ผมอยากซื้อศาลเจ้าของคุณ สนใจจะขายไหมครับ? (อ่านฟรี 16/12/2567)
“...ใครเหรอคะ?” เสียงของหญิงสาวน่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเย่เซวียนตอบรับกลับมา
ในน้ำเสียงเจือปนไปด้วยความงงงวงว่าทำไมถึงมีเบอร์แปลกโทรมาหาเธอได้กัน
“ผมชื่อเย่เซวียนครับ ใช่คุณฉื่อหลิงเหยารึเปล่าครับ? พอดีผมจะโทรมาถามเรื่องศาลเจ้าที่ทางตระกูลของคุณเป็นเจ้าของน่ะครับ” ชายหนุ่มกล่าวทักถายด้วยความสุภาพพร้อมกับอธิบายถึงสาเหตุที่โทรไปในทันที
ถ้าขืนชักช้าจนอีกฝ่ายมองว่าเป็นพวกต้มตุ๋นแล้ววางสายก็คงแย่แน่ ๆ
“ศาลเจ้า...ศาลเจ้าที่เมืองชางโจวใช่ไหมคะ?” หญิงสาวทวนคำของอีกฝ่ายด้วยความงงงวยในตอนแรก เธอลืมไปแล้วด้วยว่าตระกูลของเธอมีศาลเจ้าอยู่แห่งหนึ่งจริง ๆ แต่พอนึกไปนึกมาก็จำได้ว่ามีศาลเจ้าที่จัดวางเทพแห่งโชคลาภเอาไว้อยู่ที่หนึ่ง
“ใช่ครับ” ชายหนุ่มตอบกลับไปเพียงสั้น ๆ เท่านั้น เขาต้องการจะดูว่าอีกฝ่ายจะมีท่าทีอย่างไรบ้างสำหรับเรื่องนี้
นี่ก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่เขาอ่านมาจากอินเทอร์เน็ต มีผู้เชี่ยวชาญบอกเอาไว้ว่าการจะได้เปรียบในการต่อรองเรื่องธุรกิจต้องรู้จักกั๊กคำพูดเอาไว้เพื่อให้อีกฝ่ายสนใจเสียบ้าง
“แล้วจะสอบถามเรื่องอะไรเหรอคะ?” หญิงสาวที่ได้รับการตอบรับเรียบร้อยแล้วเธอจึงกล่าวถามออกมาต่อ ภายในใจก็เริ่มเกิดคำถามว่าอีกฝ่ายจะอยากรู้เรื่องศาลเจ้าไปทำไมกัน?
ฟังจากน้ำเสียงแล้วอีกฝ่ายน่าจะเป็นชายหนุ่มอายุพอ ๆ กับเธอ สำหรับคนอายุรุ่นราวคราวนี้หาได้ยากมากที่จะสนใจในเรื่องวัดวาอารามหรือศาลเจ้าต่าง ๆ อาจจะเพราะในปัจจุบันผู้คนยุคใหม่ไม่ค่อยจะนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์กันเท่าไรแล้วก็ว่าได้
“พอดีผมสนใจในตัวศาลเจ้าน่ะครับ พอจะเป็นไปได้ไหมที่จะขายศาลเจ้าให้กับผม” เย่เซวียนกล่าวเข้าเรื่องในทันที ในใจของเขาก็ได้แต่ภาวนาให้อีกฝ่ายยอมขายก็เท่านั้น
หวังว่าพรที่ท่านเทพให้ไว้จะได้ผลนะ...
“ขายศาลเจ้าเหรอคะ?! ทำไมคุณถึงสนใจได้ล่ะ?” ฉื่อหลิงเหยาถามออกมาด้วยความตกใจ
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่มีใครสักคนสนใจจะซื้อศาลเจ้าของตระกูลเธอ
ตระกูลฉื่อทำธุรกิจโรงละครกลางแจ้งแบบครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นละครเรื่องใดพวกเขาก็เล่นให้ได้ โดยปกติแล้วจึงมักจะมีแต่คนติดต่อมาเพื่อให้ไปตั้งเวทีหรือแสดงละครเสียมากกว่า
ในตัวของศาลเจ้านั้นก็เป็นเพียงมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ถึงแม้จะพอทำเงินได้บ้างแต่ก็ไม่ค่อยจะมากเท่าไรเมื่อเทียบกับค่าดูแลรักษาในแต่ละวัน โดยเฉลี่ยแล้วจะได้กำไรเดือนละประมาณ หนึ่งหมื่นหยวนเห็นจะได้
“พอดีผมอยากจะพัฒนาต่อยอดน่ะครับ ไม่ทราบว่าสนใจจะขายไหมครับ?” ชายหนุ่มไม่รู้จะตอบว่ายังไงเหมือนกัน เขาจึงตอบอีกฝ่ายไปแบบกว้าง ๆ แทน
“คุณจริงจังใช่ไหมคะ? ไม่ใช่พวกมิจฉาชีพโทรมาป่วนแน่นะ?” หญิงสาวกล่าวถามด้วยความไม่แน่ใจ สำหรับเธอแล้วเรื่องนี้มันฟังดูน่าเหลือเชื่อเกินไปสักหน่อย
“ฮ่าฮ่าฮ่า ผมจริงจังครับ เอาเป็นว่าถ้าคุณสนใจจะขายให้นัดวันเวลาสถานที่มาพูดคุยกันได้เลย จะได้รู้ว่าผมพูดจริงหรือเปล่า” ชายหนุ่มได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมาเขาก็เข้าใจได้ไม่ยาก เพราะถ้าเป็นตัวเขาก็คงระแวงว่าจะเป็นมิจฉาชีพเหมือนกัน
ยิ่งในยุคสมัยนี้มิจฉาชีพมันมาในทุกรูปแบบเสียด้วย บางทีปลอมตัวเป็นตำรวจก็มี หรือบางทีก็เป็นตำรวจที่หลอกลวงผู้คนจริง ๆ ยิ่งแล้วใหญ่
แค่ทำมาหากินก็ยากเย็นพออยู่แล้ว ยังต้องมาคอยระวังการถูกหลอกลวงจากพวกมิจฉาชีพอีก เป็นยุคที่ใช้ชีวิตได้ลำบากเป็นอย่างยิ่ง
“โอเคค่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันขอไปปรึกษากับทางบ้านก่อนแล้วจะโทรกลับไป เท่านี้นะคะ” ฉื่อหลิงหยาตอบรับกลับไปตามมารยาท
“ได้ครับ ขอบคุณมากครับ” เย่เซวียนกล่าวออกมาก่อนที่อีกฝ่ายจะกดตัดสายไป
ครึ่งหลัง
“หวังว่าจะตกลงเร็ว ๆ หน่อยนะ จะได้ทำอะไรสะดวกหน่อย” ชายหนุ่มกล่าวออกมาหลังจากที่วางสายไปเรียบร้อยแล้ว
ในตอนนี้เป็นเวลา 10.30น. ยังเหลือเวลาอีกสักพักกว่าจะได้เวลาไปศาลเจ้า เย่เซวียนครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาดูสถานที่น่าสนใจใกล้เคียงว่ามีอะไรบ้าง สุดท้ายชายหนุ่มก็เลือกที่จะไปโรงเรียนสอนขับรถ
เพราะเขาคิดเอาไว้แล้วว่าอยากจะได้รถยนต์สักคันเพื่อความสะดวกสบายในการเดินทาง ถึงแม้เขาจะมีเงินแล้วแต่ก็ยังติดปัญหาอยู่ดี
เขาขับรถไม่เป็นยังไงล่ะ!
“พี่ชายจะไปไหนต่อเหรอครับ?” เด็กน้อยกล่าวถามออกมาด้วยความสนใจ นับตั้งแต่ที่เขาได้ติดตามพี่ชายตรงหน้ามาชีวิตการเป็นวิญญาณที่แสนน่าเบื่อของเขาก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ!
แถมเขายังได้รู้อีกด้วยว่าตัวเองยังไม่ตาย ถึงแม้จะยังไม่มีเบาะแสเพิ่มเติมอะไรก็เถอะ
‘พี่ว่าจะเรียนขับรถสักหน่อยน่ะ ว่าแต่นายเป็นยังไงบ้าง? รู้สึกผิดปกติอะไรไหม’ เย่เซวียนคิดในใจเพื่อคุยกับวิญญาณเด็กน้อย
ถ้าเขาอยู่คนเดียวเขาถึงจะพูดออกมาโดยตรง แต่ถ้าอยู่ข้างนอกเช่นนี้ชายหนุ่มต้องคุยกับอีกฝ่ายในใจแทน ไม่อย่างนั้นคงมีคนมองว่าเขาเป็นบ้าแน่ ๆ
“ก็ไม่มีอะไรนะครับ พี่ชายหมายถึงยังไงเหรอ?” วิญญาณเด็กน้อยทำท่าทางครุ่นคิดก่อนจะกล่าวถามกลับมา
‘ก็อย่างเช่นรู้สึกไม่ค่อยดี หรือพอจะนึกอะไรออกเพิ่มเติมไหม เผื่อว่าจะมีข้อมูลในการตามหาร่างกายของนายเจอ’ ชายหนุ่มกล่าวอธิบายออกมาเพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจได้ง่ายขึ้น
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเด็กน้อยก็ข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายจะสื่อ เขาพยายามนึก นึกถึงสิ่งที่อยู่ลึกเข้าไปในจิตใจของตนเอง เผื่อว่าจะจำอะไรขึ้นมาได้บ้างก็ยังดี
“อืมมม ขอนึกก่อนนะครับ...ผมนึกออกแล้ว! ดูเหมือนว่าก่อนที่จะกลายมาเป็นแบบนี้ ผมกำลังวิ่งไปที่โรงพยาบาลในหมู่บ้าน มีบางอย่างมาโดนผมแล้วทุกอย่างหลังจากนั้นทุกอย่างก็มืดไปหมดเลยครับ” เด็กน้อยบอกสิ่งที่ตนเองนึกขึ้นได้ให้กับอีกฝ่ายฟัง
‘โรงพยาบาลที่อยู่แถวหมู่บ้านชีฉิวเป่ย นายชื่อเหมาเจ๋อ เดี๋ยวฉันลองอะไรแปปนึงนะ’ เย่เซวียนนึกบางอย่างขึ้นมาได้ เขาเปิดโทรศัพท์มือถือขึ้นมาทันที
หลังจากนั้นก็เปิดเว็บไซต์ก่อนจะพิมพ์ชื่อหมู่บ้านชีฉิวเป่ยลงไป ผลการค้นหาโผล่ออกมาประมาณ 50 รายการ ชายหนุ่มไล่เปิดดูทีละอันแต่ก็ไม่พบว่ามีอันไหนที่เกี่ยวข้องเลยแม้แต่น้อย
ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเว็บไซต์ที่มีบางตัวอักษรเหมือนกันก็เท่านั้น
‘สงสัยต้องให้หวู่หลิงช่วยอย่างเดียวแล้วสิ ส่งข้อความไปบอกก็แล้วกัน’ เมื่อไร้ทางเลือกชายหนุ่มจึงส่งข้อมูลที่หาได้เพิ่มเติมไปให้ฮวาหวู่หลิงทางวีแชทแล้วก็ค้นหาโรงเรียนสอนขับรถที่อยู่ใกล้ ๆ บริเวณที่เขาอยู่แทน
‘โรงเรียนแอดวานซ์ไดร์ฟวิ่ง อยู่ห่างจากที่เราอยู่ 10 กิโลเมตร รีวิวก็ใช้ได้ งั้นไปที่นี่ก็แล้วกัน’ หลังจากเลือกโรงเรียนได้แล้ว ชายหนุ่มก็เดินออกไปจากสำนักงานเขตแล้วโบกแท็กซี่มาคันนึง เขาบอกจุดหมายที่ต้องการจะไปก่อนที่รถแท็กซี่คันนั้นจะพาชายหนุ่มออกไปจากสำนักงานเขตอย่างรวดเร็ว
“จะไปทำอะไรที่นั่นเหรอพ่อหนุ่ม?” ชายสูงวัยอายุราว 50 ปี กล่าวถามออกมา
“เรียนขับรถครับ พอดีผมอยากจะขับรถเป็น” แม้จะไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายถามทำไม เย่เซวียนก็ตอบกลับไปตามมารยาทอยู่ดี
ถึงยังไงก็ไม่ได้เสียหายอะไรอยู่แล้วกับการบอกเรื่องนี้ให้อีกฝ่ายได้รู้
“กะอีแค่ขับรถต้องไปเสียเงินเรียนตั้งแพงเลยเรอะ! ให้ลุงสอนให้ไหมล่ะ คิดไม่แพงหรอก!” คนขับแท็กซี่กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง พร้อมกันนั้นเขาก็แสดงฝีมือการขับรถอันเหนือชั้นออกมาได้
ที่ด้านหน้ามีรถยนต์คันนึงกำลังขับไปตามปกติ และอีกฝั่งหนึ่งก็ขับสวนมาพอดี แทนที่จะรอแต่คนขับแท็กซี่กลับทำตรงกันข้าม! เขาเร่งความเร็วขับแซงปาดหน้าเข้าเลนได้อย่างมหัศจรรย์!
เล่นเอาเย่เซวียนที่นั่งอยู่เบาะข้างคนขับถึงกับใจเต้นโครมครามเพราะการเฉียดความตายเมื่อสักครู่เลยทีเดียว
“เป็นไงล่ะ! ฝีมืออย่างลุงไม่มีใครสอนได้หรอกนะจะบอกให้” คนขับแท็กซี่หันมายิ้มให้ก่อนจะกล่าวโอ้อวดออกมา
มันทำให้เย่เซวียนเริ่มเกิดความคิดว่าเขาจะกระโดดลงไปเลยดีไหมนะ? อย่างน้อยก็คงปลอดภัยกว่านั่งรถแท็กซี่ที่ขับหวาดเสียวแบบนี้...