ตอนที่แล้วบทที่​ 2​ : ศัตรู​ในที่มืด
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 4 : ชูเหยียนเอ๋อร์

บทที่ 3​ : วิชา​ดาบ​อัศนี


บทที่ 3​ : วิชา​ดาบ​อัศนี

ชูเกอกลับไปที่ห้องของเขา

วิชายุทธ์ที่เจ้าของร่างเดิมฝึกฝนนั้น ได้แก่ [หมัดสุริยัน]​ ซึ่งเป็นวิชายุทธ์ระดับ​มนุษย์​ขั้นกลาง และ [ดาบพิรุณ]​ ซึ่งเป็นวิชายุทธ์ระดับ​มนุษย์​ขั้นสูง

วิชาแรกเป็นวิชาที่เน้นพละกำลัง ดังนั้นพลังทำลายจึงไม่ด้อยไปกว่าวิชายุทธ์ระดับ​มนุษย์​ขั้นสูงทั่วๆไป

ส่วน, ดาบพิรุณนั้นเป็นวิชาดาบที่เน้นความพลิ้วไหว คล่องแคล่ว และงดงาม

พลังทำลายนั้นไม่ถึงกับแข็งแกร่ง แต่จุดเด่นอยู่ที่กระบวนท่าที่แปรผันได้หลากหลาย…ทำให้คู่ต่อสู้ตั้งรับได้ยาก

การที่ชูเกอสามารถก้าวขึ้นมาติดลำดับท็อปสิบของศิษย์สายในได้ ทั้งๆ ที่มีพลังฝึกฝนอยู่แค่อาณาจักร​ทะเลทุกข์ยากขั้นปลาย…ก็เพราะวิชายุทธ์ทั้งสองอย่างนี้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาดาบพิรุณ เขาฝึกฝนจนชำนาญถึงขีดสุด…เเละการที่เหยียนเฮ่าต้องพ่ายแพ้ต่อเขามาโดยตลอด ก็เป็นเพราะวิชาดาบนี้

ชูเกอชักดาบออกมา

จากนั้น​หลับตาลงเเละทบทวนความรู้สึกตอนที่ร่างเดิมฝึกฝนวิชานี้อย่างละเอียด

ดาบเคลื่อนไหวตามใจ

ใจเคลื่อนไหวไปตามความคิด

ความคิดเกิดขึ้นจากใจ เมื่อควบคุมน้ำหนักได้…ก็จะควบคุมดาบได้

ทันใดนั้น​มันก็ค่อยๆมีพลังปราณอันเจือจางแผ่ออกมารอบๆตัวชูเกอ

ดาบในมือสั่นไหว ปรากฏเป็นเงาดอกไม้กลางอากาศอันงดงาม​

ทันใดนั้น, เขาก็ตวัดดาบออกไปข้างหน้า!

เปรี้ยง!

อากาศเบื้องหน้าสั่นสะเทือน!

กระแสลมที่มองไม่เห็นพัดกระหน่ำออกมา…ทำให้เสื้อผ้าของชูเกอกระพือปลิวไสว

"ล้มเหลว!"

ชูเกอลืมตาขึ้นพร้อมกับความผิดหวัง

ตอนนี้เขาไม่สามารถใช้วิชา 《ดาบพิรุณ》ได้อีกเเล้ว

การเปลี่ยนจิตวิญญาณ ก็คือการเปลี่ยนจิตวิญญาณ

แม้จะรับรู้ถึงกระบวนท่า แต่มันก็ไม่ใช่วิชาของตนเอง

ความรู้สึกแปลกแยกนี้ ทำให้มือของเขาเคลื่อนไหวไม่เป็นธรรมชาติ

จากนั้น​ชูเกอก็ไม่ได้ลองใช้วิชา《หมัดสุริยัน》

หนึ่งคือ…เขามีเวลาเหลือน้อยมาก

ดังนั้น​เขาอยากจะฝึกฝนวิชาใดวิชาหนึ่งให้เชี่ยวชาญไปเลย, เขาจึงตัดสินใจล้มเลิก 《หมัดสุริยัน》

สองคือ, เขาไม่ค่อยชอบวิชานี้สักเท่าไหร่

เเละความจริงอีกข้อ ชูเกอก็ไม่ได้ชอบวิชา 《ดาบพิรุณ》 เช่นกัน

วิชาดาบพิรุณนั้นพลิ้วไหวเกินไป แม้กระบวนท่าจะแปรผันได้หลากหลาย ทำให้รับมือได้ยาก…แต่ส่วนตัวเขากลับชอบวิชาดาบที่ดุดัน เร่าร้อน และตรงไปตรงมามากกว่า

เมื่อคิดได้เช่นนั้น ชูเกอก็เกิดความคิดขึ้นมา

ในเมื่อเขาต้องฝึกฝนวิชายุทธ์ใหม่ตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว, เหตุใดจึงไม่ไปเลือกวิชาใหม่ที่หอคัมภีร์​เล่า?

การเลือกวิชาที่ตนเองชอบ และเหมาะสมกับตนเอง…จะทำให้การฝึกฝนนั้นง่ายขึ้นเป็นเท่าตัว

ชูเกอเป็นคนเด็ดเดี่ยว คิดอะไรได้ก็ลงมือทำทันที

ดังนั้น, เขาจึงเดินออกจากเรือนพัก…เเละมุ่งหน้าไปยังหอคัมภีร์​ของสำนักซวนหยุนทันที​

…….

เมื่อมายืนอยู่หน้าหอคัมภีร์​ของสำนักซวนหยุน, ชูเกอก็รู้สึกตื้นตันใจอย่างประหลาด

แท้จริงแล้ว หอคัมภีร์​ก็เปรียบเสมือนห้องสมุดในโลกเดิมของเขานั่นเอง

เมื่อเดินเข้าไปในหอคัมภีร์​ ก็จะเห็นหญิงสาวรูปงามนางหนึ่งนั่งอยู่หลังโต๊ะ

เธอกำลังก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ

ขณะที่​แสงแดดส่องกระทบตัวเธอ, มันยิ่งขับให้เธอดูอ่อนหวานและงดงามมากยิ่งขึ้น

ชั่วขณะหนึ่ง ชูเกอก็นึกถึงข่งเหยียนฉีขึ้นมา

ครั้งหนึ่ง เขาก็เคยเห็นข่งเหยียนฉีถือหนังสือเล่มหนึ่ง, เเละนั่งอ่านอยู่บนเก้าอี้ข้างหน้าต่างเช่นกัน

ทันใดนั้น​หญิงสาวผู้นั้นก็รู้สึกตัว เธอเงยหน้าขึ้นมองชูเกอ…ดวงตาอันงดงามฉายแววสงสัย เห็นได้ชัดว่าเธอต้องเคยได้ยินชื่อของชูเกอมาก่อน หรืออาจจะเป็นไปได้ว่า เธอเคยเห็นการประลองระหว่างเขากับเหยียนเฮ่า

ในฐานะผู้ดูแลหอคัมภีร์, เฟิงหลินย่อมรู้ดีถึงพลังทำลายของวิชาทั้งสองที่ชูเกอใช้

หากชูเกอยังไม่ได้สูญเสียพลังฝึกฝนไป วิชาทั้งสองอย่างนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เขากลายเป็นศิษย์สายในแถวหน้าของสำนักซวนหยุนได้

เช่นนั้น ชูเกอมาที่หอคัมภีร์​ทำไมกัน?

วิชายุทธ์ระดับวิญญาณ​นั้นไม่สามารถใช้ออกได้…หากยังไม่บรรลุอาณาจักร​น้ำพุ​เเห่ง​ชีวิต

หรือ​แม้จะอยู่ในอาณาจักร​น้ำพุ​เเห่ง​ชีวิต…ก็ยังไม่อาจแสดงพลังที่แท้จริงของวิชาออกมาได้

วิชายุทธ์นั้นแบ่งออกเป็น, ระดับมนุษย์, ระดับวิญญาณ, ​ระดับเซียน​, และระดับจักรพรรดิ​

วิชาในระดับม​นุษย์​นั้นเหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ที่อยู่ในอาณาจักร​ทะเล​เเห่ง​ความ​ทุกข์​ยาก

มันไม่สำคัญว่าวิชานั้นจะมีพลังทำลายมากน้อยเพียงใด, ความเหมาะสมต่างหากที่สำคัญที่สุด

ชูเกอละสายตาออกจากวิชาเหล่านั้น แล้วเดินตรงไปยังชั้นวางวิชาดาบ

เมื่อได้เห็นคัมภีร์​วิชาดาบมากมายนับไม่ถ้วนที่เรียงรายอยู่เต็มชั้น…เขาก็อดตื่นเต้นไม่ได้

ชูเกอเพิ่งเคยเห็นคัมภีร์​วิชาดาบเป็นครั้งแรก…ความฝันที่อยากจะเป็นจอมยุทธ์พเนจรในโลกเดิม ก็ดูเหมือนจะอยู่ใกล้แค่เอื้อม

โชคดีที่ชูเกอเป็นคนสุขุมเยือกเย็น…เขาจึงสามารถระงับความตื่นเต้นในใจลงได้อย่างรวดเร็ว

เเละที่เรียกว่าคัมภีร์​นั้น, แท้จริงแล้วก็คือแผ่นหยกทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่บันทึกวิชาเอาไว้

เพียงแค่กวาดตามอง ข้อมูลของวิชาในแผ่นหยกก็จะปรากฏขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ

"《ดาบเงาจันทร์》 วิชายุทธ์ระดับ​มนุษย์​ขั้นกลาง, ดาบกลายเป็นเงาจันทร์ เน้นความเร็วเป็นหลัก ฆ่าคนได้ในพริบตา…เมื่อฝึกฝนวิชานี้จนถึงขั้นสูงสุด ก็จะสามารถรวบรวมพลังปราณเป็นรูปเงาจันทร์ออกมาได้ ซึ่งในทางทฤษฎีแล้วมันสามารถสะท้อนการโจมตีทุกชนิดได้!"

"《ดาบยันต์มังกร》 วิชายุทธ์ระดับ​มนุษย์​ขั้นสูง, เป็นวิชาที่ปรมาจารย์อาณาจักร​สะพาน​ศั​ก​ดิ์สิทธิ์​รังสรรค์ขึ้นหลังจากที่ได้เห็นมังกรฟ้า, วิชานี้ฝึกฝนได้ยากยิ่ง แต่หากฝึกฝนจนสำเร็จ ก็จะไร้ผู้ต่อต้านในระดับเดียวกัน…ถือเป็นวิชายุทธ์ระดับ​สูงสุด​ในบรรดาวิชาในระดับ​มนุษย์​"

"《ดาบวิญญาณภูติ​》 วิชายุทธ์ระดับ​มนุษย์​ขั้นสูง, ดาบรวดเร็วราวกับเงาภูติ ไร้รูปร่าง ไร้เงา ลึกลับยิ่งนัก…วิชานี้เหมาะสำหรับนักฆ่า"

หลังจากไล่ดูคัมภีร์​ไปเรื่อยๆ…ทันใดนั้นชูเกอก็แสดงสีหน้าดีใจ

เขายื่นมือขวาออกไป หยิบแผ่นหยกแผ่นหนึ่งออกมาจากชั้นวาง

ข้อมูลของวิชาในแผ่นหยกปรากฏขึ้นทันที​

"《ดาบอัศนี》 วิชายุทธ์ระดับ​มนุษย์​ขั้นสูง, ดาบพุ่งออกไปราวกับสายฟ้าฟาด ทรงพลังดุจสายน้ำที่ไหลเชี่ยวกราก…การฟาดดาบเเต่ละครั้งเหมือนดั่งสายฟ้าฟาด"

นี่แหละ…วิถีแห่งดาบที่เขาต้องการ!

สิ่งที่เขาต้องการ คือจิตวิญญาณที่ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆ

คือดาบที่สามารถผ่าท้องฟ้าเเละแยกผืนปฐพี​ได้!

เฟิงหลินบิดขี้เกียจอย่างเกียจคร้าน เผยให้เห็นเนินอกขาวเนียนภายใต้เสื้อผ้า

ยอดเขาอันอวบอิ่มทำให้ศิษย์คนอื่นๆ ในหอคัมภีร์​ต่างจ้องมองจนตาค้าง

เฟิงหลินได้เป็นศิษย์หลักของสำนักซวนหยุนตั้งแต่ปีที่แล้ว ปัจจุบันเธอมีพลังฝึกฝนอยู่ที่ขั้นสูงสุดของอาณาจักรทะเลทุกข์ยาก…ใกล้จะก้าวเข้าสู่อาณาจักร​น้ำพุ​เเห่ง​ชีวิต​ อันเป็นระดับที่สามารถฝืนลิขิตฟ้าดินได้เเล้ว

อาจารย์ของเธอเห็นว่าระดับพลังของเธอเริ่มติดคอขวด​…การฝึกฝนอย่างหนักต่อไปคงไม่เป็นผลดี

เขาจึงให้เธอมาเป็นผู้ดูแลหอคัมภีร์…เพื่อผ่อนคลายอารมณ์และหาอะไรทำ

"ศิษย์​พี่หญิง ข้าต้องการคัดลอกวิชานี้"

เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นข้างๆหูของเฟิงหลิน

เฟิงหลินเงยหน้าขึ้นมองบุรุษตรงหน้า พร้อมกับมองวิชาในมือของเขาเล็กน้อย

เธอขมวดคิ้วเเล้วเอ่ยถาม

"《ดาบอัศนี》?"

"เท่าที่ข้ารู้, เจ้ามีวิชาดาบอยู่แล้ว และวิชาดาบที่เจ้าฝึกฝนก็เป็นวิชาที่เน้นความพลิ้วไหว”

“เเล้วทำไมจู่ๆถึงเปลี่ยนสไตล์ล่ะ?”

“อีกไม่นานก็จะถึงการคัดเลือกศิษย์หลักแล้ว แทนที่เจ้าจะรีบฟื้นฟูพลังฝึกฝน….เเต่กลับมาเลือกวิชาใหม่ นี่มันเสียเวลามากรู้ไหม!”

ถ้าเป็นคนอื่น เฟิงหลินคงไม่พูดอะไรมากมายขนาดนี้

แต่เธอเคยเห็นการต่อสู้ระหว่างชูเกอกับเหยียนเฮ่ามาหลายครั้ง, เธอจึงรู้ว่าเขาเป็นศิษย์น้องที่ดีคนหนึ่งเเละอดตักเตือนไม่ได้

เมื่อได้ยิน​เช่นนี้, ชูเกอก็เผยรอยยิ้มบางๆ

"ศิษย์​พี่หญิงวางใจเถอะ ข้ารู้ดีว่ากำลังทำอะไรอยู่"

“หึ....รู้ดี?”

“ถ้าเจ้ารู้ดีจริง ระดับพลังของเจ้าคงไม่ตกต่ำถึงเพียงนี้หรอก!”

ทันทีที่ชูเกอพูดจบ, มันก็มีเสียงเยาะเย้ยดังขึ้นจากด้านข้าง

ชูเกอหันไปมอง ก็เห็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่คนหนึ่งเดินนำหน้าชายฉกรรจ์หลายคนเข้ามา

เเละชายหนุ่มคนนั้นมีรอยแผลเป็นบนใบหน้า

ชูเกอขมวดคิ้วเล็กน้อย เขารู้จักชายผู้นี้

ชายรอยแผลเป็นผู้นี้เป็นลูกน้องคนสนิทของม่อเสี่ยวหลาง, ศิษย์สายในลำดับที่ห้าสิบเอ็ด

มันมีนามว่าหวังอู่

แม้พลังฝึกฝนของมันจะไม่แข็งแกร่ง…แต่มันกลับเป็นคนสอพลอเก่ง จึงทำให้ม่อเสี่ยวหลางไว้ใจมันมาก

ตอนที่ชูเกอยังเป็นศิษย์สายในลำดับที่สิบแปด หวังอู่เคยมีปากเสียงกับเขาครั้งหนึ่ง จนทำให้ชูเกอโกรธมากจนเกือบจะฆ่าหวังอู่ตาย

ต่อมา,​ ม่อเสี่ยวหลางต้องมาช่วยพูดให้

ถึงแม้ม่อเสี่ยวหลางจะปกป้องหวังอู่ไว้ได้ แต่ชูเกอก็ยังระบายความโกรธด้วยการสั่งสอนม่อเสี่ยวหลางไปชุดใหญ่

หลังจากนั้นเป็นต้นมา ทุกครั้งที่หวังอู่เห็นชูเกอ…เขาก็จะรู้สึกหวาดกลัวราวกับเห็นยมบาล

"สมแล้วที่เขาว่ากันว่า 'เสือตกถังยังต้องพ่ายเเพ้แมว'....แม้แต่คนอย่างหวังอู่ก็ยังกล้ามาหาเรื่องข้า"

ชูเกอแสยะยิ้มอย่างดูถูก

หวังอู่เห็นว่ามีลูกน้องอยู่ข้างๆหลายคน…มันจึงยืดอกเชิดหน้าอย่างองอาจ จ้องมองชูเกอด้วยหางตาแล้วเอ่ยถาม

“มองอะไร?”

“ข้าหมายถึงเจ้านั่นแหล่ะ”

“ทำไม? ไม่พอใจรึไง?”

“งั้นมาสู้กันสักตั้งไหมล่ะ!”

หวังอู่จ้องมองชูเกอด้วยแววตาเคียดแค้น

หลังจากได้ยินว่าชูเกอสูญเสียพลังฝึกฝนจนตกลงมาอยู่ที่อาณาจักร​ทะเลทุกข์ยากขั้นกลางแล้ว…เขาก็ให้ลูกน้องตามสืบหาตัวชูเกอเพื่อหาโอกาสเหยียบย่ำและแก้แค้น

ถึงแม้จะยั่วยุให้ชูเกอลงมือไม่ได้ แค่ได้เห็นสีหน้าไม่สบอารมณ์ของชูเกอ เขาก็รู้สึกสะใจแล้ว!

"ตัวตลก!" ชูเกอพูดอย่างเย็นชา

"แก…กล้าดียังไงมาว่าข้าเป็นตัวตลก!”

“เเน่จริงออกมาสู้กันตัวต่อตัวเลยสิวะ!”

หวังอู่โมโหราวกับแมวโดนเหยียบหาง เขาชี้หน้าชูเกอด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว

เเต่ทันใดนั้น​เฟิงหลินก็ตบโต๊ะเสียงดัง

“เอะอะโวยวายอะไรกันในหอคัมภีร์”

“ถ้ายังไม่หยุดส่งเสียงดังอีก ก็ไสหัวไปให้พ้น!”

เมื่อเห็นเฟิงหลินผู้เป็นศิษย์หลักโกรธ…สีหน้าของหวังอู่ก็เปลี่ยนไปทันที​

เขาไม่กล้าหาเรื่องชูเกออีก, ทำได้แค่พูดจาดูถูกด้วยน้ำเสียงเบาๆ

"ไอ้ขี้ขลาด คอยหลบอยู่หลังผู้หญิง"

ชูเกอไม่ได้แสดงท่าทีโกรธเคืองแต่อย่างใด, เขาหันมากล่าวกับเฟิงหลินด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

"พี่หญิง, คัดลอกให้ข้าชุดหนึ่งได้หรือไม่"

จริงๆแล้ว…ชูเกอไม่ได้โกรธอะไร

อีก​อย่าง, ตอนนี้ระดับพลังของเขาก็ลดลง…แถมยังใช้วิชายุทธ์ไม่ได้อีก

ถ้าลงมือตอนนี้ เขาคงถูกหวังอู่ที่อยู่ในระดับเดียวกันกระทืบเละอย่างแน่นอน

"อ้อ…ได้สิ"

เฟิงหลินเห็นว่าชูเกอยืนกราน เธอจึงไม่ได้ขัดอะไรอีก

ชูเกอรับแผ่นหยกที่คัดลอกวิชาเสร็จ…แล้วก็เดินออกไป

หวังอู่มองตามแผ่นหลังของชูเกอไปด้วยสีหน้าบึ้งตึง

ทันใดนั้น เขาก็แสยะยิ้มอย่างร้ายกาจเเล้วเอ่ยเสียงดัง

"ชูเกอ, ข้าเห็นผู้หญิงของเจ้าเดินควงไปกับโอวหยางเซวียน!"

เมื่อได้ยินดังนั้น ชูเกอก็หยุดชะงักไป

เเต่ชูเกอก็ไม่ได้คิดอะไรมาก

เรื่องของหลินเมี่ยวเข่อ ไม่ได้​เกี่ยวข้องอะไรกับเขาอีกต่อไปแล้ว

หวังอู่เห็นชูเกอหยุดเดิน จึงแสยะยิ้มอย่างเย็นชา

ที่เขามาวันนี้ ไม่ได้ตั้งใจจะลงมือกับชูเกอ

แค่ได้เห็นชูเกอหน้าเจื่อน, เขาก็พอใจแล้ว

ปกติ​แล้ว​ชูเกอไม่ใช่คนใจเย็นอะไร…หวังอู่รู้ถึงความโหดเหี้ยมของชูเกอเป็นอย่างดี

แต่ตอนนี้ชูเกอกลับทนต่อคำดูถูกโดยไม่โกรธเกรี้ยว…นั่นหมายความว่าอย่างไร?

หมายความว่าตอนนี้ชูเกออ่อนแอลงมาก!

"ถ้าอย่างนั้น ร้านของไอ้เด็กเวรหลินเทียน…ข้าก็จะยึดมันมาเอง ฮ่าๆๆ!"

หลินเทียน, แต่ก่อนเป็นคนที่ชูเกอให้คอยคุ้มครอง

ตอนนี้ชูเกอก็เหมือนหุ่นดินเหนียวข้ามน้ำ

เเค่เอาตัวรอดยังแทบไม่รอด, แล้วจะไปมีกะจิตกะใจที่ไหนไปคุ้มครองคนอื่นอีก?

………………..

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด