บทที่ 31
พูดถึงนิสัยใจคอพ่อของลู่ชวน โจวหย่งจื้อในสมัยนั้นช่างเด็ดขาด!
ตอนนั้นลู่จิ่งถือใบหย่า ปวดท้องจนเดินไม่ได้ แต่โจวหย่งจื้อกลับพูดเพียงว่า "จิ่งจิ่ง เราหย่ากันแล้วนะ อย่ามาพัวพันกันอีกเลย" พูดเสร็จก็หันหลังขับรถออกไปเลย ไม่ได้มีเศษเสี้ยวความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ว่าการนอกใจหลังจากแต่งงานกันแล้วนั้นเป็นเรื่องเหมาะสมหรือไม่
แต่ว่ามันก็ช่างบังเอิญเหลือเกิน เพราะสามเดือนต่อมาหลังจากนั้น ลู่จิ่งก็ดันคลอดลูกชาย ส่วนหลานหลานที่เพิ่งจดทะเบียนสมรสไป กลับคลอดลูกสาวเสียแทน แถมตาก็เล็ก จมูกก็กุดเหมือนกระเทียม กล่าวโดยสรุปคือ ไม่ว่าจะมองตรงไหนก็ไม่ได้มีส่วนใดเหมือนโจวหย่งจื้อเลย
โจวหย่งจื้อแทบคลั่ง!
เขาจ้างคนไปสืบจนเสียเงินมากมาย จึงได้รู้ความจริงว่า หลานหลานเคยเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านอาหารมาก่อน ลูกคนนี้เป็นของใคร เธอเองยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำ...
โจวหย่งจื้อรู้สึกราวกับว่าโลกทั้งใบมืดมัวลง
เพราะความที่ตัวเองเป็นหนุ่มไฟแรงและประสบความสำเร็จ เขาจึงเสียหน้าไปไม่น้อยในหมู่นักธุรกิจแถวหน้าด้วยกัน ทุกคนเห็นหน้าตาของเด็กก็ต่างพากันสงสัย เสียงซุบซิบนินทาวนเวียนอยู่รอบตัวเขาไม่ขาดสาย
โจวหย่งจื้อรู้สึกมึนหัวไปหมด ด้วยเหตุนี้ เขาจึงยอมกัดฟันไปตรวจดีเอ็นเอให้รู้แล้วรู้รอด แต่ผลลัพธ์ที่ออกมา กลับไม่รู้จะเรียกว่าแย่หรือยังไงดี เพราะเด็กผู้หญิงที่จมูกบี้เป็นกระเทียมแถมดวงตาเล็กน่ารังเกียจแบบนี้ กลับกลายเป็นลูกสาวของเขาจริงๆ หลานหลานก็รู้สึกเสียใจมาก ตอนนี้เธอถึงได้พูดความจริงที่เหลือออกมา
ตอนแรกเธอหน้าตาธรรมดา ทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านอาหารทั่วไปมันได้เงินน้อย จึงติดต่อลูกค้าบางคน ยอมแลกอะไรบางอย่างเพื่อเอาเงินก้อนหนึ่งไปเสริมความงามจนยกเครื่องใหม่ทั้งหมด แล้วจึงได้เข้าไปทำงานในคลับกลางคืน พอเข้าไปก็ได้เจอกับโจวหย่งจื้อ แล้วก็ตั้งท้องหลังจากนั้นอีกสองเดือน จริงๆ ก็ยังไม่รู้ว่าท้องตอนไหนด้วยซ้ำ...
ความดันโลหิตของโจวหย่งจื้อพุ่งสูงจนแทบจะทะลุหัวชนเพดานห้อง! หลานหลานเห็นท่าไม่ดี จึงรีบยื่นเรื่องหย่า แล้วก็ทิ้งลูกสาวไว้ให้เขา แบกเรื่องตลกแบบนี้ไว้ โจวหย่งจื้อแทบรู้สึกว่าตัวเองไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้หลืบไหนของจังหวัดอีกหลายปี
แต่ในเวลานั้น ประจวบเหมาะที่เขาได้ทราบว่าอดีตภรรยาลู่จิ่ง ได้คลอดลูกชายคนหนึ่งพอดิบพอดี คิดว่าเขาจะทำอย่างไรล่ะ…ราวสวรรค์ประทานพรแก่เขาเลยชะมัด จึงรีบตัดสินใจขอคืนดีตามตื๊อเธอแบบไม่ยอมราวี จนกระทั่งทำให้ชีวิตลู่จิ่งลำบาก ไม่เป็นอันทำงานทำการ สุดท้ายจึงยื่นเงื่อนไขว่าลู่จิ่งต้องยอมให้ลูกชายเปลี่ยนนามสกุลมาเป็นโจว จึงพอใจ
เดิมทีเขาตั้งใจจะนำลูกชายกลับมาอยู่ด้วยอย่างแน่นอน เพราะเขาหาเงินได้เยอะจึงมั่นใจว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมปฏิเสธ อีกทั้งสามารถให้สิ่งอำนวยความสะดวกที่ดีได้มากมาย แต่ในเวลานี้ จู่ๆ โจวหย่งจื้อกลับดันได้พบรักแท้อีกครั้ง คราวนี้เหมือนจะชื่อว่า ฟางฟาง...เอาเป็นว่า ตามที่ลู่ชวนได้สืบทราบข่าวคราวความเป็นจริงมา โจวหย่งจื้อได้แต่งงานมาแล้วถึงสามครั้ง
แต่มีลูกแค่สองคน…
ตอนนี้เขาอายุห้าสิบกว่าแล้ว ความฝันที่จะมีลูกชายอีกคนก็คงสลายไปนานแล้ว จึงหันมาสนใจลู่ชวนอย่างสุดหัวใจ
ในสายตาของโจวหย่งจื้อ ลูกชายคนนี้หน้าตาดี สูง และมีบุคลิกที่โดดเด่น แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่มีความสามารถอะไรมากมายและไม่มีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่ง แต่ก็เป็นที่นิยมมากเพราะหน้าตา
เขาสร้างเนื้อสร้างตัวมาด้วยตนเองในหนิงเฉิงมาด้วยความยากลำบาก มูลค่าทรัพย์สินรวมกันแล้วประมาณห้าสิบกว่าล้านหยวน ทั้งหมดนี้ยังไงก็จะต้องหาลูกชายเพื่อมอบสืบทอดต่อไปให้ได้ ด้วยเงินก้อนโตขนาดนี้ ใครจะเชื่อว่าลูกชายที่ไม่มีงานทำของเขาจะปฏิเสธเขาได้! แม้ว่าตอนนี้ลูกชายตัวดีของเขาจะยังปฏิเสธทุกช่องทางการติดต่อ ทั้งไม่รับโทรศัพท์ ไม่ตอบแชท และไม่ยอมพบหน้า แต่ความจริงก็ยังเป็นความจริงอยู่ในวันยังค่ำ สักวันหนึ่งเขาก็ต้องเป็นทายาทสืบทอดธุรกิจของเขาต่ออยู่ดี
ด้วยความคิดเช่นนี้ โจวหย่งจื้อจึงยิ่งคอยจู้จี้ลู่ชวนมากขึ้น ถึงขั้นพยายามหาทางให้เขากลับไปใช้นามสกุลเดิมที่ไปทำเรื่องเปลี่ยนเองหลังจากบรรลุนิติภาวะ
ลู่ชวนไม่แม้แต่จะมองหน้าเขาเลย เดิมทีก็ตั้งใจจะย้ายไปปักกิ่งกับลู่จิ่ง แต่กลับเกิดอุบัติเหตุขึ้นเสียก่อน โดยสรุปแล้ว เมื่อพูดถึงโจวหย่งจื้อ แม่ลูกคู่นี้ก็รู้สึกขยะแขยงจนกระเดือกอะไรไม่ลง หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ลู่จิ่งก็หันกลับมาพูดถึงเรื่องเดิม
"ยังไงเราก็จะไม่กลับไปอยู่บ้านที่หนิงเฉิงอีกแล้วนี่ เขาเก่งแค่ไหนก็ไม่มีทางตามเราถึงบ้านที่ปักกิ่งเจอหรอกลูก บ้านของเราปลอดภัยมาก เพราะงั้นลูกไม่ต้องกังวลเรื่องงานของแม่นะ ไม่ต้องไปสนใจเขาเลย"
"แม่เป็นห่วงลูกที่สุด" เธอถอนหายใจยาว
"ลูกเล่นไม่คุยกับใครเลย ทำตัวเหมือนไม่มีเพื่อนด้วยซ้ำ แต่ก่อนยังมีชอบเขียนนิยายบ้าง แม่เห็นว่ามันทำให้จิตใจลูกร่าเริงมีความสุขดี แม่เลยอุตส่าห์ไม่ได้ห้ามอะไร"
“แต่ช่วงนี้ลูกไม่ได้เขียนเลยด้วยซ้ำ เอาแต่นอนเหม่อลอยเหมือนคนไม่มีวิญญาณในร่าง แม่ว่านะ อย่างน้อยลูกก็ควรหาเพื่อนในเน็ตสักสองสามคน ไว้แค่คุยแชทก็ได้” เธอพูดไป น้ำตาก็คลอขึ้นมา “ลูกชายแม่หล่อขนาดนี้ นิสัยก็ดี สมัยเรียนมัธยมจดหมายรักยังปลิวมาหากันเป็นตั้งๆ ตอนนี้ถ้าไม่อยากทำศัลยกรรมก็ไม่ต้องทำแล้ว แต่ก่อนอื่นต้องดูแลจิตใจตัวเองให้ดีก่อน”
เธอพูดมากมายขนาดนี้ แต่ก็มีความหมายแฝงอยู่ชัดเจน ลู่ชวนจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา “เดี๋ยวผมจะยอมรับคำขอเป็นเพื่อนของเธอ” ลู่จิ่งเห็นท่าทางเงียบๆ ของเขา ก็หัวเราะออกมาทันที
“ลูกชายแม่…ถ้าลูกมีเพื่อนคนอื่นไว้คุยบ้าง แม่ก็ไม่ได้อยากไปฝืนบังคับจิตใจให้ลูกยอมรับคำขอเป็นเพื่อนของเธอหรอก”
“แต่แม่แค่คิดว่าลูกก็ช่วยชีวิตผู้หญิงคนนั้นไว้ ถ้าจะปิดบังไว้ตลอด ฝ่ายนั้นก็คงรู้สึกเป็นภาระที่ต้องคอยตามหาเราอยู่แบบนี้ เอาเป็นว่าคุยกันสักสองสามคำก็ได้ เพื่อให้เธอสบายใจขึ้นก็ยังดี”
ไม่เคยเห็นคนที่ได้รับบาดเจ็บจากการเสียสละช่วยชีวิตคนอื่น แต่กลับยังต้องไปปลอบใจอีกฝ่าย เพื่อให้ตัวเองได้มีเพื่อนรู้จักเพิ่มอีกสักคน แม่ของเขานี่ช่างคิดจริงๆ
คราวนี้ลู่ชวนเงียบจริงๆ…
จู่ๆ โทรศัพท์ก็สั่นขึ้น เห็นได้ว่าเพิ่งยอมรับคำขอเป็นเพื่อนไปเมื่อกี้ แต่ในหน้าแชทไลน์ที่ชื่อว่า ‘ซ่งถาน’ หญิงสาวตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว สั้น กระชับ และตรงไปตรงมา
“ขอบคุณนะคะ คุณลู่ชวน ได้ยินมาว่าคุณบาดเจ็บสาหัสเลย
ฉันไม่มีอะไรจะตอบแทนได้ รอบนี้ขอส่งผักไปให้ก่อนนะคะ รบกวนให้ที่อยู่ด้วยค่ะ”
มีอยู่ช่วงเวลาหนึ่งที่อารมณ์ของลู่ชวนก็เปลี่ยนไป
แม้ว่าเขาจะไม่ได้คาดหวังให้เธอต้องร้องไห้โฮขอบคุณเป็นล้นพ้นขนาดนั้น หรือให้เงินตอบแทนใดๆ ก็ตาม แต่คำตอบในแชทมันฟังดูแล้วกลับรู้สึกแปลกๆ อยู่นะ
แต่ว่าแปลกยังไง เขาก็ยังคิดไม่ออกในตอนนี้
แต่เมื่อผ่านไปสักครู่หนึ่ง พอคิดไปคิดมา สายตาเขาก็ไปหยุดอยู่คำว่า ‘ผัก’ ก่อนจะชะงักเล็กน้อย สุดท้ายก็ให้ที่อยู่ของลู่จิ่งไปอย่างเงียบๆ ตอนนี้เขาอยู่ในสภาพแบบนี้ก็ทำอาหารอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ก็ได้แต่ให้แม่ของเขาเหนื่อยหน่อยแล้วกัน
จากนั้นโทรศัพท์ก็เงียบลงทันที
การสื่อสารกับเธอในครั้งนี้เกินกว่าที่ลู่ชวนคาดการณ์ไว้ กระทั่งเขายังคงรู้สึกมึนงงอยู่บ้าง โทรศัพท์ที่วางอยู่ตรงหน้า เขาเปิดหน้าจอแล้วปิดอีกครั้ง ชวนให้ใจไม่สงบ
ลู่จิ่งมองดูไปก็แอบยินดีในใจ
ลูกชายของเขาพูดจาตรงไปตรงมาเสมอ และไม่ชอบพูดคุยกับผู้อื่นมากนัก แต่ตอนนี้กลับเจอคนที่พูดจาตรงไปตรงมาเด็ดขาดมากกว่า ดูสิ ประโยคเดียวก็ได้ที่อยู่มาแล้ว
ขณะเดียวกันตอนนี้ที่เมืองชิงซี หมู่บ้านหยุนเฉียว เฉียวเฉียวกำลังหอบหิ้วตะกร้าไปวางที่ท้ายรถกระบะอย่างยากลำบาก แล้วปีนขึ้นไปนั่งที่เบาะข้างคนขับอย่างชำนาญ เขาเป็นคนกระตือรือร้น ตอนนี้ก็เหงื่อท่วมหัวไปหมด ซ่งถานมองดูแล้วรู้สึกสงสาร จึงหยิบเงินสิบหยวนออกมาจากกระเป๋าและยื่นให้น้องชาย
“เฉียวเฉียววันนี้ขยันมาก รางวัลสิบหยวน ไปถึงเมืองแล้วซื้ออะไรก็ได้ที่อยากได้”
เฉียวเฉียวดีใจจนยิ้มไม่หุบ
กังหันลมสีสันสดใสที่ซื้อไปจากในเมืองเมื่อคราวก่อน ตอนนี้ยังวางอยู่บนหัวเตียงของเขาอยู่เลย ความรู้สึกที่ได้ใช้เงินซื้อของมันดีจริงๆ !
ปกติอู่หลานและซ่งซานเฉินไม่เคยคาดคิดเลยว่า ในฐานะเด็กทั่วไป เขาก็มีงานอดิเรกบางอย่างที่อยากใช้เงินซื้อเพื่อความสุขตัวเองเหมือนกัน อู่หลานและซ่งซานเฉินที่นั่งอยู่เบาะหลัง เห็นแล้วก็อดคันปากไม่ได้ “แม่สงสัยว่าทำไมเฉียวเฉียวถึงได้สนิทกับลูกจังนะ พ่อกับแม่เวลาพูดอะไรไปไม่เห็นค่อยได้ผลเท่าหนูพูดเลย...”
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเริ่มอิจฉาแล้ว
ซ่งถานหัวเราะ “แม่ ในสายตาของเฉียวเฉียว หนูก็แค่เพื่อนตัวโตที่เขาชอบที่สุดแค่นั้นเอง เด็กๆ ที่ไหนก็ชอบเล่นกับเด็กโตกว่าอยู่แล้ว”
ซ่งถานอายุมากกว่าเฉียวเฉียวห้าปี ในความทรงจำของเฉียวเฉียว เธอเป็นเพื่อนตัวโตที่พาเขาเล่นมาตั้งแต่เด็กเท่านั้น