ตอนที่ 31: กลับคืน
ตอนที่ 31: กลับคืน
เจ้าสำนักถ่ายทอดคำสั่งว่าศิษย์ทั้งหลายต้องเชื่อฟังไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม
สามวันต่อมา ประตูขุนเขาของสำนักขนนกร่วงโรยเต็มไปด้วยผู้คน แม้แต่บนยอดเขารอบข้างก็ไม่เว้น โดยหวังฝูยืนอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่งขณะมองประตูขุนเขาซึ่งอยู่ไกลออกไป
ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากเข้าใกล้ เพียงแต่อ่อนแอเกินไปที่จะมีคุณสมบัติหรือความสามารถ ยิ่งศิษย์อยู่ใกล้ประตูขุนเขาเท่าไหร่ ระดับการฝึกฝนยิ่งมากตามเท่านั้น ตำแหน่งดีทั้งหลายต่างถูกยึดครองโดยศิษย์สายใน พวกเขาที่เป็นศิษย์ผู้ต่ำกว่าขอบเขตกลั่นลมปราณระดับเจ็ดจึงทำได้เพียงมองจากระยะไกลอยู่รอบนอกเท่านั้น
หวังฝูมองประตูขุนเขาซึ่งอยู่ไกลออกไป ไม่ช้าจึงเห็นร่างที่คุ้นเคยสองร่าง
“พั่งจือ (เจ้าอ้วน)? หวังเฟิง?”
ดังคำกล่าวที่ว่าการพบสหายเก่าในต่างแดนเป็นเรื่องดี หวังฝูจึงรู้สึกสบายใจขึ้นมากแม้จะเห็นทั้งสองจากระยะไกล ในหนึ่งปีที่ผ่านมา หน้าตาของทั้งสองเปลี่ยนไปไม่มากนัก แต่รูปร่างของพวกเขาสูงขึ้นมาก พวกเขาสวมชุดคลุมสำนักสายในขณะยืนอยู่ท่ามกลางศิษย์สำนักชั้นในจำนวนมาก
“สองคนนี้มีชีวิตดีกว่าเรามาก พวกเขากลายเป็นศิษย์สำนักชั้นในแล้ว” หวังฝูยิ่งอิจฉาแต่ไม่ริษยา รากฐานวิญญาณของทั้งสองนับว่าดีที่สุด หลังจากฝึกฝนอยู่ที่สำนักชั้นในมาหนึ่งปี พวกเขาไม่ขาดตกบกพร่องเรื่องทรัพยากร ระดับการฝึกฝนน่าจะเหนือกว่าเขาไปนานแล้ว
“โชคยังดีที่เรามีหม้อใบน้อย… ก็เลยไม่ถูกทิ้งห่างไกลเกินไป”
หวังฝูแตะหน้าอก
ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ค่ายกลพิทักษ์ของสำนักขนนกร่วงโรยกลับเกิดระลอกคลื่น จากนั้นหมอกสลายไป แล้วเงาสีดำจึงกดลงมาบนขุนเขาขณะสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาปรากฏแก่สายตา
ทุกคนตกตะลึงจนพูดไม่ออก นั่นมันคือตัวตนอะไรกันแน่?
ร่างดังกล่าวมีสีดำสนิท ขนาดของมันอยู่ที่ห้าถึงหกจั้ง ปีกที่กางออกมีขนาดเกือบสิบจั้ง ขนนกน่าขนลุกทอประกายเย็นยะเยือกยามต้องแสงตะวัน เสียงร้องของมันดังก้องทั่วท้องนภาขณะกลิ่นอายอันน่าสะพรึงทำให้ศิษย์ทั้งหลายหน้าซีด
“สัตว์อสูร… ใครบางคนกำลังโจมตีสำนักขนนกร่วงโรยของพวกเรา…” ศิษย์คนหนึ่งตกตะลึงและแตกตื่นจนเกือบจะหยิบอาวุธวิเศษเพื่อปกป้องตัวเอง โชคยังดีที่คนอยู่บริเวณใกล้เคียงช่วยแถลงไขความจริง “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรกัน นี่คืออินทรีขนดำแห่งสำนักขนนกร่วงโรยของพวกเรา อีกทั้งยังเป็นพาหนะของผู้อาวุโสเฮ่อหงชิว มันคือสัตว์วิญญาณระดับสูงขั้นสองซึ่งเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนขอบเขตสร้างรากฐานขั้นสมบูรณ์แบบ ว่ากันว่าห่างจากการสร้างยาเม็ดอสูรเพียงครึ่งก้าวก็สามารถกลายเป็นสัตว์วิญญาณขั้นสามได้”
“สัตว์ขี่ของผู้อาวุโสเฮ่อหรือ?” ศิษย์คนนั้นถอนหายใจด้วยความโล่งอกหลังจากได้ยินเช่นนี้ “ตกใจแทบแย่ ข้าก็นึกว่าสัตว์วิญญาณกำลังโจมตีสำนักขนนกร่วงโรยของพวกเราเสียอีก ศิษย์พี่จางช่างรอบรู้เหลือเกิน”
“นั่นไง… ดูบนหลังของอินทรีขนดำสิ นั่นคือผู้อาวุโสเฮ่อหงชิวไม่ใช่หรือ? ส่วนตรงนั้นคือศิษย์พี่หญิงอวิ๋นหนิงซวงกับศิษย์พี่หลู่เฟิง ไม่สิ ตอนนี้พวกเราควรเรียกพวกเขาว่าอาจารย์อาหญิงอวิ๋นกับอาจารย์อาหลู่ต่างหาก”
ขณะทั้งสองกำลังสนทนา ลำแสงจำนวนมากจึงพุ่งออกจากสำนัก คนที่นำออกไปคือหญิงสาวงดงามในชุดตำหนัก เมื่อเห็นเช่นนี้ ศิษย์ทั้งหลายจึงพากันคารวะพร้อมกับส่งเสียงเรียกว่าเจ้าสำนัก
“เจ้าสำนักมีรูปร่างเป็นแบบนี้เอง” นี่เป็นครั้งแรกที่หวังฝูได้เห็นโฉมหน้าแท้จริงของเจ้าสำนัก เขาเพียงเคยได้ยินชื่อของเจ้าสำนักซึ่งมีนามว่าโม่จือยวน แต่นึกไม่ถึงอีกฝ่ายจะถึงกับเป็นหญิงสาวงดงามเช่นนี้
มีศิษย์หลายคนที่เป็นเหมือนเขา ศิษย์สายนอกจำนวนมากมีระดับการฝึกฝนต่ำและไม่ได้อยู่ในสำนักมานาน ทำให้ไม่มีโอกาสได้พบกับเจ้าสำนัก
หญิงสาวงดงามในชุดตำหนักนามโม่จือยวนซึ่งเป็นเจ้าสำนักขนนกร่วงโรยโค้งคำนับให้กับเฮ่อหงชิวผู้อยู่บนแผ่นหลังของอินทรีขนดำด้วยความเคารพ “ยินดีต้อนรับกลับอาจารย์อาเฮ่อ”
“ขอฝากศิษย์หลานโม่จัดการที่นี่ที” เฮ่อหงชิวคล้ายกับไม่เต็มใจที่จะเอ่ยคำอะไรอีกขณะหันศีรษะไปมองศิษย์ หลังจากพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเดินจากไปในอากาศธาตุ
ภายใต้สายตาประหลาดใจของทุกคน อวิ๋นหนิงซวงกับหลู่เฟิงกระโดดลงจากอินทรีขนดำขณะเข้าไปทักทายเจ้าสำนักโม่ ส่วนอินทรีขนดำ มันกางปีกขนาดใหญ่พร้อมส่งเสียงร้องอินทรีดังลั่น จากนั้นจึงกระพือปีกแล้วหายไปในท้องนภา
“คารวะเจ้าสำนัก”
“พอพอพอ ขอแสดงความยินดีบศิษย์น้องหญิงอวิ๋นกับศิษย์น้องหลู่ที่กลับมาอย่างมีชัย ตอนนี้รากฐานได้ถูกสร้างขึ้นมาแล้ว นับว่าเป็นเสาหลักอีกสองต้นให้กับสำนัก” เจ้าสำนักโม่มองทั้งสองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความยินดี “จงมุ่งมั่นสู่ขอบเขตปราณทองโดยไวเพื่อแบ่งเบาความกังวลให้กับอาจารย์อา”
นางไม่ห่วงว่าทั้งสองจะคุกคามตำแหน่งของตัวเอง นางไม่มีความหวังที่จะบรรลุถึงขอบเขตปราณทองในชั่วชีวิตนี้ แต่คนทั้งสองตรงหน้าย่อมสามารถไปถึงขอบเขตปราณทองได้ในอนาคตอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นพวกเขาจะกลายเป็นผู้อาวุโสของสำนัก ส่วนตำแหน่งเจ้าสำนัก หากยังมีบรรพชนตระกูลโม่อยู่ก็ยังคงหนักแน่นดั่งหินผา
“เจ้าสำนักใจดีเกินไปแล้ว” หลู่เฟิงพยักหน้าพลางแย้มยิ้มขณะถือพัดพับด้วยท่วงท่าประหนึ่งผู้รอบรู้ “แม้เส้นปราณปฐพีแห่งต้าเซี่ยจะเปิดออก แต่จำนวนเส้นปราณปฐพีมีจำนวนจำกัด หกสำนักเซียนหลักต้องแก่งแย่งกัน ซึ่งศิษย์น้องหญิงอวิ๋นกับข้าทำสำเร็จได้เพราะโชคช่วย”
“ผู้ฝึกตนในรุ่นของพวกเรากำลังขัดกับเจตจำนงแห่งสวรรค์ จะมาพูดเรื่องโชคลาภวาสนาได้อย่างไร ศิษย์น้องหลู่ถ่อมตัวเกินไปแล้ว” โม่จือยวนเอ่ยคำด้วยรอยยิ้ม จากนั้นจึงเอ่ยถาม “ข้าสงสัยเหลือเกินว่าคนจากห้าสำนักอื่นทำสำเร็จไปเท่าไหร่? ระหว่างการเดินทางครั้งนี้มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นหรือไม่?”
หลู่เฟิงมองรอบข้างก่อนจะส่งสายตาว่าที่นี่ไม่เหมาะจะพูดคุย โม่จือยวนเข้าใจทันทีก่อนจะหัวเราะคิกคัก “ศิษย์น้องทั้งสองของข้าคงเหนื่อยจากการเดินทางไม่น้อย ตามข้ากลับยอดเขาขนนกโบยบินเป็นไง?”
หลู่เฟิงพยักหน้า แต่อวิ๋นหนิงซวงผู้อยู่ข้างกายกลับเอ่ยคำ “รอเดี๋ยวก่อน”
“ศิษย์น้องหญิงอวิ๋นมีอะไรหรือ?” โม่จือยวนสับสน
“เจ้าสำนักโปรดอภัยให้ข้าด้วย แม้วันนี้ข้าเพิ่งกลับมาจากการสร้างรากฐาน แต่มีเรื่องหนึ่งที่ต้องทำให้เรียบร้อยก่อน” สายตาเย็นชาของอวิ๋นหนิงซวงกวาดมองศิษย์ทั้งหลายที่อยู่ทั้งในและนอกประตูขุนเขา แล้วในที่สุดจึงจับจ้องไปยังหญิงสาวชุดเหลืองผู้หนึ่ง
“โห?” โม่จือยวนมองตามสายตาของอวิ๋นหนิงซวงพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย “ศิษย์น้องหญิงเฉาเยี่ยน…”
“หรือว่า…”
อวิ๋นหนิงซวงไม่ตอบ แต่ก้าวไปข้างหน้าขณะกลิ่นอายของขอบเขตสร้างรากฐานพลุ่งพล่าน แล้วจิตเทวะอันทรงพลังจึงเพ่งเล็งไปยังหญิงสาวชุดเหลืองที่ชื่อเฉาเยี่ยน
“เฉาเยี่ยน เข้ามารับความตายเสีย”
ศิษย์ทั้งหลายรีบเปิดทางไปหาเฉาเยี่ยนในชุดเหลืองจนเกิดเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ นางเป็นคนเดียวที่มองอวิ๋นหนิงซวงอย่างสงบ
ศิษย์รอบข้างต่างงุนงงด้วยสงสัยว่าเหตุใดอวิ๋นหนิงซวงถึงโจมตีเฉาเยี่ยน พวกนางเป็นพี่น้องกันไม่ใช่หรือ? แถมยังเป็นพี่น้องที่มีอาจารย์คนเดียวกัน
ใช่แล้ว เฉาเยี่ยนเป็นศิษย์เอกของผู้อาวุโสเฮ่อหงชิวเช่นกัน
แต่ทุกคนไม่ใช่คนโง่ สองคนนี้ต้องมีเรื่องบางอย่างเป็นแน่ ดังนั้นจึงไม่มีใครเข้าไปห้ามขณะเฝ้าดูการแสดงอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
“ศิษย์น้องหญิงอวิ๋น โอ้ไม่ ศิษย์น้องหญิงสร้างรากฐานวิถีปฐพีสำเร็จแล้ว ตอนนี้ระดับการฝึกฝนสูงส่งกว่าข้า เพราะงั้นควรเรียกว่าศิษย์พี่หญิงถึงจะถูก ขอถามศิษย์พี่หญิงอวิ๋นได้หรือไม่ศิษย์น้องหญิงอย่างข้าไปทำเรื่องอันใดให้ขุ่นเคือง?” คำพูดของเฉาเยี่ยนดูไม่เป็นธรรมชาติ นางถามด้วยความใสซื่อตอนแรกก่อนจะถามกลับ “หรือว่าพอศิษย์พี่หญิงอวิ๋นสร้างรากฐานวิถีปฐพีสำเร็จแล้วก็เลยไม่อาจทนกับการที่เคยถูกอดีตศิษย์พี่หญิงทรมานใช่หรือไม่?”
หนิงอวิ๋นซวงไม่ตอบแต่กลับเดินเข้าไปหาเฉาเยี่ยนทีละก้าว ทุกย่างก้าวที่ขยับมาพร้อมกับจิตสังหารที่ยิ่งแรงกล้า ศิษย์รอบข้างต่างถอยห่างด้วยเกรงว่าจะโดนลูกหลง
“หนึ่งปีก่อน ข้าได้รับคำสั่งจากอาจารย์ให้ไปหมู่บ้านอู๋ถงเพื่อรับเด็กที่มีรากฐานวิญญาณ แต่ช่วงขากลับดันถูกสำนักเพลิงคลั่งโจมตี น้อยคนนักที่ทราบว่าข้าออกจากสำนัก ซึ่งเจ้า เฉาเยี่ยน คือหนึ่งในนั้น”
“เจ้าวางแผนอย่างแยบยลแล้วขายข้อมูลให้กับสำนักเพลิงคลั่งอยู่หลายครั้ง ถึงแม้จะดูไร้ที่ติ แต่น่าเสียดายที่สุดท้ายข้ามาค้นพบเข้า ข้าขอบอกเอาไว้เลยว่าวันนี้ไม่ได้มีเจ้าเท่านั้นที่ต้องตาย แต่สมาชิกตระกูลเฉาทั้งหมดที่ร่วมมือกับเจ้าจะต้องตายด้วย แล้วตระกูลเฉาจะเสียสิทธิ์ในการแจกจ่ายยาเม็ดสร้างรากฐานหนึ่งร้อยปี”
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนี้ก็พากันแสดงสีหน้าเข้าใจ หากเป็นเช่นนี้จริง ความตายของเฉาเยี่ยนก็นับว่าสมควรแล้ว
สำนักขนนกร่วงโรยสนับสนุนให้มีการแข่งขันระหว่างศิษย์ด้วยกัน แต่ไม่เคยอนุญาตให้เป็นพันธมิตรกับคนนอก แม้แต่ศิษย์ที่ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลผู้ฝึกตนยังไม่มีสิทธิ์ใช้ทรัพยากรของตระกูลอย่างเปิดเผย
นี่คือขอบเขต
ซึ่งเฉาเยี่ยนได้ฝ่าฝืนขอบเขตดังกล่าว