บทที่ 105-106
[แปลโดยแฟนเพจ BamแปลNiyay มาติดตามในแฟนเพจเพื่อติดตามข่าวสารได้นะ]
[Thai-novel ลงไวกว่าที่อื่นทุกที่ 5 ตอน แต่จะราคาแพงที่สุด]
[คนอ่านแต่ละตอนไม่ถึง 10 คน ขอร้องอย่า copy ไปเลยนะ อันนี้แปลเพราะอยากแปลจริง ๆ ไม่งั้นทิ้งไปนานแล้ว ,เพราะไปทำงานอื่นได้เงินกว่าเยอะ ที่แปลเนี่ยได้วันละ 20 บาทเอง]
[หลังแปลจบจะมีการแก้ไขคำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง ถ้าอ่านแบบเถื่อนจะไม่มีการกลับมาแก้ให้นะครับ]
บทที่ 105 อำลาและจากไป (III)
ฉินซิวโม่จ้องมองเหมิงฉี
นางช่าง...
ฉินซิวโม่กระตุกยิ้มมุมปาก แววตาฉายแวบหนึ่งด้วยความอ่อนโยน "ไปเถอะ" เขากล่าวเสียงเรียบ "ข้ายังติดค้างเจ้าตั้งมากมายหลายหินวิญญาณ ควรเร่งทำงานชดใช้โดยไว มิเช่นนั้นข้าคงมิอาจวางใจได้"
เหมิงฉียักไหล่ แล้วขบคิดครู่หนึ่งก่อนจะเก็บถุงผ้าต่วนเข้าแหวนมิติ "แม้จำนวนจะมากมาย แต่ล้วนเป็นเพียงสมุนไพรชั้นเลว หาได้ทั่วไป ราคาถูกนัก"
"ไม่เป็นไร" ฉินซิวโม่ยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ "แม้เพียงน้อยนิด ก็ยังมีค่า เก็บไว้เถิด"
"ตกลง" เหมิงฉีไม่ปฏิเสธ สมุนไพรเหล่านี้ล้วนไร้ประโยชน์แก่ฉินซิวโม่
"พวกเจ้าจะไม่ไปกับพวกเราจริงๆ หรือ" ฉู่เทียนเฟิงทอดสายตามองเหมิงฉีและฉินซิวโม่
ข้าเสียใจ!
ข้าเสียใจจริงๆ!
เหตุใดเขาจึงไร้ซึ่งความละอาย ทำไมเขาถึงไม่แสร้งทำเป็นยากจน แล้วไม่ยอมชดใช้หนี้?!
"ไม่" เหมิงฉีส่ายหน้า "คุณชายฉู่ โปรดรักษาตัวด้วย" นางประสานมือคารวะฉู่เทียนเฟิง แล้วเดินจากไปเคียงข้างฉินซิวโม่
"ข้าจะไปหอตำรา" ผู้อาวุโสเหยียนหมิงเฟิงน่าจะกลับมาแล้ว เหมิงฉีต้องไปกล่าวอำลาท่านก่อนจาก
เหล่าศิษย์แห่งหุบเขาชิงเฟิงบางส่วนได้ทะยอยออกจากสำนัก ลงจากเขาไปแล้ว บ้างก็คิดติดตามวังสวรรค์เฟินเทียนไปยังเมืองเฟินเทียน บัดนี้กำลังชุมนุมกัน
ตลอดทางสู่หอตำรา เหมิงฉีและฉินซิวโม่ไม่พบเจอผู้ใดเลย สำนักที่เคยคึกคักกลับเงียบเหงาวังเวง
ภายนอกหอตำราเงียบสงัด ไร้เงาผู้คน เหมิงฉียืนสงบเบื้องหน้าประตู เอ่ยวาจาด้วยความเคารพ "ศิษย์เหมิงฉี ขอเข้าพบท่านผู้อาวุโสเหยียน เพื่อกราบลา"
"เข้ามาเถิด" เสียงทุ้มนุ่มและอ่อนโยนดังมาจากภายใน
เหมิงฉีส่งสายตาให้ฉินซิวโม่รออยู่ด้านนอก จากนั้นจึงผลักประตู แล้วก้าวเข้าไป
ผู้อาวุโสเหยียนหมิงเฟิงนั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้ ณ ชั้นแรกของหอตำรา ยังคงสวมอาภรณ์สีน้ำเงินเรียบง่ายเช่นเคย ดูราวกับไม่มีเรื่องใดผิดปกติเกิดขึ้นกับสำนักในช่วงเวลาสั้นๆ นี้
"ท่านผู้อาวุโสเหยียน" เหมิงฉีก้มศีรษะคารวะอย่างนอบน้อม "ศิษย์ผู้นี้กำลังจะออกจากหุบเขาชิงเฟิงแล้ว"
"ข้าทราบแล้ว" เหยียนหมิงเฟิงพยักหน้าช้าๆ "เช่นนั้นก็ดี" นิ่งไปครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยถามขึ้นอย่างไม่คาดฝัน
"เหมิงฉี หากพวกเขาไร้หินวิญญาณ ไร้สำนึกในบาปที่ก่อ ไร้ซึ่งความเชื่อใจ มีเพียงความเคลือบแคลงและจิตคิดร้าย ปฏิบัติต่อเจ้าประหนึ่งคนทรยศ... เจ้าจะยังยื่นมือช่วยเหลือ หรือปล่อยให้พวกเขาเผชิญจุดจบหรือไม่?"
เหมิงฉีถึงกับตกใจอย่างมาก
มิรอให้นางเอ่ยวาจา เหยียนหมิงเฟิงกล่าวซ้ำ "หากลู่ชิงหรันได้รับบาดเจ็บ เจ้าจะยื่นมือช่วยนางหรือไม่?"
นัยน์ตาเหยียนหมิงเฟิงเบิกกว้าง จ้องเขม็งไปยังเหมิงฉี ราวกับจะล้วงลึกเข้าไปในจิตใจ มิยอมให้นางมีเวลาไตร่ตรอง เขากระชากเสียง "ตอบมา!"
"หากข้าสามารถช่วยพวกเขาได้ ข้าก็จะช่วย" เหมิงฉีกล่าว
อาวุโสเหยียนยิ้มออกมาด้วยแววตาเป็นประกาย "เจ้าพอจะบอกวิธีรักษาเถาวัลย์กลืนวิญญาณแก่ข้าได้หรือไม่?"
"ได้เจ้าค่ะ" เหมิงฉีกล่าวพลางหยิบแผ่นไม้ไผ่ออกมาจากแหวนมิติ ยื่นส่งให้ท่านผู้อาวุโสเหยียนด้วยความเคารพ "ศิษย์ผู้นี้เสี่ยงชีวิต ใช้วิธีการที่หยาบกระด้างและโง่เขลาที่สุดในการรักษาเถาวัลย์กลืนวิญญาณ"
นางมิได้เอื้อนเอ่ยเท็จ เมื่อพบกับซูจุนโม่ในชาติก่อน เหมิงฉียังคงอยู่ในขั้นก่อสร้างรากฐานขั้นต้น จำนวนคาถาและวิชาที่นางใช้ได้มิได้ต่างจากปัจจุบันมากนัก ในหมู่ผู้บ่มเพาะวิชาแพทย์แห่งสามภพ นางยังคงเป็นเพียงมดปลวกตัวกระจ้อย
แท้จริงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นซูจุนโม่ ฉู่เทียนเฟิง หรือฉินซิวโม่ เหมิงฉีมิได้ใช้คาถาหรือโอสถวิเศษใดในการรักษา ในชาติก่อน แม้กระทั่งก่อนพบอาจารย์ นางก็เริ่มตระหนักได้รางๆ ว่าแท้จริงแล้วมิได้มีความแตกต่างอันใดระหว่างวิชาขั้นสูงและขั้นต่ำ อาการบาดเจ็บ พิษร้าย หรือโรคภัยไข้เจ็บ ล้วนแต่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน บางครั้งเมื่อพบเจอกับอาการบาดเจ็บหรือพิษที่ร้ายแรง ก็กลับพบว่าแท้จริงแล้วสามารถรักษาได้ด้วยวิชาพื้นฐานที่สุด
หลังจากเหมิงฉีเริ่มต้นชีวิตใหม่ ความเชื่อนี้ก็หยั่งรากลึกยิ่งขึ้น นั่นเป็นเหตุผลที่นางบ่มเพาะคาถาขั้นต่ำทั้งหมดที่นางรู้จนถึงขั้นสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้
"ตราบใดที่สามารถรักษาชีวิตผู้คนได้ ก็มิมีสิ่งใดที่เรียกว่าวิชาต่ำหรือไม่ต่ำ" เหยียนหมิงเฟิงรับแผ่นไม้ไผ่จากเหมิงฉีพลางโบกมือ แผ่นไม้ไผ่สามแผ่นลอยออกมาจากถุงเก็บของของเขาและค่อยๆ ร่อนลงสู่มือของเหมิงฉี เหยียนหมิงเฟิงกล่าว "นี่คือบันทึกทุกสิ่งที่ข้าได้พบเห็น ได้ยิน ได้คิด และได้รับตลอดการเดินทางในแดนบูรพา ข้าจะใช้มันเพื่อแลกเปลี่ยนกับวิธีรักษาเถาวัลย์กลืนวิญญาณของเจ้า" เขามองไปที่เหมิงฉีอีกครั้งและกล่าวว่า "ข้าก็ใกล้จะจากไปแล้ว หากมีวาสนาต่อกัน เราอาจได้พบกันอีก"
"ไปเถิด" กล่าวจบ เหยียนหมิงเฟิงก็หลับตาลงอีกครา กลับสู่สมาธิอันสงบนิ่ง ร่างกายของเขาเปี่ยมล้นด้วยปราณ การบ่มเพาะของเขาก้าวหน้าขึ้นอีกขั้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงการเข้าฌานครั้งล่าสุด
เหมิงฉีคารวะด้วยความเคารพเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะถือแผ่นไม้ไผ่ทั้งสามแผ่นหมุนกายจากไป นางก้มหน้าลงมองแผ่นไม้ไผ่ที่ยังคงอุ่นอยู่ในอุ้งมือ ส่งกระแสปราณเข้าไปภายใน
เนื้อหาในแผ่นไม้ไผ่หลั่งไหลเข้าสู่จิตใจของนางในพริบตา อาวุโสเหยียนหมิงเฟิงเดินทางท่องเที่ยวตลอดปี ช่วยชีวิตผู้คนนับไม่ถ้วน ความรู้ที่เขาสั่งสมระหว่างการเดินทางนั้นกว้างขวางยิ่งนัก แม้กระทั่งเหนือกว่าเหมิงฉีก่อนเกิดใหม่เสียอีก อาวุโสเหยียนกล่าวว่าแผ่นไม้ไผ่ทั้งสามแผ่นนี้ใช้เพื่อแลกเปลี่ยนกับวิธีรักษาเถาวัลย์กลืนวิญญาณของเหมิงฉี ทว่า เหมิงฉีเพียงอ่านไม่กี่บรรทัดก็ตระหนักได้ถึงคุณค่าอันล้ำลึกของแผ่นไม้ไผ่เหล่านี้ ผู้ใฝ่ฝันจะเป็นยอดฝีมือแห่งวิชาแพทย์ล้วนยินดีจ่ายไม่อั้นเพื่อให้ได้ครอบครองความรู้อันล้ำค่านี้
เหมิงฉีมิวายหันกลับไปมองหอตำรา ประตูบานนั้นปิดสนิทอีกครา ด้วยสถานการณ์อันยุ่งเหยิงของหุบเขาชิงเฟิง ย่อมไม่มีศิษย์ผู้ใดมีกะจิตกะใจจะมาเยือนที่แห่งนี้
"ไปกันเถอะ" ฉินซิวโม่ผู้รออยู่ด้านนอกเอ่ยเสียงแผ่ว "คนของวังสวรรค์เฟินเทียนเพิ่งจากไปเมื่อครู่นี้"
"ตกลง" เหมิงฉีพยักหน้าพลางเก็บแผ่นไม้ไผ่อย่างทะนุถนอม "ไปกันเถิด"
เหมิงฉีหมุนกายจากไปและเริ่มออกเดิน ครานี้ นางมิได้หยิบกระเรียนกระดาษออกมา แต่ค่อยๆ ย่างเท้าไปตามทางบนภูเขา ฉินซิวโม่เดินตามหลังอย่างเงียบเชียบ เมื่อทั้งสองมองเห็นเมืองชิงเฟิงอยู่ไกลๆ ในที่สุด เขาก็เอ่ยถาม "พวกเราจะไปที่ใดกัน?"
"ข้าจะไป..."
"เหมิงฉีฉี รอข้าก่อน!!"
ยังไม่ทันที่เหมิงฉีจะเอ่ยวาจาจบ เสียงของซูจุนโม่ก็ดังขึ้นจากด้านหลัง ฉินซิวโม่ขมวดคิ้ว เหมิงฉีก็หันกลับมาด้วยความประหลาดใจ ซูจุนโม่ผู้หายหน้าไปหลายวัน กำลังวิ่งตรงมายังพวกเขา "พวกเจ้าจะไปที่ใด?" เขารีบกล่าว "ข้าจะจ่ายหินวิญญาณ พาข้าไปด้วยได้หรือไม่!"
บทที่ 106 การประชุมผู้บ่มเพาะวิชาแพทย์ (I)
แดนเหนือสวรรค์ อันเป็นที่ตั้งของหอประมูลแดนเหนือสวรรค์ เซี่ยงหลินโม่นั่งอยู่หน้าโต๊ะ จ้องมองโอสถเม็ดชิงเฟิงสีน้ำเงินบนฝ่ามือของเขา เม็ดโอสถกลมเล็กๆ ดูน่าสมเพชราวกับก้อนกรวดริมทาง ไม่ใช่โอสถวิเศษล้ำค่าอันใด
"เฮ้อ..." เซี่ยงหลินโม่ถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะเก็บโอสถเม็ดนั้นกลับคืนสู่ขวดกระเบื้องใบเล็กอย่างระมัดระวัง
"นั่งเหม่อในห้องเพียงลำพัง ถอนใจราวกับคนไร้ใจ" เสียงหวานของหญิงสาวดังมาจากด้านนอก "หรือว่าคุณชายน้อยกำลังโศกเศร้าเพราะความรัก คิดถึงสาวงามผู้ใดอยู่หรือ?"
"อย่าได้หยอกล้อข้าเลย" เซี่ยงหลินโม่ยิ้มอย่างเจื่อน ๆ ก่อนจะหันไปมองทางประตู เสวี่ยจินเหวินกำลังยืนพิงประตูอย่างเกียจคร้าน รอยยิ้มเจ้าเสน่ห์ประดับอยู่บนใบหน้าเช่นเคย นางอยู่ในชุดอาภรณ์สีแดงเพลิง
"ข้าหรือจะคิดถึงสาวงามนางใด?" เขาถามพลางมองไปยังหญิงสาวตรงหน้า "แล้วเจ้ามาที่นี่ด้วยเหตุใด?"
"ทางครอบครัวส่งคนมาแจ้งข้าว่า การประชุมเหล่าผู้บ่มเพาะวิชาแพทย์จะจัดขึ้น ณ เมืองซิงหลัวแห่งแดนบูรพาในปีนี้ เจ้าจะไปร่วมด้วยหรือไม่?"
"หือ?" เซี่ยงหลินโม่เลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ "เมืองซิงหลัวรึ?" แม้ตัวเขาจะมิได้เป็นชาวแดนบูรพา แต่ชื่อนี้ก็ยังไม่คุ้นหู คงเป็นเมืองที่ตั้งของหอแดนเหนือสวรรค์ หนึ่งในสามสำนักใหญ่แห่งแดนบูรพาเป็นแน่แท้
"เหตุใดจึงต้องเป็นเมืองซิงหลัว?" เซี่ยงหลินโม่ขมวดคิ้วด้วยความฉงน "หอแดนเหนือสวรรค์เป็นถึงสำนักฝีกยุทธ์ดาบอันดับหนึ่งแห่งแดนบูรพา มิใช่หรือ?"
การประชุมเหล่าผู้บ่มเพาะวิชาแพทย์นั้น จัดขึ้นทุก ๆ สิบปี เริ่มต้นครั้งแรกเมื่อเจ็ดร้อยปีก่อน และสืบทอดต่อเนื่องมาหลายร้อยปีแล้ว การประชุมครั้งนี้ถือเป็นโอกาสอันดีที่เหล่าผู้บ่มเพาะวิชาแพทย์จากทั่วทุกสารทิศในสามภพจะได้มาพบปะ แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ อย่างไรก็ตาม วาระสำคัญที่สุดของการประชุมนี้คือการคัดเลือกสมาชิกของสมาพันธ์แห่งดวงดาว ซึ่งจะเป็นผู้มีหน้าที่ดูแลเหล่าผู้บ่มเพาะวิชาแพทย์ทั่วทั้งสี่อาณาจักรแห่งสามภพ
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีการจัดการประลองเพื่อเปิดโอกาสให้สำนักแพทย์หน้าใหม่ หรือเหล่าผู้บ่มเพาะวิชาแพทย์รุ่นเยาว์ได้แสดงฝีมือ สร้างชื่อเสียงให้เป็นที่ประจักษ์ นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสทองสำหรับผู้บ่มเพาะพเนจร หรือผู้มีความสามารถจากสำนักเล็ก ๆ อย่างเซี่ยงหลินโม่ หากสามารถทำผลงานได้ดี ก็อาจได้รับการคัดเลือกจากสำนักใหญ่ เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตไปตลอดกาล
เซี่ยงหลินโม่หมายมั่นปั้นมือกับโอกาสนี้ยิ่งนัก เขาเตรียมตัวสำหรับการประชุมนี้อย่างหนักมาตั้งแต่สามปีก่อน เพียงแต่ว่าโดยทั่วไปแล้ว การประชุมนี้มักจัดขึ้นโดยสำนักแพทย์ใหญ่แห่งสี่อาณาจักร การประชุมครั้งล่าสุดเมื่อสิบปีก่อนก็จัดโดยตระกูลเสวี่ยแห่งแดนบูรพา ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกับเสวี่ยจินเหวินผู้นี้นี่เอง
"ตำหนักซิงหลัวหรือ? ข้าเคยได้ยินกิตติศัพท์ว่าเป็นสถานที่แห่งความเที่ยงธรรมและยุติธรรม" เซียงหลินโม่ขมวดคิ้ว "แต่ที่นั่นเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์สำหรับผู้ฝึกฝนวิชาดาบ มิใช่หรือ? เหตุใดจึงเกี่ยวข้องกับพวกเราผู้บ่มเพาะวิชาแพทย์กันเล่า?" เขาเอ่ยถามเสวี่ยจินเหวินด้วยความฉงน
เสวี่ยจินเหวินเลิกคิ้ว ยิ้มพราว "การประชุมเหล่าบ่มเพาะวิชาแพทย์หาได้มีกฎตายตัวว่าต้องจัดที่สำนักแพทย์ไม่ เจ้ามิรู้หรือ?" นางเอียงศีรษะเล็กน้อย "ข้าได้ยินมาว่า...หัวหน้าตำหนักแดนเหนือสวรรค์คนใหม่ ชายหนุ่มผู้นั้น หลงรักสตรีผู้หนึ่งซึ่งเป็นผู้บ่มเพาะวิชาแพทย์ เพื่อให้สาวงามพอใจ จึงทุ่มเทสุดกำลังเพื่อให้ได้โอกาสนี้มา จุ๊ จุ๊..." เสวี่ยจินเหวินหัวเราะคิกคัก แววตาซ่อนความริษยาไว้เพียงน้อยนิด "ช่างน่าอิจฉา...เต็มใจทำทุกอย่างเพื่อคนรัก ช่างเป็นบุรุษที่กล้าหาญ ใจกว้าง และอ่อนโยน...ข้าชอบใจยิ่งนัก"
เซียงหลินโม่ "..."
"เจ้าลังเลสิ่งใดอยู่?" เสวี่ยจินเหวินเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม "หรือเพราะการประชุมจัดขึ้นที่เมืองซิงหลัว เจ้าจึงไม่อยากไปแล้ว?" นางเว้นวรรคเล็กน้อย ก่อนกล่าวต่อ "ข้าได้ยินว่าเจ้ากำลังจะออกเดินทางไปยังแดนบูรพา มิใช่หรือ? บัดนี้การประชุมก็จัดขึ้นที่แดนบูรพาเช่นกัน มิใช่ว่าเหมาะเจาะยิ่งนักหรือ?"
"ถูกต้องแล้ว" เซี่ยงหลินโม่พยักหน้า ลุกขึ้นประสานมือคำนับเสวี่ยจินเหวิน "ขอบพระคุณท่านพี่เสวี่ย ข้าต้องรีบไปเตรียมตัวออกเดินทางไปแดนบูรพาเสียแล้ว" เขาเอ่ยถามอย่างลังเล "ท่านพี่...จะไปด้วยกันหรือไม่?"
"แน่นอน" เสวี่ยจินเหวินพยักหน้าพลางหันไปทอดสายตาไกลโพ้น จากจุดที่ยืนอยู่ บรรดาศิษย์สำนักใหญ่ที่ยังคงหมอบซุ่มจับ ‘เหมิงฉี’ อยู่นอกหอประมูลแดนเหนือสวรรค์นั้นไม่อาจอยู่ในสายตาของนางได้เลย
เสวี่ยจินเหวินยิ้มอีกครั้ง "เจ้าคิดว่าเหมิงฉีจะไปด้วยไหม?"
เซี่ยงหลินโม่หัวเราะอย่างขมขื่น "ข้าจะรู้ได้อย่างไร? ช่วงนี้ที่นี่วุ่นวายนัก ได้ยินว่าผู้คนต่างหาข้ออ้างร้อยแปดพันเก้ามาตามหาเจ้า หวังเพียงว่าเจ้าจะรู้เรื่องราวของเหมิงฉีบ้าง"
"คิดว่าข้าจะรู้อะไรได้กัน?" รอยยิ้มของเสวี่ยจินเหวินยิ่งสดใสขึ้น "ข้ายังไม่รู้เลยว่าใบหน้าน่ารักและบอบบางนั้นเป็นการปลอมตัวหรือนั่นคือรูปลักษณ์ที่แท้จริงของนาง นางดูเหมือนจะอายุสิบเจ็ดหรือสิบแปดปี ถ้าอายุของนางเป็นเรื่องจริง ข้าก็ไม่รู้ว่าสำนักลับแบบไหนถึงจะสามารถบ่มเพาะอัจฉริยะที่อายุน้อยและมีความสามารถเช่นนี้ได้"
"เช่นนั้นจากคำพูดของเจ้า เหมิงฉีอาจจะไม่เข้าร่วมการประชุมผู้บ่มเพาะวิชาการแพทย์สินะ" เซียงหลินโม่รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย "อยากรู้เหลือเกินว่านางจะมาเยี่ยมแดนเหนือสวรรค์อีกหรือไม่"
"นางจะกลับมาแน่" เสวี่ยจินเหวินกล่าวอย่างมั่นใจ "ครั้งล่าสุดที่นางมาเอ่ยถามข้าเรื่องตัวโอสถและวิธีสั่งซื้อ ข้าคาดว่า..." นางหรี่ตาลงเล็กน้อย "เด็กน้อยผู้นั้นคงเป็นศิษย์เอกที่ถูกส่งออกมาจากสำนักเพื่อฝึกฝนโลกภายนอก ด้วยเหตุนี้ พวกผู้อาวุโสจึงจงใจให้นางมีเงินติดตัวเพียงน้อยนิด นั่นคงเป็น..."