ตอนที่ 30 ขโมยตาใส
ตอนที่ 30 ขโมยตาใส
ลู่เหรินหยิบ “เคล็ดชำระกายา” ขึ้นมาแล้วเริ่มอ่าน
เคล็ดชำระกายานี้แบ่งออกเป็นสี่ขั้น หากฝึกฝนครบทั้งสี่ขั้น ก็จะถือว่าบรรลุขั้นสมบูรณ์
ขั้นที่หนึ่ง บำรุงปราณ หลอมกายา!
ขั้นที่สอง กล้ามเนื้อเหล็ก กระดูกเหล็ก!
ขั้นที่สาม สลายเหล็กเกิดใหม่!
ขั้นที่สี่ กายาแก้วทองคำ!
หลังจากอ่านคำอธิบายในตำรา ลู่เหรินพลันตื่นตระหนกอย่างช่วยไม่ได้
สาเหตุที่เคล็ดชำระกายานี้ถูกจัดให้เป็นวิทยายุทธขั้นมนุษย์ระดับต่ำ ไม่ใช่เพราะพลังอ่อนแอแต่เป็นเพราะขั้นแรก “บำรุงปราณ หลอมกายา” นั้นยากที่จะฝึกฝนสำเร็จ
ความยากนี้ไม่ใช่เรื่องของความยากลำบาก แต่ต้องใช้เวลามากในการควบคุมพลังปราณในช่องจิตให้ไหลเวียนไปทั่วร่างกาย เพื่อชำระล้างร่างกายครั้งแล้วครั้งเล่า
ที่เรียกว่าบำรุงปราณก็คล้ายกับการบำรุงร่างกาย
หากไม่มีเวลาสิบปีก็ยากที่จะฝึกฝนสำเร็จ
นักยุทธ์ทั่วไปจะไม่ยอมเสียเวลาสิบกว่าปีเพื่อฝึกฝนวิชาฝึกกายขั้นมนุษย์ระดับต่ำ เพื่อที่จะ “บำรุงปราณ หลอมกายา”
แต่หากสามารถฝึกฝนวิทยายุทธนี้จนถึงขั้น “กายาแก้วทองคำ” ได้ก็จะเป็นอมตะในระดับเดียวกัน แม้แต่วิทยายุทธที่ทรงพลังก็ยากที่จะทำลายกายาแก้วทองคำได้
“วิทยายุทธนี้ หากพูดถึงมูลค่าที่แท้จริงต้องเกินกว่าห้าแสนเหรียญแน่ ๆ!”
ลู่เหรินพึมพำกับตัวเอง
ตอนนี้หากฝึกฝนตามปกติ เขายังสามารถฝึกฝนในหอคอยศักดิ์สิทธิ์ได้อีกกว่าร้อยสิบปี เขาจึงตัดสินใจเริ่มฝึกฝนวิชาฝึกกายนี้ และเรียนรู้มันอย่างลับ ๆ
ตราบใดที่เขาสามารถฝึกฝนวิชาฝึกกายนี้ได้ถึงขั้นต้น ในอนาคตเขาก็จะสามารถฝึกฝนต่อไปได้เรื่อย ๆ
ลู่เหรินเริ่มพลิกดูตำรา และเริ่มฝึกฝนตามวิธีการที่อธิบายไว้
ลู่เหรินเชื่อมต่อพลังปราณจากช่องจิตทั้งเจ็ด ปล่อยให้มันไหลเวียนไปทั่วร่างกาย ชำระล้างร่างกายครั้งแล้วครั้งเล่า
ทุกครั้งที่ชำระล้าง ลู่เหรินรู้สึกเหมือนกำลังแช่น้ำพุร้อน ทั้งร่างกายเต็มไปด้วยความรู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก
แต่เนื่องจากการใช้พลังปราณมากเกินไป ข้าววิญญาณชั้นยอดที่ลู่เหรินใช้ก็เป็นสิบเท่าของปกติ การบริโภคนี้ยังน่ากลัวกว่าการฝึกฝนเคล็ดวิชาเสริมพลังเสียอีก
พร้อมทั้งการชำระล้างครั้งแล้วครั้งเล่า สิ่งสกปรกเหนียวเหนอะหนะก็ซึมออกมาจากรูขุมขนบนผิวหนัง
ตามที่ระบุไว้ในตำรานี่คือสิ่งสกปรกในร่างกาย หากสามารถขับสิ่งสกปรกในร่างกายออกมาได้ทั้งหมดก็จะถือว่าบรรลุขั้นแรก “บำรุงปราณ หลอมกายา”
ลู่เหรินใช้เวลาถึงสิบปีอาศัยพลังปราณที่ได้รับจากข้าววิญญาณชั้นยอด ไหลเวียนไปทั่วร่างกายนับครั้งไม่ถ้วน ในที่สุดก็บรรลุถึงระดับ “บำรุงปราณ หลอมกายา”
ตอนนี้ลู่เหรินรู้สึกว่าร่างกายของเขาเบาขึ้นเล็กน้อย และผอมลง แต่ผิวหนังกลับเรียบเนียนดุจแพรไหม ทั้งยังเหนียวแน่น แม้คมดาบหรือคมมีดก็ไม่อาจทำร้ายได้
ลู่เหรินกระโดดขึ้น ร่างกายของเขาลอยขึ้นสูงถึงหนึ่งจั้ง
“ถึงแม้ว่าร่างกายจะเบาลง แต่ความแข็งแกร่งของร่างกายเพิ่มขึ้นมาก พละกำลังก็เพิ่มขึ้นมาก!”
ลู่เหรินพยักหน้าอย่างพึงพอใจ หากพูดถึงความแข็งแกร่งของร่างกายเพียงอย่างเดียว ต่อให้เป็นนักยุทธ์ขอบเขตลำธารวิญญาณทั่วไ ก็ไม่อาจเทียบกับเขาได้
ตอนนี้ข้าววิญญาณชั้นยอดที่เหลืออยู่ยังสามารถให้เขาฝึกฝนต่อไปได้อีกกว่ายี่สิบปี ลู่เหรินจึงไม่คิดจะฝึกฝนต่อแล้ว ส่วนขั้นที่สอง “กล้ามเนื้อเหล็ก กระดูกเหล็ก” ด้วยระดับพลังปัจจุบันของเขาก็ยังไม่สามารถฝึกฝนได้
เมื่อออกมาจากหอคอยศักดิ์สิทธิ์ เวลาภายนอกก็ผ่านไปเพียงหนึ่งวินาทีเท่านั้น ลู่เหรินจึงนำตำราไปคืนให้ผู้อาวุโสผู้เฝ้าหอ
“ลู่เหริน วิชาฝึกกายขั้นมนุษย์ระดับต่ำนั้นหายากมาก หากเจ้าไม่ต้องการ บางทีวันหนึ่งข้าอาจจะขายให้คนอื่นไปแล้วก็ได้!”
ผู้อาวุโสผู้เฝ้าหอหลับตาส่ายหัวไปมา
“วิทยายุทธนี้ฝึกฝนยากเกินไป ท่านผู้อาวุโสเก็บไว้ให้คนอื่นเถอะ!”
ลู่เหรินปฏิเสธ
ผู้อาวุโสผู้เฝ้าหอลุกขึ้นยืนทันที จ้องมองลู่เหรินด้วยความประหลาดใจ เขาพบว่าลู่เหรินดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็บอกไม่ได้ว่าเปลี่ยนไปอย่างไร
“เจ้าแน่ใจนะว่าไม่เอา?”
ผู้อาวุโสผู้เฝ้าหอถามย้ำอีกครั้ง
ลู่เหรินส่ายหัว ตอนนี้เขาแอบฝึกฝนวิทยายุทธนี้จนถึงขั้นต้นแล้ว จะไปเสียเงินเปล่า ๆ ทำไม?
“งั้นเอาแบบนี้ ข้าขายให้เจ้าสี่แสนก็แล้วกัน?”
ลู่เหรินส่ายหัว
“สามแสนล่ะ?”
ลู่เหรินยังคงส่ายหัวพร้อมรอยยิ้ม
“สองแสนก็ได้!”
ผู้อาวุโสผู้เฝ้าหอกัดฟันพูดอย่างเจ็บปวด
ในความคิดของเขา ตำราวิทยายุทธเล่มนี้มีมูลค่ามากกว่าสองแสนแน่นอน
“ท่านผู้อาวุโส ท่านเก็บไว้ให้ผู้มีวาสนาเถอะ!”
ลู่เหรินยิ้มแล้วกำลังจะจากไป แต่ก็ถูกผู้อาวุโสผู้เฝ้าหอจับไหล่ไว้ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนพลังทั้งหมดในร่างกายถูกกักขังเอาไว้ ไม่สามารถขยับได้
“ท่านผู้อาวุโส นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
ลู่เหรินขมวดคิ้วถาม
“บอกข้ามา ทำไมเจ้าถึงไม่ต้องการวิชาฝึกกายนี้?”
ผู้อาวุโสผู้เฝ้าหอกล่าว “เจ้าเป็นสายเลือดไร้ค่า วิชาฝึกกายานี้เหมาะกับเจ้าที่สุดแล้ว!”
ลู่เหรินยิ้ม “ท่านผู้อาวุโสบอกตามตรง เมื่อหลายปีก่อนข้าได้รับคำชี้แนะจากผู้เชี่ยวชาญท่านหนึ่ง เขาถ่ายทอดวิชาฝึกกายให้ข้านั่นก็คือเคล็ดชำระกายานี้!”
“เป็นไปไม่ได้!”
ผู้อาวุโสผู้เฝ้าหอส่ายหัวแล้วพูดว่า “เคล็ดชำระกายานี้ ข้าได้มาจากดินแดนลับแห่งหนึ่ง เป็นวิทยายุทธที่สืบทอดมาจากพันปีก่อนจริง ๆ นอกจากข้าแล้วยังไม่มีใครสามารถฝึกฝนได้สำเร็จ!”
ลู่เหรินยื่นแขนออกมา ผิวหนังของเขาเหนียวแน่น ดุจแพรไหม มีแสงเรืองรองจาง ๆ
“บำรุงปราณ หลอมกายา!”
ผู้อาวุโสผู้เฝ้าหอถึงกับตะลึง มองด้วยสายตาตื่นตระหนก พูดอะไรไม่ออกอยู่พักใหญ่
วิทยายุทธแขนงนี้แค่ขั้นแรกก็ต้องใช้เวลาฝึกฝนอย่างมาก หากฝึกขั้นแรกได้สำเร็จ อีกสามขั้นหลังก็จะฝึกได้ง่ายขึ้นตราบใดที่ระดับพลังเพิ่มขึ้น
ตอนนี้ลู่เหรินอายุแค่สิบหกสิบเจ็ดปีสามารถบรรลุ “บำรุงปราณ หลอมกายา” ได้แล้ว ความสำเร็จในอนาคตของเขาต้องไร้ขีดจำกัดอย่างแน่นอน!
เขาเป็นคนไร้ค่า หรือเป็นอัจฉริยะกันแน่?
“ท่านผู้อาวุโส...”
คำพูดของลู่เหรินขัดความคิดของผู้อาวุโสผู้เฝ้าหอ
ผู้อาวุโสผู้เฝ้าหอไอหนึ่งครั้ง แล้วพูดด้วยรอยยิ้มแห้ง ๆ ว่า “ลู่เหริน ข้าขอถามหน่อยได้ไหม เจ้าใช้เวลาฝึกฝนนานแค่ไหนถึงบรรลุระดับบำรุงปราณ หลอมกายาได้?”
“ใช้เวลาประมาณสองสามเดือนขอรับ!”
ลู่เหรินตอบ
เขาคงไม่สามารถบอกได้ว่าเขาใช้เวลาถึงสิบปี และการที่จะบำรุงปราณ หลอมกายา ได้นั้น จำเป็นต้องเปิดช่องจิต นับจากที่เขาเปิดช่องจิตแรกก็ผ่านไปแค่สามหรือสี่เดือนเท่านั้น
“แค่สองสามเดือน? เป็นไปได้อย่างไร?”
ผู้อาวุโสผู้เฝ้าหอตกใจจนตาแทบถลน
แต่เมื่อคิดถึงเวลา ลู่เหรินก็เพิ่งเปิดช่องจิตได้ไม่นาน หรือเป็นเพราะลู่เหรินเป็นผู้บรรลุสัจธรรมแห่งสวรรค์ ความเร็วในการฝึกฝนของเขาจึงรวดเร็วเช่นนี้?
แต่มันก็ไม่สมเหตุสมผลอยู่ดี!
ขั้นบำรุงปราณ หลอมกายา ต้องใช้เวลามากในการควบคุมพลังปราณให้ไหลเวียนไปทั่วร่างกาย หากรีบร้อนเกินไปก็จะไม่เกิดผล การไหลเวียนที่เร็วเกินไปจะไม่สามารถบำรุงปราณได้
ยิ่งผู้ที่มีพรสวรรค์สายเลือดต่ำเท่าไหร่ ร่างกายก็จะมีสิ่งสกปรกมากขึ้นเท่านั้น เวลาที่ต้องใช้ก็จะยิ่งนานขึ้น
บรรลุระดับบำรุงปราณ หลอมกายา ได้ภายในเวลาไม่กี่เดือน เขาทำได้อย่างไรกัน?
“ท่านผู้อาวุโส หากไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัวก่อน!”
ไม่สนใจความตกใจของผู้อาวุโสผู้เฝ้าหอ ลู่เหรินก็หันหลังเดินจากไป
“หอคอยศักดิ์สิทธิ์นี้ ในช่วงเวลาสำคัญมีประโยชน์จริง ๆ!”
ลู่เหรินคิดในใจระหว่างทางกลับ
เมื่อกลับถึงเรือนฝึกฝน ลู่เหรินก็แกว่งดาบเพลิงวิญญาณ แสดงวิชาดาบอย่างเต็มที่ เพราะร่างกายแข็งแกร่งขึ้น พลังของวิชาดาบก็เพิ่มขึ้นมาก
“ตอนนี้ข้าบรรลุระดับบำรุงปราณ หลอมกายา พละกำลังเพิ่มขึ้นมาก เมื่อรวมกับพลังปราณจากช่องจิตทั้งเจ็ดน่าจะสามารถเอาชนะนักสู้ที่เปิดช่องจิตแปดช่องได้อย่างง่ายดาย!”
ลู่เหรินรู้สึกดีใจมาก ความแข็งแกร่งระดับนี้ทำให้เขามีความมั่นใจในการเดินทางไปยังถ้ำศักดิ์สิทธิ์เพิ่มขึ้น
มีเพียงนักยุทธ์ขอบเขตเปิดประตูพลังเท่านั้นที่สามารถเข้าไปในถ้ำศักดิ์สิทธิ์ได้ แม้ว่าจะเจอนักสู้ที่เปิดช่องจิตแปดช่อง ลู่เหรินก็ไม่ใส่ใจ
หากศิษย์จากสามสำนักใหญ่กล้ามาหาเรื่องเขา เขาก็จะฆ่าทุกคนที่เข้ามา แน่นอนว่าจะไม่ใจอ่อนแน่นอน
ในอีกไม่กี่วันต่อมา ลู่เหรินก็กินแล้วนอน นอนแล้วกิน เขาฝึกฝนอย่างหนักในเจดีย์มาหลายปีแล้ว ไม่สนใจที่จะเสียเวลาไปอีกสองสามวัน
เจ็ดวันผ่านไปในพริบตา
บนยอดเขาแห่งหนึ่งในเขตชั้นในของสำนักเมฆาเขียว อวิ๋นชิงเหยาในชุดฝึกฝนกำลังแกว่งดาบยาวไปมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับเสียงตะโกนที่ดังกึกก้อง
ร่างกายของอวิ๋นชิงเหยาดูบอบบาง แต่ดาบแต่ละเล่มของนางกลับคมกริบและทรงพลัง
“ลมหอบเมฆา!”
อวิ๋นชิงเหยาตะโกนเสียงดัง ดาบยาวในมือของนางกวัดแกว่งไปมา ดาบนั้นราวกับพายุหมุนพัดกระหน่ำเข้าใส่ภูเขา
ตูม!
ภูเขาลูกนั้นถูกทำลายจนแหลกสลาย
อวิ๋นชิงเหยาเก็บดาบพยักหน้า แล้วพูดว่า “ในที่สุดก็สร้างกระบวนท่าที่ห้าได้สำเร็จ หากศิษย์รักสามารถฝึกฝนกระบวนท่านี้ได้ ความแข็งแกร่งของเขาก็จะเพิ่มขึ้นอีกมาก!”
เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็หันหลังเดินไปยังภูเขาโอรสสวรรค์!
เมื่อมาถึงเชิงเขาโอรสสวรรค์ อวิ๋นชิงเหยามองไปที่เรือนของลู่เหรินแล้วคิดในใจว่า “ศิษย์รักคงกำลังฝึกฝนอย่างหนักอยู่แน่ ๆ ในเมื่อเขาตั้งใจจะไปถ้ำศักดิ์สิทธิ์ เขาก็น่าจะพยายามเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเองให้ถึงขีดสุด!”
เมื่อคิดถึงตรงนี้ มุมปากของอวิ๋นชิงเหยาก็กระตุกยิ้มขึ้นเล็กน้อย