บทที่ 30
อู่หลานเป็นคนประเภททุ่มเททำทุกอย่างเพื่อความสำเร็จ ดังนั้นแม้แต่ผักที่เธอจะมอบให้กับญาติตัวเอง ก็ยังอดทนคัดสรรร่วมกับครอบครัวด้วยความลำบาก
ในขณะที่ซ่งถานมองไปที่คำขอเป็นเพื่อนซึ่งยังไม่ได้รับการอนุมัติจากอีกฝ่าย เธอคิดในใจว่าผู้มีพระคุณช่วยชีวิตคนนี้ช่างลึกลับจริงๆ ! เธอกำลังจะส่งคำขออีกครั้ง แต่ก็เห็นข้อความจากผู้ช่วยแพทย์เจินหลี่เสียก่อน
[ผักที่บ้านคุณยังมีขายไหม]
ไม่ทันรอให้ตอบ ข้อความที่สองก็ส่งตามมาติดๆ กัน :
[เพื่อนที่โรงพยาบาลของฉันมีแต่คนชมว่ามันอร่อย อยากซื้อกันทุกคนเลย ราคาแพงก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวค่าจัดส่งฉันจ่ายเองค่ะ]
ซ่งถานรู้สึกสิ้นหวัง เธอจึงแคปภาพประกาศกลุ่มสองสามภาพแล้วส่งไป :
[ผู้ช่วยจาง ขอโทษด้วยค่ะ ช่วงนี้ผักหยุดขายแล้วจริงๆ ]
[แต่ผักที่ฉันเตรียมไว้สำหรับคนในครอบครัวยังพอมีอยู่ เดี๋ยวจะส่งให้คุณเป็นกรณีพิเศษละกันนะคะ ของกินเอง ไม่คิดเงินค่ะ]
โรงพยาบาลประชาชนมณฑลหนิง สาขาที่ 1 ผู้ช่วยแพทย์เจินหลี่เดิมทีมองแค่ข้อความแรก ความรู้สึกเหมือนหัวใจจะวายตายเสียเดี๋ยวนั้น
ตอนนี้ใครที่ไหนกันที่เขาต้องการผัก
เธอต้องการเอาใจ ผอ.โรงพยาบาลต่างหาก!
เล่ากันว่าวันนั้นตอนเที่ยง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเพียงแค่พูดเล่นๆ ติดตลกอยู่ไม่กี่คำ จากนั้นจานผักป่าจานหนึ่งก็ถูกนำไปเสิร์ฟยังโรงอาหารแจกจ่ายให้บุคลากรถ้วนทั่วในมื้ออาหารกลางวัน ส่วนหัวหน้าเชฟก็เจ้าเล่ห์ประจบสอพลอ คนในแผนกที่มารับอาหารทุกคนจะได้รับผักป่าเพียงสองสามใบเท่านั้น แต่พอเป็น ผอ. เขากลับตักให้เสียหลายใบ
โอ้โห!
แค่ต้มแล้วราดน้ำเย็นๆ รสชาติที่ได้ก็สุดยอดมาก! พอจะหันกลับมากินอาหารจานอื่นในโรงอาหารต่อ ก็เหมือนกินหญ้าแห้งไปเลย ไม่มีอะไรเทียบได้สักนิด
ก็มันเรื่องจริงไม่ใช่เหรอ…ผู้ช่วยแพทย์เจินหลี่อยู่ดีๆ จึงกลายเป็นที่นิยมในโรงพยาบาลอย่างฉับพลัน พยาบาลในแผนกต่างๆ ก็ปฏิบัติต่อเธออย่างอ่อนโยนและยิ้มแย้มให้อย่างนุ่มนวล
ผอ.โรงพยาบาลยังแสร้งทำเป็นพูดลอยๆ ว่า
"ผู้ช่วยเจิน ช่วงนี้ทำงานดีมากเลยนะผมขอชมเชย เออ..ว่าแต่นึกถึงผักป่ารอบนั้นแล้วอยากกินอีกเนอะคุณว่าไหม ผมจำได้ว่าเป็นผักป่าที่ส่งมาจากคนไข้ที่คุณช่วยดูแลกับหมอจางหยวนด้วยนี่นา รสชาติมันดีจริงๆนะ ต้องบอกว่าผักที่ปลูกในหมู่บ้านนี่อร่อยสมคำร่ำลือ"
ผู้ช่วยเจินแม้จะเป็นคนโง่ก็คงจะต้องฉลาดขึ้นในตอนนี้แล้ว
ดังนั้นเธอจึงหลุดพูดกับผอ.ไปว่า
"ดิฉันจะลองถามคนไข้ดูว่าผักขายไหม แล้วจะส่งนามบัตรให้ท่านค่ะ"
ทันทีที่พูดจบ เธอก็รู้สึกว่าพยาบาลหัวหน้าแผนกบิดเอวของเธออย่างแรง เจินหลี่เกือบจะกระโดดพรวดขึ้นมา สีหน้าของ ผอ.ในเวลานั้นก็แปลกใจมาก มีทั้งความประหลาดใจและความตกใจ แต่สุดท้ายก็ยิ้มและตบไหล่ของเธอ "ดีมาก เป็นคนทำงานจริงจัง คุณอย่าลืมเพิ่มผมเข้าในกลุ่มไลน์ และส่งนามบัตรมาให้ผมด้วย"
แน่นอนว่าเมื่อผอ.โรงพยาบาลเดินจากไป พยาบาลหัวหน้าแผนกก็มองมาที่เธอด้วยสายตาค้อนเขม่ง
ทำให้ผู้ช่วยแพทย์เจินหลี่เข้าใจได้ทันทีว่าควรจะทำตัวอย่างไร
อยากได้ด้วยอีกคน! ถูกไหมล่ะ..เธอก็รีบไปถามข่าวคราวให้แล้วไม่ใช่หรือยังไง ตอนนี้พอได้ยินว่าผักหมดแล้ว ความทะเยอทะยานของเธอก็เหมือนกับน้ำที่ไหลลงร่องแคบ เย็นเฉียบ ทะลุหัวใจ
หันกลับมามองภาพหน้าจอโทรศัพท์ที่ติดประกาศในกลุ่มไลน์สองสามภาพ ตั้งยี่สิบเอ็ดกิโลกรัม ก็ยังมีคนแย่งกันซื้ออีกเหรอ? ผู้ช่วยเจินแทบอยากจะร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวด ผักป่าจากชนบทขายดิบขายดีขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
ที่สำคัญ ให้ฟรีไม่คิดเงินก็มากพอแล้ว...แต่นี่คนไข้ยังจะส่งมาให้เธอฟรีๆ อีกเนี่ยนะ
ไม่ได้! ผู้ช่วยเจินมีหลักการมาก :
[แบบนี้ไม่ได้ๆ ฉันจะโอนเงินให้คุณ]
[อ้อใช่เกือบลืม คุณเพิ่มไลน์ที่ฉันให้ไปหรือยัง]
เมื่อพูดถึงเรื่องเพิ่มชื่อไลน์นี้ ซ่งถานก็รู้สึกสิ้นหวัง "ผู้ช่วยเจินคะ ฉันเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ต้องการให้ใครมารบกวนจริงๆ ฉันก็เลยไม่อยากฝืนใจเขาแล้ว แต่ฉันรบกวนคุณถามให้ฉันสักคำได้ไหม ว่าอีกฝ่ายไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรจริงๆ ใช่ไหมจากอุบัติเหตุตอนนั้น"
เจินหลี่รู้สึกลังเลใจ แม้ว่าคนไข้จะบอกว่าต้องการให้เก็บเป็นความลับ แต่สภาพของคนไข้ความจริงคือไม่ค่อยดีนัก
คล้ายกับคนเป็นโรคซึมเศร้า กลายเป็นเอาแต่นอนเหม่อลอยจ้องมองแต่เพดานห้องพัก เขาไม่ค่อยยอมพูดคุยกับใคร ตรงกันข้ามกับญาติที่ต้องการจะสื่อสารอยากให้เขาพูดทั้งวี่ทั้งวัน...
ความต้องการของญาติก็สำคัญมากไม่แพ้กัน!
ไม่นาน เธอจึงตัดสินใจ :
[โดยรวมแล้วไม่ค่อยดีค่ะ ตอนนั้นหลังจากที่เขาพาคุณออกมา รถก็ระเบิด ถึงจะไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่เพราะเขาเอาตัวเองเข้าปกป้องคุณ ทำให้ร่างกายมีแผลไหม้เป็นบริเวณกว้าง ใบหน้าก็มีรอยแผลด้วยเหมือนกัน]
แต่ซ่งถานซึ่งถูกเขาปกป้องไว้จากด้านหลัง กลับไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ผู้ช่วยแพทย์เจินหลี่ยินดีที่จะเปิดเผยข้อมูล เนื่องจากการช่วยเหลือซ่งถานครั้งนี้ แลกมาด้วยค่าตอบแทนที่สูงเกินไป "ตอนนี้อีกฝ่ายคงอารมณ์ไม่ค่อยดี แม่ของเขาไม่ได้พูดอะไรมาก แค่ยินยอมให้ฉันให้ข้อมูลการติดต่อ"
ซ่งถานก็ตกใจเช่นกัน เธอคิดถึงการทำนายแบบโบราณที่สื่อสารผ่านผืนดินไปก่อนหน้านี้ ถ้าผลลัพธ์ครั้งนั้นไม่ได้ออกมาเละเทะลวกๆ และสามารถเชื่อถือได้จริง ป่านนี้เธอคงหาทางทำอะไรได้มากกว่านี้ ไม่ใช่ทำได้เพียงรอคอยคำตอบมาแรมเดือน
ไปให้เร็ว! เธอแบมือออก ความสามารถในปัจจุบันของเธอแม้จะยังไม่เพียงพอที่จะทำให้คนอื่นฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์ในเวลาอันสั้น แต่อย่างน้อยเธอน่าจะพอทำอะไรเพื่อช่วยเหลือผู้มีพระคุณได้บ้าง เนื่องจากยังไม่สามารถฝ่าด่านขั้นทองคำได้ จึงทำให้ความสามารถเธอยังมีข้อจำกัดอยู่
ดังนั้นภายในเร็วๆ นี้ เธอต้องรีบไปสถานีตำรวจหรือโรงพยาบาล หรือที่ไหนสักที่เพื่อจัดการทำอะไรสักอย่าง!
ตอนนี้จึงเป็นเวลาเหมาะสมแล้ว ที่หนี้บุญคุณอันใหญ่หลวง เธอจะต้องชดใช้ให้แก่เขา
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ซ่งถานก็ถอนหายใจ "แม่! ผักป่าคัดเอาของดีๆ เก็บไว้ให้หนูสักสิบกิโล หนูจะเอาไปให้คนรู้จัก ใส่ผักกาดขาวกับผักกาดหอมมาเยอะๆ เลย"
ที่เลือกเอาผักสองชนิดนี้เป็นพิเศษเนื่องจากสามารถห่อเกี๊ยวได้ สามารถเก็บไว้ได้นาน ที่สำคัญทุกคนล้วนชอบ
คิดดูอีกที ยังมีผู้ช่วยแพทย์เจินหลี่อยู่ จึงเสริมอีกว่า "เพิ่มอีกสิบกิโล หนูจะเอาแถมไปให้คนรู้จักอีกคนเหมือนกัน"
อู่หลานมองไปที่ผักหลายๆ ตะกร้า ถ้าจะให้หนึ่งบ้านก็ให้ไป หรือจะให้สิบบ้านก็ไม่มีปัญหา เมื่อลูกสาวไม่ได้วางแผนจะขายเป็นเงิน สำหรับเธอแล้วก็เป็นแค่ผักป่าที่เอาไว้กินเท่านั้น
แล้วก็พูดว่า "ได้สิ"
ซ่งถานพยักหน้า เธอยังไม่คิดที่จะเล่าเรื่องอุบัติเหตุรถยนต์ เพราะไม่เช่นนั้นหากเมื่อไหร่ที่แม่เธอรู้เรื่องเข้า วันไหนที่เธอเหยียบคันเร่งรถยนต์ออกจากหมู่บ้าน อู่หลานคงไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรนอกจากนั่งลุ้นจนตัวสั่นไปหมด
"หนูจะเอาไปให้เพื่อนร่วมงานเหรอ? "
ส่วนเรื่องเพื่อนร่วมงานหรือเพื่อนฝูง...เธอเรียนจบมานานแล้ว ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนตอนนี้ก็ไม่ได้ประทับใจหรือซาบซึ้งเสียเท่าไหร่ การทำงานก็ไม่ใช่ว่าไม่มีเพื่อนเลย จริงๆ หั่วเสวี่ยอิงก็ถือว่าเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดี
แต่......สาวคนนี้ก็เช่าเพียงห้องเล็กๆ อยู่ อาหารสามมื้อก็ซื้อกิน ที่บ้านแม้แต่หม้อต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยังไม่มี ผักสดใหม่นี้เอาไปให้ เธอก็ไม่สามารถทำกินได้หรอก
เอาเถอะ แต่ก่อนจะคิดเรื่องส่งผัก ต้องติดต่อผู้มีพระคุณให้ได้ก่อนไหมล่ะ!!!
ดังนั้นเธอจึงส่งคำขอเป็นเพื่อนในไลน์อีกครั้งและพิมแชทส่งไป :
[สวัสดีค่ะ ฉันคือซ่งถานที่คุณช่วยออกมาจากรถ]
มากกว่านี้ เธอก็ไม่รู้จะพิมอะไรแล้ว
โรงพยาบาลเหรินไห่ในเมืองหลวง
ลู่จิ่งมองลูกชายที่กำลังกินโจ๊กอย่างช้าๆ ด้วยความเป็นห่วง "หมอบอกว่าจะกินข้าวปกติได้เมื่อไหร่"
ลู่ชวนสีหน้าสงบ "พรุ่งนี้ก็ได้แล้ว แผลบนใบหน้าไม่มีอาการตึงแล้ว"
ลู่จิ่งถอนหายใจด้วยความโล่งใจ
จากนั้นก็นึกถึงข้อความที่ผู้ช่วยแพทย์เจินหลี่เพิ่งส่งมา อดไม่ได้ที่จะถามว่า "ครั้งก่อนสาวน้อยที่ลูกช่วยไว้พยายามขอวิธีการติดต่อลูกอยู่ตลอด บอกว่าเพิ่มเพื่อนแล้ว แต่ลูกไม่อนุมัติคำขอเป็นเพื่อนของเธอ"
ลู่ชวนส่ายหัว "แม่ครับ ผมกลัวว่าถ้าเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป เขาจะมาวุ่นวายอีก"
"เขา" ที่ว่านี้หมายถึงใคร ลู่จิ่งรู้ดี
ตอนนั้นไม่รู้ว่าเขาไปเห็นวิดีโอจากไหน บอกว่าลูกชายเหมือนคนที่อยู่ในข่าวว่าเป็นพลเมืองดี เกียรติยศแบบนี้พลาดไม่ได้ จึงรีบโทรเรียกนักข่าวและช่างภาพมาทันที
ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ ลู่ชวนจะจำเป็นต้องย้ายโรงพยาบาลมาเมืองหลวงตอนกลางคืนทำไม เขาไม่ได้อ่อนต่อโลกมนุษย์ขนาดนั้น ย่อมรู้ดีว่าการทำความดีคือสิ่งดีงาม ไม่จำเป็นต้องปิดบังแบบนี้ แต่เกียรติยศที่ได้รับมา เขาไม่อยากให้พ่อทางสายเลือดมาหยิบฉกฉวยด้วยแม้แต่น้อย
ลู่จิ่งก็เงียบไป
เมื่อ 28 ปีก่อน สมัยนั้นเธอท้องแก่ ถูกเมียน้อยตามราวีถึงบ้านมายันที่ทำงาน จากนั้นจึงตัดสินใจยอมหย่ากับโจวหย่งจื้อผู้เป็นสามี ตอนหย่าหน้าตาของผู้ชายคนนั้น ลู่จิ่งจำได้แม่นยำจนถึงตอนนี้
"เสี่ยวจิ่ง อย่าโทษผมเลย หมอดูบอกว่าคุณจะได้ลูกสาว บ้านไหนเขาไม่มีลูกชายให้สืบทอดวงศ์ตระกูลบ้างล่ะ แต่กับหลานหลาน แกบอกผมว่าลูกในท้องของเธออนาคตจะเป็นบุตรชายไว้สืบสกุลได้ ผมก็ต้องเลือกเธออยู่แล้วสิ"