ตอนที่แล้วตอนที่ 12 คนงาม
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 14 แบบหัดคัดอักษร

ตอนที่ 13 อาจารย์


ตอนที่ 13 อาจารย์

กว่าจะพูดคุยกันเสร็จก็ล่วงเลยไปถึงเวลามื้อกลางวัน อาหารประจำวันของอวี้ซีมีกับข้าวสามอย่างกับน้ำแกงหนึ่งชาม วันนี้ก็ไม่ต่างกัน มีปลานึ่ง ผัดกุ้งมรกต เต้าหู้ทอดกรอบ และต้มกระดูกหมูผักกาดดอง นอกจากนี้ยังมีเครื่องเคียงอีกสองอย่าง

ช่วงนี้อวี้ซีเจริญอาหาร กินข้าวไปได้หนึ่งถ้วยอาหารบนโต๊ะก็หมดไปครึ่งหนึ่งแล้ว หลังรับประทานเสร็จยังดื่มน้ำเต้าหู้ผสมน้ำผึ้งอีกหนึ่งแก้ว น่าเสียดายที่ไม่มีสิทธิพิเศษ หากมีก็คงจะดื่มนมแพะทุกวันเหมือนอวี้เฉิน

นางงีบหลับหลังพักผ่อนครู่หนึ่ง กระทั่งไม่มีใครอยู่ในห้องค่อยลืมตาขึ้นมองลวดลายบนเพดานเหนือเตียง ย้อนนึกถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น นางไม่รู้ว่าที่อีกฝ่ายพูดเช่นนั้นเป็นคำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่าหรือไม่ แต่การให้นางเคารพฮูหยินผู้เฒ่าแบบเดียวกับฮูหยินใหญ่นั้นเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ไม่ต้องกล่าวถึงชาติก่อนที่ฮูหยินผู้เฒ่าเย็นชาต่อนาง แค่ตอนที่นางเป็นฝีดาษ ฮูหยินผู้เฒ่ากลับให้หมอที่รักษานางปล่อยให้นางตาย เท่านี้ก็เพียงพอตัดความสัมพันธ์ย่าหลานลงแล้ว

อวี้ซีไม่รู้ว่าเหตุใดฮูหยินผู้เฒ่าถึงได้ดีกับนางขึ้นมากะทันหัน แต่นางรู้ดีว่าการกระทำของอีกฝ่ายย่อมมีจุดประสงค์แอบแฝง เพียงแต่นางอยู่ในบ้านของคนอื่นจึงจำใจต้องก้มหัว ไม่สามารถแยกตัวออกจากจวนหันกั๋วกงได้ในตอนนี้ ได้แต่คล้อยตามคำแม่นมเซินบอก

ตั้งแต่นั้นมา อวี้ซีก็ไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าทุกวันก่อน แล้วค่อยไปหาฮูหยินชิว ทว่าท่าทีนั้นก็แตกต่างกันอย่างชัดเจน เมื่ออยู่ที่เรือนใหญ่นางมักแสดงความเคารพอย่างมากแต่ไม่สนิทสนม แต่ยามอยู่ที่เรือนหลัก นางจะพยายามหาทางทำให้ฮูหยินชิวมีความสุข

แม่นมเซินกังวลว่าจะกดดันเด็กหญิงเกินไป จึงคิดว่าเรื่องนี้ควรค่อยๆ ใช้เวลา รีบร้อนไปอาจได้ผลลัพธ์ตรงกันข้าม

วันนี้อวี้ซีไปคารวะฮูหยินชิว นางได้พบเหลียนอี๋เหนียงอีกครั้ง อีกฝ่ายสวมชุดผ้าไหมปักสีชมพูอ่อน เสื้อรัดรูปสีม่วงอ่อน กระโปรงยาวถึงข้อเท้า บนศรีษะปักปิ่นรูปปลาไหลเคลือบสีฟ้า ส่งเสน่ห์น่าหลงใหลไปทั่วร่างกาย

ฮูหยินชิวเห็นอวี้ซีมาก็พูดกับเหลียนอี๋เหนียงด้วยรอยยิ้ม "ข้ารู้ความตั้งใจของเจ้าแล้ว เจ้ากลับไปเถิด!" แม้สามีจะโปรดปรานอนุภรรยาตลอดช่วงหลายปีมานี้ แต่ฮูหยินชิวก็ยังรู้สึกว่าตนโชคดีที่มีแม่สามีที่เข้าอกเข้าใจ นางนึกกตัญญูในส่วนนี้เช่นกัน ที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างแม่สามีและลูกสะใภ้ราบรื่นมาก แต่ภายหลังนางกลับหวั่นใจต่อฮูหยินผู้เฒ่าด้วยเหตุที่เกิดกับอวี้ซี

ครั้งนี้ฮูหยินผู้เฒ่าส่งเหลียนอี๋เหนียงมาก็ทำให้ฮูหยินชิวเป็นกังวลอยู่นาน ไม่ใช่เพราะกลัวว่าเหลียนอี๋เหนียงจะแย่งความโปรดปรานหรืออะไรทำนองนั้น ยามนี้นางให้ความสนใจกับลูกชายและกิจภายในจวนมากกว่าอยู่แล้ว หาได้สนใจเรื่องผู้หญิงของสามีไม่ เพียงกังวลว่าแม่สามีมีเรื่องใดไม่พอใจตนหรือไม่ แต่ครั้นเห็นว่าแม้เหลียนอี๋เหนียงจะได้รับความโปรดปรานจากสามี แต่ก็ยังคงอยู่ในกรอบ ผิดกับหรงอี๋เหนียงที่ได้รับความโปรดปรานแล้วหยิ่งผยอง ความกังวลของนางก็หายไป

ฮูหยินชิวไม่สนใจ แต่หรงอี๋เหนียงกลับหวาดกลัวยิ่งนัก เมื่อก่อนหากนางได้รับความอยุติธรรมเพียงเล็กน้อยนายท่านกั๋วกงก็จะออกโรงปกป้องนาง บัดนี้นางถูกกักบริเวณในเรือนอีหรานนานแล้ว เขาไม่เพียงไม่ได้ต่อสู้เพื่อให้นางพ้นโทษ ยังแวะไปที่เรือนอีหรานเพียงสองครั้งเท่านั้น หรงอี๋เหนียงไม่เหมือนฮูหยินชิว ฮูหยินชิวเป็นภรรยาเอก มีลูกชาย แม้ไม่มีหันกั๋วกงก็ยังคงมีชีวิตดีได้ แต่นางนั้นฝากความหวังและเกียรติยศทั้งชีวิตไว้ที่หันกั๋วกง หากสูญเสียความโปรดปรานไปแล้วนางก็จะตกต่ำลง

หรงอี๋เหนียงได้ยินว่าหันกั๋วกงไปที่เรือนของเหลียนอี๋เหนียง ใบหน้าก็บิดเบี้ยวไปหมด "เจ้าพูดว่าอะไรนะ นายท่านไปที่เรือนของนังนั่นอีกแล้วหรือ"

เสี่ยวจวนพูดเสียงสั่น "เจ้าค่ะ" ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ส่วนใหญ่หันกั๋วกงจะพักที่เรือนของเหลียนอี๋เหนียง นางกลัวว่าเมื่อเจ้านายของตนออกจากเรือนแล้ว ทุกอย่างภายนอกจะเปลี่ยนไป

หรงอี๋เหนียงอยากจะกัดเหลียนอี๋เหนียงให้ตายเต็มที ทว่ายามนี้นางถูกกักบริเวณในเรือนอีหราน ไม่มีโอกาสได้พบหันกั๋วกง ความคิดและวิธีการมากมายแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์

อากาศร้อนอบอ้าว อวี้ซีรู้สึกอึดอัดมาก นางพึมพำ "ถ้าฝนตกสักหน่อยก็คงจะดี"

ทันใดนั้นก็มีแสงสีขาวสว่างวาบขึ้นข้างนอก ราวกับดาบที่นักดาบฟาดแกว่งไกว ไม่นานก็เกิดเสียงฟ้าร้องดังสนั่นหวั่นไหว ก่อนเม็ดฝนเท่าเม็ดถั่วจะโปรยปรายลงมา

โม่จวีหัวเราะ "คำพูดของคุณหนูแม่นยำจริงๆ เจ้าค่ะ"

อวี้ซียิ้ม "แค่เรื่องบังเอิญน่ะ"

สายฝนฤดูร้อนมาเร็วไปเร็ว ไม่ถึงเสี้ยวชั่วยามก็หยุดตกแล้ว ท้องฟ้าหลังฝนแต่งแต้มสีฟ้าสดใสเป็นพิเศษ อากาศก็สดชื่นมากเช่นกัน

อวี้ซีออกมาจากห้อง อากาศหลังฝนตกเย็นสบายขึ้นมาก

ตอนนี้แม่นมเซินกลับมาจากข้างนอกแล้ว อีกฝ่ายนำข่าวดีมาฝากนาง "คุณหนูเจ้าคะ ฮูหยินผู้เฒ่าได้เชิญท่านอาจารย์มาให้คุณหนูทั้งหลายแล้ว"

เด็กหญิงย้อนนึกถึงเรื่องหนึ่ง หากจำไม่ผิดครั้งนี้ที่เชิญมาควรจะเป็นอาจารย์ซ่ง อาจารย์ซ่งชื่อซ่งหมิงเย่ว เกิดในตระกูลขุนนางผู้เลื่องชื่อด้านวรรณกรรม เฉลียวฉลาด มีไหวพริบ แตกฉานในการบรรเลงกู่ฉิน เล่นหมากล้อม เขียนภาพ รวมถึงประพันธ์บทกวี บทเพลง และบทละคร ในสมัยนั้นนางได้รับการขนานนามว่าเป็นสตรีที่มีความสามารถอันดับหนึ่งในเมืองหลวง ครั้นถึงวัยออกเรือนนางได้แต่งงานกับลู่ซ่ง นายท่านรองแห่งจวนจงหย่งโหว ต่อมาเกิดเรื่องขึ้นในตระกูลซ่ง มีข่าวลือว่าตระกูลซ่งต้องการคร่าชีวิตนาง สุดท้ายไม่รู้ว่านางใช้กลวิธีใดถึงหย่าร้างกับซ่งลู่ได้สำเร็จ

หลังหย่าร้างกัน ซ่งหมิงเยว่นำสินเดิมของตนมาช่วยให้ตระกูลซ่งผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด ก่อนตัดผมสั้นและเริ่มต้นทำงานสอนหนังสือให้กับเหล่าสตรีตระกูลขุนนางในเมืองหลวง ด้วยชื่อเสียงโด่งดังตั้งแต่สมัยยังเป็นหญิงสาว จึงมีผู้คนจำนวนมากจากตระกูลใหญ่เชิญนางไปสอน

อวี้ซีถาม "เชิญท่านอาจารย์ท่านใดมาหรือ"

แม่นมเซินพูดด้วยรอยยิ้ม "คุณหนู ครั้งนี้เชิญอาจารย์ซ่งมา อาจารย์ซ่งมีความรู้ทั้งกู่ฉิน หมากล้อม เขียนภาพ การประพันธ์บทกวี บทเพลง และบทละคร คุณหนูเพียงแค่เรียนรู้จากนางเพียงเล็กน้อยก็สามารถใช้ได้ตลอดชีวิต"

อวี้ซีลังเล "แม่นม ได้ยินมาว่าการสอนของอาจารย์ซ่งเข้มงวดมาก ข้ากลัวว่าจะทนไม่ไหว!" การสอนของอาจารย์ซ่งเลื่องชื่อ แต่รูปแบบการสอนที่เข้มงวดจนเกือบจะผิดปกติของเจ้าตัวก็มีโด่งดังไม่แพ้กัน กล่าวกันว่ามีเพียงไม่กี่คนที่สามารถอดทนกับนางได้ แน่นอนว่าผู้ที่อดทนไหว ท้ายที่สุดก็สามารถเรียนรู้สิ่งที่มีประโยชน์มากมายได้

แม่นมเซินชะงักก่อนเอ่ย "คุณหนูเจ้าคะ ความขมขื่นในวันนี้จะนำมาซึ่งความสุขในวันข้างหน้า ตราบใดที่คุณหนูสามารถอดทนได้ การแต่งงานในอนาคตก็จะง่ายขึ้นมาก"

มีผู้คนจำนวนมากที่ต้องการเรียนกับอาจารย์ซ่ง ถึงแม้จะมีอำนาจมากเพียงใด หากไม่เป็นไปตามความต้องการของนาง นางก็ไม่มีทางตกปากรับคำ คนทั่วไปรู้จักกันดีอยู่สองข้อ ข้อแรกคือไม่ว่านางจะสอนเด็กอย่างไร เจ้าของบ้านก็ไม่สามารถแทรกแซงได้ ข้อที่สองคือหากสอนครบสามเดือนแล้วไม่มีนักเรียนคนใดทำให้พอใจ นางก็จะไม่สอนต่อ ทั้งสองข้อนี้ไม่รู้ว่าทำให้ผู้คนลำบากใจมากแค่ไหน ถึงกระนั้นหญิงสาวที่ผ่านเกณฑ์ของอาจารย์ซ่งล้วนแล้วแต่ชื่อเสียงโด่งดังและได้คู่ครองที่ดี นี่จึงเป็นสาเหตุที่การสอนของอาจารย์ซ่งยังคงได้รับความนิยมจากตระกูลใหญ่แม้จะเข้มงวดมาก

อวี้ซีปั้นหน้าลังเล "ขอข้าคิดดูก่อน"

หลังแม่นมเซินออกไปแล้ว อวี้ซีก็ปลดหน้ากากเสแสร้งและเผยสีหน้ามุ่งมั่น ไม่จำเป็นต้องให้แม่นมเซินพูด นางก็ต้องการเรียนกับอาจารย์ซ่งอยู่แล้ว ดังที่หญิงชราพูดไว้ บทเรียนจากอาจารย์ซ่งสามารถใช้ได้ตลอดชีวิต

อวี้ซีจงใจหมกตัวอยู่ในห้องอยู่นานเพื่อให้แม่นมเซินคิดว่านางกำลังลังเล กระทั่งถึงเวลาอาหารเย็นค่อยออกมา แล้วตรงไปหาฮูหยินผู้เฒ่าที่เรือนใหญ่

อวี้ซีไม่อ้อมค้อม บอกความตั้งใจของตนเองออกมาตรงๆ "ท่านย่า ได้ยินมาว่าจวนของเราจะเชิญอาจารย์ซ่งมา ท่านย่าคะ ข้าก็อยากเรียนด้วย"

ฮูหยินผู้เฒ่าขมวดคิ้วเล็กน้อย ครั้งนี้ที่เชิญอาจารย์ซ่งมา นางไม่ได้นับรวมอวี้ซีไว้ด้วย ไม่ใช่เพราะมีอคติต่อเด็กหญิงหรืออะไรทำนองนั้น แต่เจ้าตัวยังเด็กเกินไป "การสอนของอาจารย์ซ่งเข้มงวดมาก เจ้าอายุยังน้อย ทนไม่ไหวหรอก อีกสองปีค่อยเรียนก็ยังไม่สาย"

อวี้ซียืนกราน "ท่านย่า ข้าจะตั้งใจเรียนอย่างแน่นอน จะไม่ทำให้พี่สาวทั้งสามลำบากใจ"

ฮูหยินผู้เฒ่ายังไม่ตอบตกลง

อวี้ซีคุกเข่าลงแล้วเอ่ยขอร้อง "ท่านย่า ให้ข้าเรียนกับพี่สาวด้วยเถิด! ท่านย่า อวี้ซีขอร้องท่าน"

แม่นมโลวซึ่งเป็นคนสนิทของฮูหยินผู้เฒ่าพูดด้วยรอยยิ้ม "คุณหนูสี่กระตือรือร้นมาก ฮูหยินผู้เฒ่าก็ทำให้คุณหนูสี่สมหวังเถิดเจ้าคะ" คุกเข่าขอร้องถึงเพียงนี้แล้ว หากยังไม่ตอบตกลงก็คงดูเกินไป

ฮูหยินผู้เฒ่าขมวดคิ้ว สุดท้ายจึงเอ่ย "เงื่อนไขของอาจารย์ซ่งเข้มงวดมาก แม้ข้าจะตกลง แต่หากอาจารย์ซ่งไม่เห็นด้วยก็ไร้ประโยชน์"

อวี้ซีท้วงทันที "ท่านย่า ข้าจะทำให้อาจารย์ซ่งตกลงรับข้าเป็นศิษย์ให้ได้"

หญิงอาวุโสเอ่ยขึ้นหลังอวี้ซีกลับไป "ตอนนี้เด็กคนนี้ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน" เมื่อก่อนฮูหยินผู้เฒ่าไม่ชอบอวี้ซี เพราะรังเกียจหนิงซื่อจึงพาลไม่ชอบลูกสาวของเจ้าตัวไปด้วย อีกอย่างคืออวี้ซีมักมีสีหน้าเศร้าสร้อยราวกับถูกคนอื่นรังแกตลอดเวลา นางเห็นแล้วรู้สึกหดหู่นัก ทว่าหลังเด็กคนนี้หายป่วยแล้ว แววหม่นหมองบนหน้าก็หายไปด้วย ฮูหยินผู้เฒ่าคิดว่าอาจเพราะอวี้ซีได้ประสบกับความเป็นความตายมาจึงปล่อยวางได้มากขึ้น

แม่นมโลวยิ้มแล้วกล่าวยกยอพลางยิ้ม "เป็นเพราะฮูหยินผู้เฒ่าสอนสั่งเป็นอย่างดี ตั้งแต่ที่แม่นมเซินไปที่เรือนเฉียงเวย คุณหนูสี่ทำตัวอยู่ในร่องในรอยของตนมากขึ้น" เมื่อก่อนคุณหนูสี่เกรงกลัวฮูหยินผู้เฒ่าเป็นอย่างมาก ตอนนี้ทุกวันจะมาคารวะฮูหยินผู้เฒ่า และยังอยู่พูดคุยสองสามประโยค ถึงจะเทียบไม่ได้กับคุณหนูสามแต่ก็นับว่าดีขึ้นมากแล้ว

ฮูหยินผู้เฒ่าหรี่ตาลง ไม่ได้พูดอะไรอีก

ฮูหยินชิวรู้ว่าอวี้ซีไปขอร้องฮูหยินผู้เฒ่าเพื่อขอเรียนกับอวี้หรูและคนอื่นๆ จึงเตือน "การสอนของอาจารย์ซ่งเข้มงวดมาก หากไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของนางก็จะต้องโดนตีที่ฝ่ามือ เจ้าไม่กลัวเหรือ”

อวี้ซีให้คำตอบว่าไม่กลัว

ฮูหยินชิวพูดด้วยท่าทีจริงจัง "เจ้าต้องคิดให้ดี หากเรียนกับอาจารย์ซ่งแล้วจะลำบากแค่ไหนก็ต้องอดทน ไม่เช่นนั้น ชื่อเสียงของเจ้าก็จะเสียหาย หากหญิงสาวเสื่อมเสียชื่อเสียงขึ้นมา จะยากลำบากต่อการแต่งงานในภายภาคหน้า" แน่นอนว่าฮูหยินชิวกำลังข่มขู่หลานสาว แม้อวี้ซีจะไปไม่รอด ด้วยอายุของนางต่อให้เป็นเช่นนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรได้ เพียงแต่รูปแบบการสอนของอาจารย์ซ่งนั้นผิดปกติมาก คนที่อดทนไม่ได้มีอยู่มากมาย คงไม่พ้นแม้แต่อวี้ซี

อวี้ซีพูดด้วยสีหน้าแน่วแน่ "ท่านป้า ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะไม่ยอมแพ้กลางคัน"

ฮูหยินชิวลูบหัวอวี้ซี สายตาของนางมีแววปลาบปลื้มใจ "เจ้าตั้งใจจริงเช่นนี้ ข้าจะให้อาจารย์ซ่งรับเจ้าเป็นศิษย์" ว่าจบก็สั่งให้หลิ่วอิ้นไปที่ห้องเก็บของเพื่อนำชุดเครื่องเขียนมาให้

สำหรับการมาถึงของอาจารย์ แต่ละคนก็มีปฏิกิริยาต่างกันออกไป อวี้ซีและอวี้หรูต่างหวังว่าจะได้เรียนกับคนดังในเมืองหลวงผู้นี้ ส่วนอวี้เฉินนั้นยังรักษาท่าทีนิ่งเฉย นางรู้ดีว่าฮูหยินผู้เฒ่าเชิญอาจารย์ซ่งมาเพื่อนางโดยเฉพาะ ส่วนจะได้รับการยอมรับจากอาจารย์ซ่งหรือไม่นั้นนางยังไม่ทราบได้

ในบรรดาคุณหนูทั้งสี่ มีเพียงอวี้จิ้งเท่านั้นที่ได้ยินว่าอาจารย์ซ่งจะตีที่ฝ่ามือแล้วเกิดอาการกลัวขึ้นมา "ท่านแม่ อาจารย์ซ่งคนนั้นจะตีคน ข้าไม่อยากไป" หรงอี๋เหนียงไม่รู้หนังสือแม้แต่ตัวเดียวก่อนเข้ามาปรนนิบัติหันกั๋วกง แต่หลังได้ติดตามหันกั๋วกงแล้ว นางไม่เพียงแต่รู้หนังสือเท่านั้น ยังสามารถแต่งบทกวีแปร่งหูได้สองสามบท อวี้จิ้งเริ่มเรียนรู้ตัวอักษรกับหรงอี๋เหนียงตั้งแต่อายุสี่ขวบ ตอนนี้รู้จักตัวอักษรมากมายแล้ว

หรงอี๋เหนียงมักตามใจอวี้จิ้งเสมอ ทว่าเรื่องนี้นางไม่สามารถตามใจลูกสาวได้ "เจ้าต้องไปและต้องเรียนให้ดีเพื่อให้อาจารย์ซ่งรับเจ้าเป็นศิษย์ ถึงจะได้แต่งเข้าตระกูลใหญ่ ต้องไม่เหมือนข้าที่ต้องก้มหัวให้คนอื่นทุกเรื่อง" สุดท้ายอวี้จิ้งจึงยอมจำนนต่อคำว่าแต่งงานเข้าตระกูลใหญ่

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด