ตอนที่ 21 คนเช่นเจ้าไม่คู่ควรให้ข้าชักดาบ
ตอนที่ 21 คนเช่นเจ้าไม่คู่ควรให้ข้าชักดาบ
“แม้แต่บุคคลอย่างจักรพรรดิโบราณ หากสืบทอดสายเลือดไร้ค่าก็จะเป็นเพียงคนธรรมดา สำนักเมฆาขจีของพวกเจ้ากล้ารับศิษย์สายเลือดไร้ค่า ข้ายอมรับจริงๆ!”
เซี่ยกวงพูดพลางยกนิ้วโป้งขึ้น
ผู้อาวุโสใหญ่แอบสบถในใจ พวกเขาเพิ่งมาถึงสำนักเมฆาขจีก็เริ่มดูถูกแล้ว แต่ตัวเองเป็นเจ้าภาพก็ไม่อาจฉีกหน้าแขกเหรื่อได้ ยังคงต้องยิ้มต้อนรับ
“แต่มีคำกล่าวที่ว่าไม่มีสายเลือดไร้ค่า มีแต่คนไร้ค่า เดี๋ยวข้าจะรอดูว่าเจ้าเด็กนี่มีฝีมือแค่ไหน!”
เซี่ยกวงยิ้ม จากนั้นก็ชี้ไปที่สามคนที่อยู่ข้าง ๆ และแนะนำว่า “ผู้อาวุโสเมิ่ง ทั้งสามคนนี้คือศิษย์ที่สำนักราชวงศ์ของเราได้รับเข้ามาในปีนี้ จู่เฟยหยาง นาหลันซิน และหลี่จิ้ง!”
ทั้งสามคนก้าวไปข้างหน้าพร้อมกัน โค้งคำนับเล็กน้อย และพูดพร้อมกันว่า “ศิษย์คารวะ ผู้อาวุโสใหญ่แห่งสำนักเมฆาขจี!”
ผู้อาวุโสใหญ่สำรวจทั้งสามคน พบว่าพลังของทั้งสามคนไม่ธรรมดา โดยเฉพาะหลี่จิ้งที่อ่อนแอที่สุด เขาสัมผัสได้ว่าพลังของนางไม่ด้อยไปกว่าจ้าวอี้ที่แข็งแกร่งที่สุด
ไม่เพียงแต่ผู้อาวุโสใหญ่เท่านั้น สีหน้าของผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ก็ดูไม่ดีเช่นกัน
“ในช่วงไม่กี่ปีมานี้สำนักราชวงศ์ผลิตผู้ฝึกยุทธ์ที่มีความสามารถจริง ๆ!”
ผู้อาวุโสใหญ่พูดอย่างสุภาพ จากนั้นก็ชี้ไปที่ศิษย์ทั้งสามคนและกล่าวว่า “ผู้อาวุโสเซี่ย ศิษย์ทั้งสามคนนี้คือ จ้าวอี้ หยางหรง และลู่เหริน พวกเขาจะเป็นคู่ต่อสู้ในการประลองกับศิษย์สามคนของพวกท่าน!”
เซี่ยกวงมองไปที่ทั้งสามคนอย่างรวดเร็ว มีร่องรอยของการดูถูกเหยียดหยามบนใบหน้า จากนั้นก็พูดว่า “อย่ารอช้า เริ่มการประลองกันเถอะ!”
ทันใดนั้นก็มีผู้อาวุโสคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนเวที ประกาศเสียงดังว่า “การประลองแลกเปลี่ยนเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ ตามกฎเก่าจะเป็นการต่อสู้แบบตัวต่อตัว หากฝ่ายใดชนะทั้งสามจะถือว่าเป็นฝ่ายชนะ หากไม่สามารถชนะทั้งสามได้ ผู้ชนะจะเข้าสู่รอบที่สองของการต่อสู้แบบตัวต่อตัว ในท้ายที่สุดผู้ที่ชนะจะได้รับชัยชนะ ตอนนี้ขอเชิญทั้งสองฝ่ายส่งศิษย์ขึ้นเวที!”
หลังจากพูดจบ ผู้อาวุโสที่รับผิดชอบการดำเนินรายการก็ถอยไปด้านข้าง
“หลี่จิ้ง เจ้าขึ้นไปก่อน!”
หลี่จิ้งสวมกระโปรงสีเขียวกระโดดขึ้นไปบนเวที ในไม่กี่ก้าวนางหันมองลู่เหริน ทั้งสามคน และพูดอย่างแผ่วเบาว่า “หลี่จิ้งศิษย์ระดับเริ่มต้นของสำนักราชวงศ์ สายเลือดระดับห้า เปิดช่องจิตหกจุด ใครในพวกเจ้าจะต่อสู้กับข้าก่อน?”
“ลู่เหริน เจ้าขึ้นไปก่อน!”
อวิ๋นชิงเหยากล่าว
หลี่จิ้งนี้น่าจะเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดในสามคน ลู่เหรินน่าจะมีโอกาสลงมือเมื่อเจอกับนาง
“ขอรับ!”
ลู่เหรินพยักหน้ากระโดดขึ้นไป หยุดอยู่ตรงข้ามหลี่จิ้งในระยะหนึ่งจั้ง
เมื่อทุกคนเห็นลู่เหรินขึ้นเวที ใบหน้าของพวกเขาก็แสดงออกถึงความประหลาดใจ
“สำนักคิดอะไรอยู่? ให้ลู่เหรินขึ้นเวทีประลองจริง ๆ หรือ? หลี่จิ้งนั่นเป็นถึงสายเลือดระดับห้า เปิดช่องจิตถึงหกจุดนะ!”
“สำนักแค่อยากให้ลู่เหรินแสดงวิชาดาบ การแพ้ชนะไม่สำคัญหรอก!”
ศิษย์หลายคนต่างกระซิบกระซาบกัน
“อะไรคือการแพ้ชนะไม่สำคัญ? ทัศนคติของพวกเจ้าแคบเกินไปแล้ว!”
ท่ามกลางฝูงชน จู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
ทุกคนมองไปตามเสียง ปรากฏว่าเป็นหวังเถิงหนึ่งในสองคนที่ไร้ค่าแห่งระดับเริ่มต้น
“หวังเถิง เจ้าหมายความว่ายังไง?”
ศิษย์เก่าระดับเริ่มต้น หลายคนต่างแสดงความไม่เข้าใจ
หวังเถิงยิ้มและพูดว่า “พวกเจ้าเชื่อหรือไม่ว่าลู่เหรินสามารถเอาชนะหลี่จิ้งได้?”
“อะไรนะ? สามารถเอาชนะหลี่จิ้งได้? เจ้าล้อเล่นอะไร? เขาเป็นศิษย์ที่ไร้ค่ากว่าเจ้าอีก เปิดช่องจิตได้หนึ่งจุด ฝึกวิทยายุทธไม่สำเร็จจะเอาชนะหลี่จิ้งได้ยังไง?”
ศิษย์คนหนึ่งมีสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ ศิษย์ที่อยู่ข้าง ๆ เขาก็พยักหน้าเห็นด้วย
การเปิดช่องจิตหนึ่งจุด สามารถใช้พลังได้เพียงหนึ่งพันชั่ง ในขณะที่การเปิดช่องจิต หกจุดสามารถใช้พลังได้ถึงหกพันชั่ง
พลังหนึ่งสามารถทำลายทุกสิ่ง ต่อหน้าความแตกต่างของพลังอย่างมาก แม้ลู่เหริน จะฝึกฝนวิทยายุทธที่แข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่มีโอกาสชนะ
“พวกเจ้าโง่หรือเปล่า การประลองแลกเปลี่ยนของศิษย์ระดับเริ่มต้น เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของสำนัก สำนักจะส่งศิษย์ที่เปิดช่องจิตได้หนึ่งจุดไปสู้กับอีกฝ่ายได้ยังไง?”
หวังเถิงส่ายหัวและพูดว่า “ข้าบอกแล้วว่าทัศนคติของพวกเจ้าแคบเกินไป ที่สำนักบอกว่าให้ลู่เหรินแสดงวิชาดาบก็เพียงจงใจพูดแบบนั้นต่อคนภายนอก!”
“หวังเถิง เจ้ามั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอว่าลู่เหรินจะชนะหลี่จิ้งได้?”
ศิษย์คนหนึ่งถาม
หวังเถิงกอดอก พูดอย่างมั่นใจว่า “งั้นเรามาพนันกันดีหรือไม่? ข้าเป็นเจ้ามือ หนึ่งแสนเหรียญทองแดง พวกเจ้าหลายคนรวมกันวางเดิมพันหนึ่งแสน ถ้าลู่เหรินชนะ พวกเจ้าก็เอาหนึ่งแสนเหรียญทองแดงไป ถ้าหลี่จิ้งแพ้ พวกเจ้าก็ให้ข้าหนึ่งแสน!”
“พี่หวังเถิง นี่เจ้าเป็นเทพเจ้าแห่งการแจกเงินจริง ๆ ข้าขอลงห้าหมื่น!”
“เจ้าวางเดิมพันเยอะขนาดนั้นทำไม? ไม่ให้พวกเราได้ซดน้ำซุปบ้างเลยเหรอ? คนละหนึ่งหมื่นเหรียญทองแดงก็พอแล้ว!”
...
ฉินอวี้ที่อยู่ข้าง ๆ มองลู่เหรินด้วยความคาดหวัง
มีเพียงพวกเขาไม่กี่คนที่รู้ว่าลู่เหรินแข็งแกร่งแค่ไหน นักสู้ที่เปิดช่องจิตได้หกจุดไม่มีทางเป็นคู่มือของลู่เหรินได้
บนเวทีประลอง!
ลู่เหรินคารวะหลี่จิ้งและพูดว่า “ศิษย์ระดับเริ่มต้นแห่งสำนักเมฆาขจี ลู่เหริน สายเลือดไร้ค่า ขอคำชี้แนะ!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของหลี่จิ้งก็ดูไม่ดีนัก ไม่คิดว่าลู่เหรินจะเป็นคนแรกที่ขึ้นเวที
สำหรับนางแล้ว นี่เป็นเรื่องน่าอับอายอย่างแน่นอน
นางก็เป็นหนึ่งในศิษย์ระดับเริ่มต้นที่โดดเด่นของสำนักราชวงศ์ ความแข็งแกร่งอยู่ในสามอันดับแรก แต่สำนักเมฆาขจีกลับส่งคนที่มีสายเลือดไร้ค่ามาประลองกับนาง
“ลู่เหริน เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดในสามคนเลยขึ้นเวทีมาใช่หรือไม่? ได้ยินมาว่าอาจารย์ของเจ้าสอนวิชาดาบให้เจ้า ข้าจะบอกให้เจ้ารู้ว่าเจ้าไม่มีแม้แต่โอกาสชักดาบ!”
หลี่จิ้งจะไม่มีทางให้ลู่เหรินมีโอกาสชักดาบ ยิ่งไปกว่านั้นคนที่มีสายเลือดไร้ค่าที่โชคดี เปิดช่องจิตได้หนึ่งจุดกลับต้องการประลองกับนาง นี่เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้
ลู่เหรินกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “อาจารย์บอกให้ข้าขึ้นมา ในฐานะศิษย์ข้าต้องเชื่อฟังคำสั่งของอาจารย์!”
“งั้นข้าจะให้เจ้ารู้ถึงผลที่ตามมาจากการประลองกับข้า!”
ดวงตาของหลี่จิ้งเต็มไปด้วยความโกรธ ร่างเล็ก ๆ ของนางกระโจนออกไปราวกับพยัคห์ นางมาถึงด้านหลังของลู่เหรินในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ
“ฝ่ามือเคลื่อนภูผา!”
ฝ่ามือหนึ่งผลักออกไปราวกับภูเขา พลังที่น่าสะพรึงกลัวบีบอากาศให้หนาแน่น พุ่งเข้าใส่หลังของลู่เหรินอย่างรุนแรง
“ไม่ดีแล้ว!”
เมื่ออวิ๋นชิงเหยาเห็นภาพนี้ สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
หลี่จิ้งนี้ใช้ทั้งพยัคฆ์ก้าวพริบตาระดับมนุษย์ขั้นกลาง และฝ่ามือเคลื่อนภูผาระดับมนุษย์ขั้นสูง แถมยังฝึกฝนถึงระดับสูง ไม่ต้องพูดถึงลู่เหริน ต่อให้เป็นนักสู้คนอื่นที่เปิดช่องจิตได้หกจุดก็ยากที่จะรับมือกับการโจมตีครั้งนี้ได้
“ไปตายซะ!”
หลี่จิ้งตะโกนเสียงแหลม ฝ่ามือฟาดลงไปอย่างรุนแรง
แต่ทว่าเมื่อฝ่ามือของนางกระแทกเข้าที่หลังของ ลู่เหรินกลับทะลุผ่านไปกลายเป็นภาพติดตา
“อะไร?”
สีหน้าของหลี่จิ้งเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว นางเห็นร่างของลู่เหรินกระโดดไปมาบนเวทีต่อสู้อย่างต่อเนื่อง ราวกับแมวป่าที่ว่องไว ในพริบตาถัดมาก็ปรากฏตัวต่อหน้านาง
“หมัดพยัคฆ์คำราม!”
ลู่เหรินปรากฏตัวต่อหน้าหลี่จิ้ง หมัดหนึ่งราวกับเสือดุจู่โจม พุ่งเข้าใส่ใบหน้าของหลี่จิ้ง
หลี่จิ้งไม่ทันตั้งตัว เอาแขนไขว้กันป้องกันหน้าอกปะทะกับหมัดของลู่เหริน
ปั่ก!
หลี่จิ้งรู้สึกได้ถึงพลังอันมหาศาลที่เข้าโจมตีทั่วร่าง นางถูกกระแทกจนลอยออกไปโดยไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ อาเจียนเป็นเลือดกลางอากาศ และสุดท้ายก็ล้มลงบนพื้นเวทีอย่างหนัก
ลู่เหรินเดินเข้าไปหาพร้อมจ้องมองหลี่จิ้งและพูดว่า “เจ้ายังไม่คู่ควรให้ข้าชักดาบด้วยซ้ำ!!!”