บทที่ 10 : ฟื้นฟูการเพาะปลูก
บทที่ 10 : ฟื้นฟูการเพาะปลูก
ราวกับว่าเวลาหยุดลงในชั่วขณะนี้
ทุกสายตาจับจ้องไปยังจุดเดียว ลมหายใจของผู้คนรอบข้างเบาลงโดยไม่รู้ตัว
ตอนนี้, ดวงตาของชูเกอเป็นประกาย
ส่วนชูเหยียนเอ๋อร์หลับตาลงแน่น เเละใช้มือทั้งสองข้างปิดหน้าเอาไว้…แต่นางก็ยังคงแอบมองผ่านช่องว่างระหว่างนิ้วมือ
เเละเมื่อนางเห็นแสงสว่างปรากฏขึ้นในช่องที่เจ็ด ใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความดีใจ…นางกระโดดโลดเต้นมากอดชูเกอแน่น พร้อมกับหัวเราะคิกคัก
“พี่ชาย ท่านทำได้แล้ว!”
ชูเกอยิ้มบางๆ ด้วยระดับพลังแค่อาณาจักรทะเลทุกข์ยากขั้นกลาง การที่เขาสามารถตีแผ่นศิลาทดสอบพลังให้ถึงขั้นเจ็ดได้…มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ขั้นหกนั่นคือขีดจำกัดของคนทั่วไป
แต่เขาไม่ใช่ผู้ฝึกตนอาณาจักรทะเลทุกข์ยากขั้นกลางธรรมดาๆ!
ครั้งหนึ่ง…เขาเคยอยู่ในอาณาจักรทะเลทุกข์ยากขั้นปลาย!
เขาฝึกฝนร่างกายภายใต้น้ำตก จิตใจ
ของเขาแข็งแกร่ง!
เขาทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง ฝึกฝนดาบอัศนีจนชำนาญ!
ยิ่งไปกว่านั้น…เขายังมี ‘ร่างกายแมลงสาบ’ ที่แข็งแกร่ง ไม่ต้องกลัวการบาดเจ็บใดๆทั้งสิ้น…เขาสามารถปลดปล่อยพลังทั้งหมดที่มีอยู่ออกมาได้อย่างเต็มที่
เเละมันก็เป็นเช่นนั้น, ตอนนี้พลังชีวิตลึกลับก็กำลังไหลเวียนไปทั่วเส้นชีพจร รักษาร่างกายของเขาที่บาดเจ็บอย่างรวดเร็ว
จากนั้น, ชูเกอก็หันไปมองโอวหยางเซวียนที่ตอนนี้มีสีหน้าซีดเผือด
เขารู้ดีว่าหลังจากวันนี้ โอวหยางเซวียนคงจะระวังตัวเขามากขึ้น แต่เขาก็ไม่ได้กลัวโอวหยางเซวียนแม้แต่น้อย, ตราบใดที่เขาสามารถฟื้นฟูระดับพลังได้….อย่างโอวหยางเซวียนจะไปมีปัญญาทำอะไรเขาได้?
"โอวหยางเซวียน ข้าหวังว่าเจ้าจะเป็นคนรักษาคำพูดนะ” ชูเกอกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
โอวหยางเซวียนละสายตาออกจากแผ่นศิลาทดสอบพลัง เเละมองชูเกอที่ยังคงมีสีหน้าสงบนิ่ง
ภายในใจของเขารู้สึกร้อนรุ่ม เขากำหมัดแน่น เส้นเลือดที่คอปูดโปนออกมา
แต่ในพริบตา เขาก็คลายมือออกเเล้วยิ้มบางๆ
“แน่นอนว่าข้าเป็นคนรักษาคำพูด บัวเก้าปล้องสีเขียวหยก…ถือว่าข้ามอบให้เจ้าก็แล้วกัน”
โอวหยางเซวียนเว้นวรรคเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก
“หึหึ…เเต่ในการคัดเลือกศิษย์หลักครั้งนี้ ถึงแม้ว่าเจ้าจะฟื้นฟูระดับพลังได้…เจ้าก็ไม่ใช่คู่มือของข้าหรอก!”
หืม?
ชูเกอขมวดคิ้วพรางครุ่นคิด ‘โอวหยางเซวียนมันมั่นใจในตัวเองมากเกินไปหรือเปล่า…หรือว่ามันมีไพ่ตายอะไร?’
มีข่าวลือว่า ตระกูลของโอวหยางเซวียนเป็นตระกูลที่มีอำนาจมาก, หากได้รับการสนับสนุนจากตระกูล การที่โอวหยางเซวียนจะได้เป็นศิษย์หลัก…ก็คงจะเป็นเรื่องง่าย
"ข้ารอคอยอย่างใจจดใจจ่อ” ชูเกอพูดจบก็พาชูเหยียนเอ๋อร์ไปซื้อบัวเก้าปล้องสีเขียวหยกด้วยราคาห้าหมื่นผลึกขาว จากนั้นก็เดินจากไปอย่างสง่างาม
หลินเมี่ยวเข่อมองชูเกอที่ดูสงบนิ่ง…ในใจของนางรู้สึกปั่นป่วนอย่างมาก
ชูเกอในตอนนี้ราวกับเป็นคนละคน
ราวกับว่า…นางไม่เคยรู้จักเขา
‘หรือว่า…ที่ผ่านมา เขาแค่แสร้งทำ? หรือว่า…ข้าทำร้ายเขามากเกินไป?’ หลินเมี่ยวเข่อคิดอย่างสับสน
ส่วนโอวหยางเซวียน…เขามองแผ่นหลังของชูเกอที่กำลังเดินจากไป มุมปากของเขายกยิ้มอย่างเหี้ยมโหด
‘พลังของตระกูลข้า…ไม่ใช่สิ่งที่ยาจกอย่างเจ้าจะจินตนาการได้!’
ในขณะเดียวกัน, บริเวณบันไดที่เชื่อมไปยังชั้นสามของหอซวนหยุน
มีหญิงสาวผู้หนึ่งที่ดูสง่างามกำลังยืนอยู่ตรงนั้น, ใบหน้าของนางงดงามราวกับเทพธิดา ยากจะคาดเดาอายุที่แท้จริงของนางได้
“เด็กคนนี้น่าสนใจไม่เลว หากเขาฟื้นฟูระดับพลังได้…ก็น่าจะติดหนึ่งในสิบของศิษย์สายในได้”
หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง ทันใดนั้น นางก็ทำท่าทางเหมือนนึกอะไรบางอย่างออกก่อนจะตบหน้าผากตัวเองเบาๆ
“เขาน่ะชื่อชูเกอ! โอ๊ยตายๆๆ…ข้าเป็นคนตั้งชื่อให้เขานี่นา!”
‘ชูเกอ’...นางเป็นคนเก็บเขามาเลี้ยง ตั้งแต่ตอนที่เขายังเป็นแค่เด็กทารกที่ถูกทิ้งอยู่กลางป่าเมื่อสิบเจ็ดปีก่อน
ในตอนนั้น นางยังเป็นเพียงหญิงสาวในชุดขาวบริสุทธิ์ สวยงามราวกับนางฟ้า
เเต่หลังจากที่ออกเดินทางท่องยุทธภพ…ตอนนี้นางกลายเป็น ‘จอมมารสาว’ ที่โด่งดังไปทั่วแคว้นหยุนหวง
แม้แต่ประมุขของสำนักเทียนเจี้ยน ซึ่งเป็นสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาเจ็ดสำนักใหญ่…เมื่อได้เห็นนางก็ยังต้องสบถออกมาเบาๆ
……..
อีกด้าน, ชูเกอกลับไปที่เรือนพักของเขาเพียงลำพัง
เพราะระหว่างทางชูเหยียนเอ๋อร์ได้ขอตัวกลับไปปรุงโอสถ…เเละนางบอกว่าพรุ่งนี้น่าจะได้โอสถแล้ว
แต่ในความเป็นจริงแล้ว…ตอนนี้นางไม่ได้กำลังปรุงโอสถ นางเเค่กำลังดึงเคราของชายชราผมขาวคนหนึ่ง พร้อมกับออดอ้อน
“ท่านอาจารย์ ท่านใจดีที่สุดมาตลอด…ท่านช่วยปรุงโอสถให้ข้าหน่อยนะเจ้าคะ”
ผู้อาวุโสลำดับที่ห้าผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถมาก…ทักษะของเขาสูงส่งจนถึงขั้น ‘ปรมาจารย์’
ปรมาจารย์…นั่นคือระดับที่สามารถปรุงโอสถวิญญาณได้
ดังนั้น…การปรุงโอสถหลอมวิญญาณระดับสมบัติ จึงเป็นเรื่องง่ายมากสำหรับผู้อาวุโสลำดับที่ห้า
ณ ขณะนี้…ผู้อาวุโสลำดับที่ห้าลูบเคราตัวเองเเล้วมองชูเหยียนเอ๋อร์ด้วยสายตาตำหนิ
“เจ้าเองก็มีมือมีเท้า…เเล้วทำไมต้องให้ตาแก่คนนี้ลำบากด้วย?”
“ท่านอาจารย์…ตอนท่านอาจารย์ปรุงโอสถ ท่านดูเท่มากเลยนะเจ้าคะ” ชูเหยียนเอ๋อร์กล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“เอ่อ…มันก็จริงเเฮะ”
ผู้อาวุโสลำดับที่ห้าลูบเคราตัวเองด้วยสีหน้าพึงพอใจ…ดูเหมือนว่าเขาจะชอบคำชมนี้เป็นพิเศษ
“ว่ามาสิ…จะให้ข้าปรุงโอสถให้ใคร?”
"ท่านยังกล้าถามอีกหรือ? ท่านรู้ไหมว่า…ท่านเกือบจะทำให้ศิษย์รักของท่านตาย”
“ตอนที่ข้าไปเก็บสมุนไพรที่ภูเขาด้านหลัง ดันถูกลิงตัวใหญ่ไล่ล่า…”
ชูเหยียนเอ๋อร์เท้าเอว เเล้วบ่นด้วยใบหน้าแดงก่ำ
“หากไม่ใช่เพราะมีคนมาช่วยไว้…ศิษย์ที่น่ารัก น่าเอ็นดู เชื่อฟัง และแสนดีของท่านก็คงจะตายไปแล้ว!”
“มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ?” ผู้อาวุโสลำดับที่ห้าถึงกับพูดไม่ออก แต่สักพักก็พึมพำออกมา
“เเล้วเจ้าไม่รู้หรือ? ว่าแหวนที่เจ้าใส่อยู่น่ะ…ข้าได้สลักอักขระป้องกันตัวเอาไว้ ถึงแม้มันจะไม่แข็งแกร่งมาก…แต่ก็มากพอที่จะตอบโต้ลิงตัวนั้นได้”
"อะไรนะ?!" ชูเหยียนเอ๋อร์เบิกตากว้างอย่างตกตะลึง
นางไม่เคยรู้เลย ว่าแหวนมิติที่ท่านอาจารย์มอบให้มีอักขระป้องกันตัวอยู่ด้วย
“เอาเถอะ, ในเมื่อคนผู้นั้นช่วยชีวิตศิษย์ของข้าเอาไว้ เช่นนั้น…ข้าก็จะช่วยเขาสักครั้งก็แล้วกัน” ผู้อาวุโสลำดับที่ห้ายิ้มบางๆ
………
วันรุ่งขึ้น
ชูเกอก็ได้ไปที่หอคัมภีร์อีกครั้ง
"พี่หญิง ข้าอยากได้วิชานี้ 《วิชาบาทาวายุ》” ชูเกอกล่าวกับเฟิงหลิน
เฟิงหลินมอง 《วิชาบาทาวายุ》 พรางขมวดคิ้วเล็กน้อย
《วิชาบาทาวายุ》 เป็นวิชาตัวเบาระดับมนุษย์ขั้นสูงที่แฝงไปด้วยพลังโจมตี
ในบรรดาวิชาตัวเบาระดับมนุษย์…มันเป็นวิชาที่หาได้ยากยิ่ง ผู้คนมากมายต่างก็อยากได้มันมาครอบครอง
แต่ทว่า…ความยากในการฝึกฝนของมันไม่ธรรมดา!
อัจฉริยะมากมายต่างก็ล้มเลิกการฝึกฝนวิชานี้ไป เพราะไม่สามารถเข้าใจมันได้อย่างถ่องแท้
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าวิชานี้ฝึกฝนได้ยากมากแค่ไหน?”
“เท่าที่ข้ารู้ในรุ่นเดียวกับเจ้า มีเพียงหลี่เต้าเฟิง ศิษย์สายในอันดับสองเท่านั้น…ที่สามารถฝึกฝนวิชานี้จนสำเร็จได้” เฟิงหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงตำหนิเล็กน้อย
"ในสถานการณ์เช่นนี้ เจ้าควรจะตั้งใจฝึกฝน《ดาบอัศนี》ให้คล่องจะดีกว่า" เฟิงหลินแนะนำ
เเต่ชูเกอกลับส่ายหน้า
สำหรับวิชา《ดาบอัศนี》ของเขา…ในระยะเวลาสั้นๆ คงยากที่จะพัฒนาได้มากกว่านี้
เเละตอนนี้…สิ่งที่เขาขาดก็คือวิชาตัวเบา, การต่อสู้กับม่อเสี่ยวหลางทำให้เขารู้ซึ้งถึงความสำคัญของวิชาตัวเบา
การต่อสู้ไม่จำเป็นต้องปะทะกันตรงๆเสมอไป
ตราบใดที่ชนะ นั่นก็เพียงพอแล้ว
และ《วิชาบาทาวายุ》…มันเหมาะกับเขามาก
วิชาตัวเบาที่แฝงไปด้วยพลังโจมตี นี่แหละคือสิ่งที่เขาต้องการ!
‘เจ้าหมอนี่ทะเยอทะยานมากเกินไป!’ ณ ตอนนี้นี่คือสิ่งที่เฟิงหลินคิด
“ในการคัดเลือกศิษย์หลัก ด่านแรกนั้นข้าก็เป็นหนึ่งในผู้คุม, ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ถูกคัดออกตั้งแต่ด่านแรกนะ” เฟิงหลินกล่าวอย่างจนใจ
การคัดเลือกศิษย์หลัก แบ่งออกเป็นสองด่าน
ด่านแรก คือการต่อสู้แบบสุ่ม…พวกเขาจะปล่อยศิษย์ทั้งหมดลงไปในสนามประลอง
ความจริงแล้วด่านนี้ถือว่าอันตรายมาก, เพราะศิษย์ที่รวมกลุ่มกันมักจะสามารถรังแกผู้อื่นได้
ผู้ที่รอดชีวิตหนึ่งร้อยคนสุดท้าย จะได้เข้าสู่ด่านที่สอง ส่วนคนที่ถูกคัดออกในด่านแรกก็จะหมดสิทธิ์เข้าร่วมการคัดเลือก
ชูเกอรับแผ่นหยกที่บันทึก《วิชาบาทาวายุ》 เเล้วยกยิ้มบางๆ
“พี่หญิงรอดูก็แล้วกัน” หลังจากพูดจบชูโจวก็จากไป
“เจ้าหมอนีมั่นใจในตัวเองจริงๆ” เฟิงหลินพึมพำ
………..
หลังจากกลับมาที่พัก
ชูเกอก็เห็นร่างของเด็กสาวที่ดูสดใสร่าเริงอยู่ไกลๆ
เป็นชูเหยียนเอ๋อร์ที่วิ่งดุ๊กๆเข้ามาหาชูเกอ
เเละดูเหมือนว่านางจะมีของดีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ด้านหลัง
“เอามาให้ข้าสิ…โอสถหลอมวิญญาณ” ชูเกออดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
"นี่เจ้าค่ะ!” ชูเหยียนเอ๋อร์ยื่นมือสีชมพูอ่อนๆออกมา ภายในมือของนางมีโอสถสีฟ้าอ่อนเม็ดหนึ่งวางอยู่พร้อมกลิ่นหอมอ่อนๆลอยออกมา
“ข้าเก่งใช่ไหมล่ะ!”
"อืม…เก่งมาก เก่งมาก"
ชูเกอเก็บโอสถหลอมวิญญาณเอาไว้ จากนั้นก็ผลักประตูเข้าไปในห้อง
เขานั่งไขว่ห้างบนเตียง รับประทานโอสถหลอมวิญญาณเเล้วปิดเปลือกตาลงเพื่อเริ่มฝึกฝน
ส่วนชูเหยียนเอ๋อร์นั่งอยู่ข้างๆชูเกอ…นางเท้าคางเเล้วมองดูเขาอย่างเงียบๆ
หนึ่งคนหลับตาฝึกฝน
หนึ่งคนเหม่อมอง
ภายในห้อง เต็มไปด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆของธูป
ไม่นานนัก ชูเหยียนเอ๋อร์ก็รู้สึกเบื่อ นางจึงเดินออกจากห้องไป
ส่วนชูเกอก็เก็บตัวฝึกฝนอยู่สามวันสามคืน โดยไม่กินไม่ดื่มอะไรเลย
เเละในวันที่สี่นั้น
ตูม!!
มันราวกับว่ามีกำแพงบางอย่างถูกทำลาย, พลังปราณอันบริสุทธิ์ไหลบ่าออกมาราวกับมหาสมุทร
ชูเกอลืมตาขึ้น
ณ ขณะนี้ดวงตาของเขาดูสดใสอย่างมาก
เเละนั่นเพราะวันนี้…เขาได้ก้าวเข้าสู่อาณาจักรทะเลทุกข์ยากขั้นปลายอีกครั้งเเล้ว!
……………….