะในการปรุงโอสถที่หาได้ยากในรอบพันปี…ไม่สิ หมื่นปีต่างหาก!”
“โอสถระดับวิญญาณขั้นสูงแค่นี้ ข้าสามารถปรุงได้อย่างง่ายดาย”
เมื่อเห็นชูเกอทำท่าทางสงสัย, ชูเหยียนเอ๋อร์ก็โพล่งออกมาอย่างโมโห
"เชื่อสิ ข้าเชื่ออยู่แล้ว งั้น...สาวน้อยอัจฉริยะการปรุงโอสถที่ทั้งสวยและน่ารัก….ท่านพอจะช่วยปรุงโอสถให้ข้าสักเม็ดได้หรือไม่?"
เพื่อโอสถหลอมวิญญาณ เเละเพื่อฟื้นฟูระดับพลัง…ชูเกอถึงกับยอมพูดจาเลี่ยนๆแบบนี้
"ในที่สุดก็พูดความจริงสักที, ข้าชอบคำพูดแบบนี้ที่สุดเลย"
ชูเหยียนเอ๋อร์เอามือเท้าสะเอวเเละยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวสะอาดเรียงราย
นางหัวเราะอย่างชอบใจอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งเห็นชูเกอนั่งไขว่ห้างมองดูนางอยู่ นางจึงหยุดหัวเราะแล้วไอเบาๆ เหมือนรู้สึกเขินอายเล็กน้อย
จากนั้นนางก็เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
"อย่างแรกเลย ท่านต้องไปเตรียมสมุนไพรสามอย่าง พวกมันได้แก่...อะไรบ้างนะ?”
“อ้อ! นึกออกแล้ว…พวกมันคือ, เห็ดหลิงจือหกสุริยัน, ต้นหญ้าชิงหลิง และบัวเก้าปล้องสีเขียวหยก”
“ในบรรดาสมุนไพรทั้งสามอย่าง เห็ดหลิงจือหกสุริยันกับต้นหญ้าชิงหลิงนั้นหาได้ทั่วไป…ส่วนบัวเก้าปล้องสีเขียวหยกนั้นหายากกว่าเล็กน้อย แต่ข้าคิดว่าศูนย์กลางการค้าของสำนักซวนหยุนน่าจะมีขายนะ”
ชูเกอพยักหน้า เเละรู้สึกใจชื้นขึ้นมาในทันที
อย่างน้อยก็ยังมีทางแก้ไข…ส่วนเรื่องผลลัพธ์ค่อยว่ากันทีหลัง
อีกอย่าง…เจ้าของร่างเดิมก็ทิ้งทรัพย์สมบัติไว้ให้เขาไม่น้อย, มูลค่ารวมแล้วมีประมาณสามหมื่นผลึกขาว
ในโลกใบนี้ สิ่งของที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนมีอยู่สามระดับ ได้แก่ ผลึกขาว ผลึกฟ้า และผลึกม่วง พวกมันสามารถแลกเปลี่ยนกันได้ในอัตราส่วนร้อยต่อหนึ่ง
สามหมื่นผลึกขาว ถือว่าไม่ใช่น้อยๆเลย มันเพียงพอที่จะซื้อสมุนไพรทั้งสามอย่างได้อย่างแน่นอน
ทันใดนั้นชูเกอก็นึกอะไรบางอย่างออก…หากวันนี้เขาไม่ต้องการซื้อสมุนไพร เขาคงลืมชายคนนี้ไปแล้ว
'หลินเทียน!'
ระดับพลังของหลินเทียนนั้นธรรมดามาก, แต่เขากลับมีความสามารถในการทำธุรกิจเป็นเลิศ
เขาเปิดร้านอยู่ที่ศูนย์กลางการค้าของสำนักซวนหยุน ธุรกิจของเขารุ่งเรืองมาก…เเต่มันก็เป็นเหตุให้ถูกคนอื่นอิจฉา รังแก ข่มเหง หลินเทียนจึงต้องมาขอความคุ้มครองจากชูเกอ
สามหมื่นผลึกขาวนี้ ส่วนใหญ่แล้วก็มาจาก 'ค่าคุ้มครอง' ที่หลินเทียนมอบให้เขานั่นเอง
“พรุ่งนี้ไปหาหลินเทียนหน่อยดีกว่า หากเขายังจำพี่ชายคนนี้ได้ก็ดีไป หากเขาไม่จำ…ต่างคนต่างอยู่ก็แล้วกัน”
ภายใต้ความมืดมิด ดวงตาของชูเกอเป็นประกายราวกับสายฟ้าที่พาดผ่าน
ศูนย์กลางการค้าของสำนักซวนหยุนตั้งอยู่บริเวณเชิงเขา, บางทีอาจเป็นเพราะปฐมบรรพบุรุษของสำนักซวนหยุนรู้สึกว่าศูนย์กลางการค้านั้นเต็มไปด้วยกลิ่นอายของเงินทอง พวกเขาจึงสร้างมันไว้ที่เชิงเขา
แต่ด้วยเหตุนี้เอง ศูนย์กลางการค้าของสำนักซวนหยุนจึงเปิดกว้างต้อนรับผู้คนจากภายนอก ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนอิสระหรือผู้คนจากสำนักเล็กๆใกล้เคียง…พวกเขาต่างก็สามารถมาตั้งแผงขายของได้
ทางทิศตะวันออก ท้องฟ้าเริ่มสว่างไสว แสงสีขาวนวลเริ่มปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า
เมฆาเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า พระอาทิตย์ค่อยๆโผล่พ้นขอบฟ้าพร้อมพลังปราณบริสุทธิ์ที่แผ่กระจายไปทั่วทุกสารทิศ
ศูนย์กลางการค้าเต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่าน ร้านค้าต่างๆตั้งเรียงรายเป็นแถว มีทั้งร้านขายของใช้ในชีวิตประจำวัน ร้านขายอาวุธวิญญาณ โอสถวิเศษ แม้กระทั่งร้านขายทาสเผ่าจิ้งจอกสาวก็ยังมี
ร้านค้าของหลินเทียนตั้งอยู่ในทำเลที่ดี ผู้คนสัญจรไปมาพลุกพล่าน แต่ทว่ามันกลับไม่มีลูกค้าแม้แต่คนเดียว
หลินเทียนนั่งอยู่หน้าประตูร้าน มือถือไม้ปัดขนไก่แกว่งไปมาอย่างเบื่อหน่าย…ตอนนี้เขากำลังนับจำนวนหญิงสาวที่สวมชุดสีแดงที่เดินผ่านไปมา
ดวงตาข้างซ้ายของเขาเขียวช้ำ ส่วนมือข้างขวานั้นพันผ้าเอาไว้
หลินเทียนถอนหายใจอย่างจนใจ
"หลินเทียน…ยอมแพ้แล้วก็ไสหัวไปซะ ถ้ายอมมอบร้านนี้ให้เป็นของข้า ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า แต่ถ้ายังดื้อด้านอีก หึหึ…"
หลินเทียนเงยหน้าขึ้น ดวงตาข้างซ้ายที่เขียวช้ำหรี่ลงเล็กน้อย
"ฮึ่ม…หวังอู่ ตอนที่พี่ใหญ่ชูยังอยู่ เจ้าเห็นข้าทีไรก็วิ่งหนีหางจุกตูด ตอนนี้พี่ใหญ่ชูเกิดเรื่องขึ้น พวกเจ้าก็รีบมาข่มเหงรังแกข้าในทันที!"
“เเก!” หวังอู่โกรธจนตัวสั่น
เขากระแทกหมัดเข้าที่หน้าอกของหลินเทียนอย่างแรง
โครม!
ร่างของหลินเทียนล้มไปกระแทกกับโต๊ะด้านหลังจนโต๊ะไม้แตกละเอียด
มุมปากของหลินเทียนมีเลือดสีแดงสดไหลซึมออกมา เขาเช็ดเลือดที่มุมปากอย่างไม่ใส่ใจ เพราะเขารู้ดีว่า ตอนนี้คงไม่มีโอกาสแก้ตัวอะไรอีกแล้ว
หลังจากเกิดเรื่องขึ้นในการประลองระหว่างชูเกอกับเหยียนเฮ่า มันก็มีข่าวลือแพร่สะพัดออกไป
บ้างก็ว่าชูเกอกลายเป็นคนพิการไปแล้ว บ้างก็ว่าชูเกอกำลังฝึกฝนวิชายุทธ์ใหม่จนพลาดพลั้ง
เเละหลังจากนั้นหวังอู่ก็มาหาเรื่องเขา โดยอ้างว่าต้องการจะยึดร้านแห่งนี้…เขาจึงต่อว่าหวังอู่ไปสองสามประโยค เเละสุดท้ายก็ถูกหวังอู่ซ้อมจนสะบักสะบอม
“น่าเสียดาย ตอนนี้ไม่มีพี่ใหญ่ชูคอยคุ้มครองข้าแล้ว”
หลินเทียนหลับตาลง ยันตัวลุกขึ้นเตรียมเก็บข้าวของออกจากร้าน
เมื่อเห็นเช่นนี้หวังอู่ก็แสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย
"ไสหัวไปให้พ้น…บอกให้ก็ได้ เมื่อไม่กี่วันก่อนข้าเจอชูเกอ เเละมันยังไม่กล้าผายลมใส่ข้าเลย”
“ตอนนี้ต่อให้มันยืนอยู่ตรงหน้าข้า ข้าก็จะซ้อมมัน!”
"หืมมมม”
“อย่างนั้นรึ?”
“เจ้าอยากจะซ้อมข้าอย่างนั้นหรือ?”
เเต่ทันใดนั้น มันก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างๆพวกเขา
หวังอู่หันขวับไปมองด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ก็พบกับชายหนุ่มในชุดสีเขียวที่กำลังเดินตรงเข้ามาอย่างเชื่องช้า
ด้านหลังของชายผู้นั้นมีเด็กสาวที่ดูน่ารักน่าเอ็นดูเดินตามมาติดๆ
“ชูเกอ!”
ดวงตาของหวังอู่ฉายแววตื่นตระหนก แต่ในพริบตาเดียวมันก็หายไป
“ชูเกอกลายเป็นคนพิการไปแล้ว ข้าจะไปกลัวมันทำไม?”
“ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ซ้อมมันตอนนี้เลยละกัน!”
หวังอู่พึมพำในใจจากนั้นก็ส่งสายตาไปยังลูกน้องของเขา, พร้อมกับเอ่ยเยาะเย้ย
“อัจฉริยะชูเกอ…เจ้าอยากจะยุ่งเรื่องของคนอื่นอีกแล้วรึไง?”
ชูเกอยิ้มมุมปาก เขาชักดาบยาวออกมาจากด้านหลัง…ดาบที่ถูกชักออกจากฝักส่งเสียงดังกังวาน
"เลิกพูดไร้สาระ พวกเจ้าเข้ามาพร้อมๆกันเลย!”
“ฮึ่มม…ตอนนี้ระดับพลังของมันลดลงเหลือแค่อาณาจักรทะเลทุกข์ยากขั้นกลางเท่านั้น พวกเราไปรุมกระทืบมัน!”
เมื่อหวังอู่โบกมือ…ลูกน้องห้าหกคนก็
กรูกันเข้าไปหาชูเกอในทันที
ชูเกอก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เสื้อผ้าของเขาพลิ้วไสว ราวกับผีเสื้อที่กำลังเต้นระบำ
ดาบอัศนี!
หลังจากฝึกฝนอย่างหนักหน่วงมาหนึ่งเดือนเต็ม ดาบอัศนีก็บรรลุถึงขั้นสูงสุดแล้ว
พลังของมันสามารถสังหารศัตรูได้ด้วยดาบเดียว!
ชูเกอฟาดฟันดาบออกไปอย่างต่อเนื่อง เกิดเป็นเงาดาบมากมายที่ดูสง่างามและน่าเกรงขาม
ฉัวะๆๆๆๆๆ
เพียงพริบตา, ลูกน้องห้าคนของหวังอู่ก็ล้วนได้รับบาดเจ็บสาหัส
เมื่อเห็นท่าไม่ดี หวังอู่ก็รีบหันหลังวิ่งหนีทันที
ฉัวะ!
เเต่ทันใดนั้น ชูเกอก็ปล่อยดาบในมือออกไป
ดาบเล่มนั้นพุ่งปราดไปปักอยู่ที่ประตูไม้สีแดง ขวางทางหนีของหวังอู่อย่างรวดเร็ว
ณ ขณะนี้…ขาของหวังอู่สั่นเทาด้วยความหวาดกลัว
"เมื่อกี้ เจ้าบอกว่าจะซ้อมข้าอย่างนั้นรึ?” ชูเกอมองหวังอู่ด้วยรอยยิ้ม
ถึงแม้ชูเกอจะไม่ได้มีประสบการณ์ในการต่อสู้มากนัก แต่ความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมกลับมีประสบการณ์มากมาย ดังนั้นตอนนี้เขาจึงสามารถต่อสู้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ
หัวใจของหวังอู่เต้นระรัวด้วยความหวาดกลัว เขารวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีอยู่เเล้วเอ่ยข่มขู่
“ชูเกอ! ปล่อยข้าไปซะ, ไม่งั้นม่อเสี่ยวหลางจะไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่!”
“ตอนนี้เจ้ามีระดับพลังแค่อาณาจักรทะเลทุกข์ยากขั้นกลาง เจ้าไม่มีทางเอาชนะเขาได้หรอก!”
“ม่อเสี่ยวหลาง?” ชูเกอหรี่ตาลง
ม่อเสี่ยวหลางมีระดับพลังอยู่ที่ขอบเขตทะเลทุกข์ขั้นปลาย เมื่อก่อนเคยถูกชูเกอซ้อมจนหนีหางจุกตูดอยู่บ่อยๆ
ชูเกอเดินไปหยิบดาบขึ้นมา เขาใช้ด้ามดาบตบลงบนใบหน้าของหวังอู่อย่างแรง จนกระทั่งใบหน้าของมันแดงก่ำ
จากนั้นเขาก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
"งั้นรึ? เช่นนั้นข้าจะให้โอกาสเจ้า กลับไปตามม่อเสี่ยวหลางมา บอกมันว่าวันนี้ชูเกอจะรอมันอยู่ที่นี่…หากมีปัญหาก็มาสู้กับข้า!”
“ท้าสู้?”
“ชูเกอประกาศท้าสู้ม่อเสี่ยวหลาง?”
ทันใดนั้น, ข่าวนี้ก็แพร่กระจายไปทั่วศูนย์กลางการค้าอย่างรวดเร็ว
………………….