บทที่ 3 : วิชาดาบอัศนี
บทที่ 3 : วิชาดาบอัศนี
ชูเกอกลับไปที่ห้องของเขา
วิชายุทธ์ที่เจ้าของร่างเดิมฝึกฝนนั้น ได้แก่ [หมัดสุริยัน] ซึ่งเป็นวิชายุทธ์ระดับมนุษย์ขั้นกลาง และ [ดาบพิรุณ] ซึ่งเป็นวิชายุทธ์ระดับมนุษย์ขั้นสูง
วิชาแรกเป็นวิชาที่เน้นพละกำลัง ดังนั้นพลังทำลายจึงไม่ด้อยไปกว่าวิชายุทธ์ระดับมนุษย์ขั้นสูงทั่วๆไป
ส่วน, ดาบพิรุณนั้นเป็นวิชาดาบที่เน้นความพลิ้วไหว คล่องแคล่ว และงดงาม
พลังทำลายนั้นไม่ถึงกับแข็งแกร่ง แต่จุดเด่นอยู่ที่กระบวนท่าที่แปรผันได้หลากหลาย…ทำให้คู่ต่อสู้ตั้งรับได้ยาก
การที่ชูเกอสามารถก้าวขึ้นมาติดลำดับท็อปสิบของศิษย์สายในได้ ทั้งๆ ที่มีพลังฝึกฝนอยู่แค่อาณาจักรทะเลทุกข์ยากขั้นปลาย…ก็เพราะวิชายุทธ์ทั้งสองอย่างนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาดาบพิรุณ เขาฝึกฝนจนชำนาญถึงขีดสุด…เเละการที่เหยียนเฮ่าต้องพ่ายแพ้ต่อเขามาโดยตลอด ก็เป็นเพราะวิชาดาบนี้
ชูเกอชักดาบออกมา
จากนั้นหลับตาลงเเละทบทวนความรู้สึกตอนที่ร่างเดิมฝึกฝนวิชานี้อย่างละเอียด
ดาบเคลื่อนไหวตามใจ
ใจเคลื่อนไหวไปตามความคิด
ความคิดเกิดขึ้นจากใจ เมื่อควบคุมน้ำหนักได้…ก็จะควบคุมดาบได้
ทันใดนั้นมันก็ค่อยๆมีพลังปราณอันเจือจางแผ่ออกมารอบๆตัวชูเกอ
ดาบในมือสั่นไหว ปรากฏเป็นเงาดอกไม้กลางอากาศอันงดงาม
ทันใดนั้น, เขาก็ตวัดดาบออกไปข้างหน้า!
เปรี้ยง!
อากาศเบื้องหน้าสั่นสะเทือน!
กระแสลมที่มองไม่เห็นพัดกระหน่ำออกมา…ทำให้เสื้อผ้าของชูเกอกระพือปลิวไสว
"ล้มเหลว!"
ชูเกอลืมตาขึ้นพร้อมกับความผิดหวัง
ตอนนี้เขาไม่สามารถใช้วิชา 《ดาบพิรุณ》ได้อีกเเล้ว
การเปลี่ยนจิตวิญญาณ ก็คือการเปลี่ยนจิตวิญญาณ
แม้จะรับรู้ถึงกระบวนท่า แต่มันก็ไม่ใช่วิชาของตนเอง
ความรู้สึกแปลกแยกนี้ ทำให้มือของเขาเคลื่อนไหวไม่เป็นธรรมชาติ
จากนั้นชูเกอก็ไม่ได้ลองใช้วิชา《หมัดสุริยัน》
หนึ่งคือ…เขามีเวลาเหลือน้อยมาก
ดังนั้นเขาอยากจะฝึกฝนวิชาใดวิชาหนึ่งให้เชี่ยวชาญไปเลย, เขาจึงตัดสินใจล้มเลิก 《หมัดสุริยัน》
สองคือ, เขาไม่ค่อยชอบวิชานี้สักเท่าไหร่
เเละความจริงอีกข้อ ชูเกอก็ไม่ได้ชอบวิชา 《ดาบพิรุณ》 เช่นกัน
วิชาดาบพิรุณนั้นพลิ้วไหวเกินไป แม้กระบวนท่าจะแปรผันได้หลากหลาย ทำให้รับมือได้ยาก…แต่ส่วนตัวเขากลับชอบวิชาดาบที่ดุดัน เร่าร้อน และตรงไปตรงมามากกว่า
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ชูเกอก็เกิดความคิดขึ้นมา
ในเมื่อเขาต้องฝึกฝนวิชายุทธ์ใหม่ตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว, เหตุใดจึงไม่ไปเลือกวิชาใหม่ที่หอคัมภีร์เล่า?
การเลือกวิชาที่ตนเองชอบ และเหมาะสมกับตนเอง…จะทำให้การฝึกฝนนั้นง่ายขึ้นเป็นเท่าตัว
ชูเกอเป็นคนเด็ดเดี่ยว คิดอะไรได้ก็ลงมือทำทันที
ดังนั้น, เขาจึงเดินออกจากเรือนพัก…เเละมุ่งหน้าไปยังหอคัมภีร์ของสำนักซวนหยุนทันที
…….
เมื่อมายืนอยู่หน้าหอคัมภีร์ของสำนักซวนหยุน, ชูเกอก็รู้สึกตื้นตันใจอย่างประหลาด
แท้จริงแล้ว หอคัมภีร์ก็เปรียบเสมือนห้องสมุดในโลกเดิมของเขานั่นเอง
เมื่อเดินเข้าไปในหอคัมภีร์ ก็จะเห็นหญิงสาวรูปงามนางหนึ่งนั่งอยู่หลังโต๊ะ
เธอกำลังก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ
ขณะที่แสงแดดส่องกระทบตัวเธอ, มันยิ่งขับให้เธอดูอ่อนหวานและงดงามมากยิ่งขึ้น
ชั่วขณะหนึ่ง ชูเกอก็นึกถึงข่งเหยียนฉีขึ้นมา
ครั้งหนึ่ง เขาก็เคยเห็นข่งเหยียนฉีถือหนังสือเล่มหนึ่ง, เเละนั่งอ่านอยู่บนเก้าอี้ข้างหน้าต่างเช่นกัน
ทันใดนั้นหญิงสาวผู้นั้นก็รู้สึกตัว เธอเงยหน้าขึ้นมองชูเกอ…ดวงตาอันงดงามฉายแววสงสัย เห็นได้ชัดว่าเธอต้องเคยได้ยินชื่อของชูเกอมาก่อน หรืออาจจะเป็นไปได้ว่า เธอเคยเห็นการประลองระหว่างเขากับเหยียนเฮ่า
ในฐานะผู้ดูแลหอคัมภีร์, เฟิงหลินย่อมรู้ดีถึงพลังทำลายของวิชาทั้งสองที่ชูเกอใช้
หากชูเกอยังไม่ได้สูญเสียพลังฝึกฝนไป วิชาทั้งสองอย่างนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เขากลายเป็นศิษย์สายในแถวหน้าของสำนักซวนหยุนได้
เช่นนั้น ชูเกอมาที่หอคัมภีร์ทำไมกัน?
วิชายุทธ์ระดับวิญญาณนั้นไม่สามารถใช้ออกได้…หากยังไม่บรรลุอาณาจักรน้ำพุเเห่งชีวิต
หรือแม้จะอยู่ในอาณาจักรน้ำพุเเห่งชีวิต…ก็ยังไม่อาจแสดงพลังที่แท้จริงของวิชาออกมาได้
วิชายุทธ์นั้นแบ่งออกเป็น, ระดับมนุษย์, ระดับวิญญาณ, ระดับเซียน, และระดับจักรพรรดิ
วิชาในระดับมนุษย์นั้นเหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ที่อยู่ในอาณาจักรทะเลเเห่งความทุกข์ยาก
มันไม่สำคัญว่าวิชานั้นจะมีพลังทำลายมากน้อยเพียงใด, ความเหมาะสมต่างหากที่สำคัญที่สุด
ชูเกอละสายตาออกจากวิชาเหล่านั้น แล้วเดินตรงไปยังชั้นวางวิชาดาบ
เมื่อได้เห็นคัมภีร์วิชาดาบมากมายนับไม่ถ้วนที่เรียงรายอยู่เต็มชั้น…เขาก็อดตื่นเต้นไม่ได้
ชูเกอเพิ่งเคยเห็นคัมภีร์วิชาดาบเป็นครั้งแรก…ความฝันที่อยากจะเป็นจอมยุทธ์พเนจรในโลกเดิม ก็ดูเหมือนจะอยู่ใกล้แค่เอื้อม
โชคดีที่ชูเกอเป็นคนสุขุมเยือกเย็น…เขาจึงสามารถระงับความตื่นเต้นในใจลงได้อย่างรวดเร็ว
เเละที่เรียกว่าคัมภีร์นั้น, แท้จริงแล้วก็คือแผ่นหยกทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่บันทึกวิชาเอาไว้
เพียงแค่กวาดตามอง ข้อมูลของวิชาในแผ่นหยกก็จะปรากฏขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ
"《ดาบเงาจันทร์》 วิชายุทธ์ระดับมนุษย์ขั้นกลาง, ดาบกลายเป็นเงาจันทร์ เน้นความเร็วเป็นหลัก ฆ่าคนได้ในพริบตา…เมื่อฝึกฝนวิชานี้จนถึงขั้นสูงสุด ก็จะสามารถรวบรวมพลังปราณเป็นรูปเงาจันทร์ออกมาได้ ซึ่งในทางทฤษฎีแล้วมันสามารถสะท้อนการโจมตีทุกชนิดได้!"
"《ดาบยันต์มังกร》 วิชายุทธ์ระดับมนุษย์ขั้นสูง, เป็นวิชาที่ปรมาจารย์อาณาจักรสะพานศักดิ์สิทธิ์รังสรรค์ขึ้นหลังจากที่ได้เห็นมังกรฟ้า, วิชานี้ฝึกฝนได้ยากยิ่ง แต่หากฝึกฝนจนสำเร็จ ก็จะไร้ผู้ต่อต้านในระดับเดียวกัน…ถือเป็นวิชายุทธ์ระดับสูงสุดในบรรดาวิชาในระดับมนุษย์"
"《ดาบวิญญาณภูติ》 วิชายุทธ์ระดับมนุษย์ขั้นสูง, ดาบรวดเร็วราวกับเงาภูติ ไร้รูปร่าง ไร้เงา ลึกลับยิ่งนัก…วิชานี้เหมาะสำหรับนักฆ่า"
หลังจากไล่ดูคัมภีร์ไปเรื่อยๆ…ทันใดนั้นชูเกอก็แสดงสีหน้าดีใจ
เขายื่นมือขวาออกไป หยิบแผ่นหยกแผ่นหนึ่งออกมาจากชั้นวาง
ข้อมูลของวิชาในแผ่นหยกปรากฏขึ้นทันที
"《ดาบอัศนี》 วิชายุทธ์ระดับมนุษย์ขั้นสูง, ดาบพุ่งออกไปราวกับสายฟ้าฟาด ทรงพลังดุจสายน้ำที่ไหลเชี่ยวกราก…การฟาดดาบเเต่ละครั้งเหมือนดั่งสายฟ้าฟาด"
นี่แหละ…วิถีแห่งดาบที่เขาต้องการ!
สิ่งที่เขาต้องการ คือจิตวิญญาณที่ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆ
คือดาบที่สามารถผ่าท้องฟ้าเเละแยกผืนปฐพีได้!
เฟิงหลินบิดขี้เกียจอย่างเกียจคร้าน เผยให้เห็นเนินอกขาวเนียนภายใต้เสื้อผ้า
ยอดเขาอันอวบอิ่มทำให้ศิษย์คนอื่นๆ ในหอคัมภีร์ต่างจ้องมองจนตาค้าง
เฟิงหลินได้เป็นศิษย์หลักของสำนักซวนหยุนตั้งแต่ปีที่แล้ว ปัจจุบันเธอมีพลังฝึกฝนอยู่ที่ขั้นสูงสุดของอาณาจักรทะเลทุกข์ยาก…ใกล้จะก้าวเข้าสู่อาณาจักรน้ำพุเเห่งชีวิต อันเป็นระดับที่สามารถฝืนลิขิตฟ้าดินได้เเล้ว
อาจารย์ของเธอเห็นว่าระดับพลังของเธอเริ่มติดคอขวด…การฝึกฝนอย่างหนักต่อไปคงไม่เป็นผลดี
เขาจึงให้เธอมาเป็นผู้ดูแลหอคัมภีร์…เพื่อผ่อนคลายอารมณ์และหาอะไรทำ
"ศิษย์พี่หญิง ข้าต้องการคัดลอกวิชานี้"
เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นข้างๆหูของเฟิงหลิน
เฟิงหลินเงยหน้าขึ้นมองบุรุษตรงหน้า พร้อมกับมองวิชาในมือของเขาเล็กน้อย
เธอขมวดคิ้วเเล้วเอ่ยถาม
"《ดาบอัศนี》?"
"เท่าที่ข้ารู้, เจ้ามีวิชาดาบอยู่แล้ว และวิชาดาบที่เจ้าฝึกฝนก็เป็นวิชาที่เน้นความพลิ้วไหว”
“เเล้วทำไมจู่ๆถึงเปลี่ยนสไตล์ล่ะ?”
“อีกไม่นานก็จะถึงการคัดเลือกศิษย์หลักแล้ว แทนที่เจ้าจะรีบฟื้นฟูพลังฝึกฝน….เเต่กลับมาเลือกวิชาใหม่ นี่มันเสียเวลามากรู้ไหม!”
ถ้าเป็นคนอื่น เฟิงหลินคงไม่พูดอะไรมากมายขนาดนี้
แต่เธอเคยเห็นการต่อสู้ระหว่างชูเกอกับเหยียนเฮ่ามาหลายครั้ง, เธอจึงรู้ว่าเขาเป็นศิษย์น้องที่ดีคนหนึ่งเเละอดตักเตือนไม่ได้
เมื่อได้ยินเช่นนี้, ชูเกอก็เผยรอยยิ้มบางๆ
"ศิษย์พี่หญิงวางใจเถอะ ข้ารู้ดีว่ากำลังทำอะไรอยู่"
“หึ....รู้ดี?”
“ถ้าเจ้ารู้ดีจริง ระดับพลังของเจ้าคงไม่ตกต่ำถึงเพียงนี้หรอก!”
ทันทีที่ชูเกอพูดจบ, มันก็มีเสียงเยาะเย้ยดังขึ้นจากด้านข้าง
ชูเกอหันไปมอง ก็เห็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่คนหนึ่งเดินนำหน้าชายฉกรรจ์หลายคนเข้ามา
เเละชายหนุ่มคนนั้นมีรอยแผลเป็นบนใบหน้า
ชูเกอขมวดคิ้วเล็กน้อย เขารู้จักชายผู้นี้
ชายรอยแผลเป็นผู้นี้เป็นลูกน้องคนสนิทของม่อเสี่ยวหลาง, ศิษย์สายในลำดับที่ห้าสิบเอ็ด
มันมีนามว่าหวังอู่
แม้พลังฝึกฝนของมันจะไม่แข็งแกร่ง…แต่มันกลับเป็นคนสอพลอเก่ง จึงทำให้ม่อเสี่ยวหลางไว้ใจมันมาก
ตอนที่ชูเกอยังเป็นศิษย์สายในลำดับที่สิบแปด หวังอู่เคยมีปากเสียงกับเขาครั้งหนึ่ง จนทำให้ชูเกอโกรธมากจนเกือบจะฆ่าหวังอู่ตาย
ต่อมา, ม่อเสี่ยวหลางต้องมาช่วยพูดให้
ถึงแม้ม่อเสี่ยวหลางจะปกป้องหวังอู่ไว้ได้ แต่ชูเกอก็ยังระบายความโกรธด้วยการสั่งสอนม่อเสี่ยวหลางไปชุดใหญ่
หลังจากนั้นเป็นต้นมา ทุกครั้งที่หวังอู่เห็นชูเกอ…เขาก็จะรู้สึกหวาดกลัวราวกับเห็นยมบาล
"สมแล้วที่เขาว่ากันว่า 'เสือตกถังยังต้องพ่ายเเพ้แมว'....แม้แต่คนอย่างหวังอู่ก็ยังกล้ามาหาเรื่องข้า"
ชูเกอแสยะยิ้มอย่างดูถูก
หวังอู่เห็นว่ามีลูกน้องอยู่ข้างๆหลายคน…มันจึงยืดอกเชิดหน้าอย่างองอาจ จ้องมองชูเกอด้วยหางตาแล้วเอ่ยถาม
“มองอะไร?”
“ข้าหมายถึงเจ้านั่นแหล่ะ”
“ทำไม? ไม่พอใจรึไง?”
“งั้นมาสู้กันสักตั้งไหมล่ะ!”
หวังอู่จ้องมองชูเกอด้วยแววตาเคียดแค้น
หลังจากได้ยินว่าชูเกอสูญเสียพลังฝึกฝนจนตกลงมาอยู่ที่อาณาจักรทะเลทุกข์ยากขั้นกลางแล้ว…เขาก็ให้ลูกน้องตามสืบหาตัวชูเกอเพื่อหาโอกาสเหยียบย่ำและแก้แค้น
ถึงแม้จะยั่วยุให้ชูเกอลงมือไม่ได้ แค่ได้เห็นสีหน้าไม่สบอารมณ์ของชูเกอ เขาก็รู้สึกสะใจแล้ว!
"ตัวตลก!" ชูเกอพูดอย่างเย็นชา
"แก…กล้าดียังไงมาว่าข้าเป็นตัวตลก!”
“เเน่จริงออกมาสู้กันตัวต่อตัวเลยสิวะ!”
หวังอู่โมโหราวกับแมวโดนเหยียบหาง เขาชี้หน้าชูเกอด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว
เเต่ทันใดนั้นเฟิงหลินก็ตบโต๊ะเสียงดัง
“เอะอะโวยวายอะไรกันในหอคัมภีร์”
“ถ้ายังไม่หยุดส่งเสียงดังอีก ก็ไสหัวไปให้พ้น!”
เมื่อเห็นเฟิงหลินผู้เป็นศิษย์หลักโกรธ…สีหน้าของหวังอู่ก็เปลี่ยนไปทันที
เขาไม่กล้าหาเรื่องชูเกออีก, ทำได้แค่พูดจาดูถูกด้วยน้ำเสียงเบาๆ
"ไอ้ขี้ขลาด คอยหลบอยู่หลังผู้หญิง"
ชูเกอไม่ได้แสดงท่าทีโกรธเคืองแต่อย่างใด, เขาหันมากล่าวกับเฟิงหลินด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"พี่หญิง, คัดลอกให้ข้าชุดหนึ่งได้หรือไม่"
จริงๆแล้ว…ชูเกอไม่ได้โกรธอะไร
อีกอย่าง, ตอนนี้ระดับพลังของเขาก็ลดลง…แถมยังใช้วิชายุทธ์ไม่ได้อีก
ถ้าลงมือตอนนี้ เขาคงถูกหวังอู่ที่อยู่ในระดับเดียวกันกระทืบเละอย่างแน่นอน
"อ้อ…ได้สิ"
เฟิงหลินเห็นว่าชูเกอยืนกราน เธอจึงไม่ได้ขัดอะไรอีก
ชูเกอรับแผ่นหยกที่คัดลอกวิชาเสร็จ…แล้วก็เดินออกไป
หวังอู่มองตามแผ่นหลังของชูเกอไปด้วยสีหน้าบึ้งตึง
ทันใดนั้น เขาก็แสยะยิ้มอย่างร้ายกาจเเล้วเอ่ยเสียงดัง
"ชูเกอ, ข้าเห็นผู้หญิงของเจ้าเดินควงไปกับโอวหยางเซวียน!"
เมื่อได้ยินดังนั้น ชูเกอก็หยุดชะงักไป
เเต่ชูเกอก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
เรื่องของหลินเมี่ยวเข่อ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาอีกต่อไปแล้ว
หวังอู่เห็นชูเกอหยุดเดิน จึงแสยะยิ้มอย่างเย็นชา
ที่เขามาวันนี้ ไม่ได้ตั้งใจจะลงมือกับชูเกอ
แค่ได้เห็นชูเกอหน้าเจื่อน, เขาก็พอใจแล้ว
ปกติแล้วชูเกอไม่ใช่คนใจเย็นอะไร…หวังอู่รู้ถึงความโหดเหี้ยมของชูเกอเป็นอย่างดี
แต่ตอนนี้ชูเกอกลับทนต่อคำดูถูกโดยไม่โกรธเกรี้ยว…นั่นหมายความว่าอย่างไร?
หมายความว่าตอนนี้ชูเกออ่อนแอลงมาก!
"ถ้าอย่างนั้น ร้านของไอ้เด็กเวรหลินเทียน…ข้าก็จะยึดมันมาเอง ฮ่าๆๆ!"
หลินเทียน, แต่ก่อนเป็นคนที่ชูเกอให้คอยคุ้มครอง
ตอนนี้ชูเกอก็เหมือนหุ่นดินเหนียวข้ามน้ำ
เเค่เอาตัวรอดยังแทบไม่รอด, แล้วจะไปมีกะจิตกะใจที่ไหนไปคุ้มครองคนอื่นอีก?
………………..