ตอนที่ 20 การประชุมร่วมสำนัก
ตอนที่ 20 การประชุมร่วมสำนัก
ลู่เหรินฟังจบก็ตกตะลึง จากนั้นก็ถามด้วยความสงสัย “ทำไมข้าต้องยกเลิกความสัมพันธ์อาจารย์ศิษย์ด้วย?”
จ้าวอี้ส่ายหัวยกยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าไม่เข้าใจจริง ๆ หรือแกล้งไม่เข้าใจ? ท่านหญิงศักดิ์สิทธิ์เป็นถึงท่านหญิงศักดิ์สิทธิ์แห่งแคว้นหาญเมฆา มีบรรดาผู้มีพรสวรรค์มากมายที่หมายปองนาง ถ้าเจ้าเป็นอัจฉริยะก็ว่าไปอย่าง แต่นี่เจ้ามีสายเลือดขยะ ยังหน้าด้านไปอยู่ใกล้ท่านหญิงศักดิ์สิทธิ์ มันไม่มีประโยชน์อะไรกับเจ้าเลย!”
“เจ้าอยากตามจีบอาจารย์ข้าหรือ?”
ลู่เหรินถามกลับ
จ้าวอี้หน้าเหวอตอบว่า “แน่นอนว่าไม่ ข้ารู้ตัวเองดี!”
ถึงแม้ว่าเขาจะถือว่าตัวเองไม่ธรรมดา แต่ก็ยังมีความแตกต่างอย่างมากกับอวิ๋นชิงเหยา ไม่ว่าจะเป็นฐานะหรือพลังก็เรียกได้ว่าอยู่คนละโลก
ในบรรดารุ่นเยาว์ของแคว้นหาญเมฆาทั้งหมด มีเพียงสามคนเท่านั้นที่มีคุณสมบัติพอจะตามจีบอวิ๋นชิงเหยาได้!
“เจ้าไม่ได้ตามจีบอาจารย์ข้า เช่นนั้นเรื่องของข้ากับอาจารย์ไม่เกี่ยวกับเจ้า แล้วสายเลือดขยะแล้วไง? ข้าเป็นคนแรกที่เข้าสำนักเป็นคนแรกที่เปิดช่องจิตได้!”
ลู่เหรินพูดเยาะเย้ย
จ้าวอี้อ้าปากค้างไม่รู้จะพูดอะไร นี่มันไม่เหมือนกับที่เขาคิดไว้เลย
เดิมทีคิดว่าลู่เหรินจะรู้จักถอย แต่ไม่คิดว่าลู่เหรินจะเอาเรื่องที่เขาเป็นคนแรกที่เข้าสำนักและเป็นคนแรกที่เปิดช่องจิตได้มาตอบโต้ทำให้เขาตั้งตัวไม่ทัน!
สองเรื่องนี้ มันน่าภูมิใจตรงไหน?
จ้าวอี้หายใจเข้าลึก ๆ พูดด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง “ลู่เหริน ถ้าไม่ใช่ท่านหญิงศักดิ์สิทธิ์รับเจ้าเป็นศิษย์ เจ้าที่มีสายเลือดขยะคงไม่มีสิทธิ์เข้าสำนักเมฆขจี ยิ่งไม่มีสิทธิ์มายืนอยู่ตรงหน้าข้า!”
ลู่เหรินอดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะ จ้าวอี้นี่หาเรื่องใส่ตัวชัด ๆ เขาไม่ได้เป็นญาติหรือเพื่อนกับจ้าวอี้ เขาจะทำอะไรมันเกี่ยวอะไรกับจ้าวอี้?
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมท่านย่าของข้าถึงอายุยืนถึงร้อยสามปี?”
ลู่เหรินพูดขึ้นมาลอย ๆ
“หืม?”
จ้าวอี้เงียบด้วยความสับสน
“เพราะท่านไม่เคยยุ่งเรื่องของคนอื่น!”
ลู่เหรินพูดเสียงเย็น
“เจ้า!”
จ้าวอี้พยายามระงับความโกรธ ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่สถานะของลู่เหริน ต่อให้เป็นในสำนัก เขาก็อยากจะสั่งสอนลู่เหรินสักหน่อย
ลู่เหรินยิ้มแล้วพูดว่า “เรื่องของข้ากับอาจารย์ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง พรุ่งนี้ก็เป็นงานประลองของศิษย์ใหม่แล้ว เจ้าก็เตรียมตัวให้ดีเพื่อไปแข่งขันเพื่อสำนัก ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าไปก่อน!”
พูดจบลู่เหรินหันหลังเดินออกจากโรงอาหาร
จ้าวอี้หน้าแดงก่ำ โกรธจนตัวสั่น
ในสายตาของเขา ลู่เหรินก็แค่พึ่งพาอวิ๋นชิงเหยาถึงได้กล้าทำตัวอวดดี
ถ้าไม่ได้เป็นศิษย์ของอวิ๋นชิงเหยา ลู่เหรินที่มีสายเลือดขยะคงจะหายไปในฝูงชน ไม่มีทางได้ผงาดขึ้นมา
“ศิษย์พี่จ้าวอี้ เจ้าลู่เหรินนี่ไม่รู้จักบุญคุณคนอื่นเลย ท่านหวังดีเตือนเขา เขากลับไม่เห็นค่า!”
เด็กสาวที่อยู่ด้านหลังพูดอย่างหัวเสีย
จ้าวอี้แค่นเสียงเย็น “ก็แค่หมาที่เห่าเพราะมีเจ้าของคอยหนุนหลัง!”
“ศิษย์พี่จ้าวอี้การประลองครั้งนี้ คงต้องพึ่งท่านกับอัจฉริยะสายเลือดขั้นหกคนนั้นแล้วล่ะ!”
คนที่พูดเป็นเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่ง เขานับถือจ้าวอี้มากจึงพูดประจบประแจง
จ้าวอี้พูดอย่างภาคภูมิใจ “ตอนที่ข้ายังไม่ได้เปิดช่องจิต ข้าก็ได้เดินทางไปทั่วหล้ากับท่านพ่อ ไปที่หุบเขาเร้นลับในแคว้นหาญเมฆา ไปที่ทะเลมังกรดำ ข้าเห็นท่านพ่อต่อสู้กับมังกรเกล็ดเขียวด้วยตาตัวเอง ตอนที่อันตรายที่สุด ข้ากับท่านพ่ออดข้าวอดน้ำสามวันสามคืนเพื่อซุ่มโจมตีหมาป่าเขี้ยวเลือด อัจฉริยะสายเลือดขั้นหกคนนั้นจะเอาอะไรมาเทียบกับข้า?”
“ถึงแม้ว่าสายเลือดของข้าจะด้อยกว่าเขา และเปิดช่องจิตได้น้อยกว่าเขาหนึ่งช่อง แต่เขาก็เป็นแค่ดอกไม้ในเรือนกระจก เมื่อเทียบกับข้าที่เคยฆ่าคนมาแล้วสามคน แถมยังเคยตัดเขาของมังกรเกล็ดเขียวด้วยมือตัวเอง เขาก็ไม่มีทางแสดงพลังที่แท้จริงออกมาได้มากนัก”
ฟังคำพูดของจ้าวอี้ ทั้งสองคนก็มองเขาด้วยความชื่นชม
จ้าวอี้เป็นคนที่ผ่านความเป็นความตายมาอย่างแท้จริง และเขาอาจจะสามารถเอาชนะอัจฉริยะจากสำนักราชวงศ์ได้
...
เมื่อแสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องทะลุเมฆลงมาทั่วทั้งสำนักเมฆขจี เหล่าศิษย์ของสำนักเมฆขจีก็คึกคักขึ้นมา
ถึงแม้ว่าในการประลองหลายปีมานี้ สำนักเมฆขจีจะแพ้ตลอดแต่ก็หยุดความอยากรู้อยากเห็นของพวกเขาไม่ได้ พวกเขาอยากจะเห็นอัจฉริยะสายเลือดขั้นหกของสำนักราชวงศ์
เวลานี้ลานกว้างหน้าวิหารยุทธ์ได้ถูกสร้างเป็นเวทีขนาดใหญ่ รอบ ๆ เวทีเต็มไปด้วยผู้คน คึกคักเป็นพิเศษ
ศิษย์ภายในและภายนอกเกือบทั้งหมดมาที่นี่ เพื่อชมการประลองของเหล่าศิษย์ใหม่ว่ามีฝีมือระดับไหน!
เมื่อลู่เหรินสะพายดาบไฟวิญญาณมาถึงลานกว้าง ลานกว้างก็เต็มไปด้วยผู้คนแล้ว บนท้องฟ้ามีเสียงแหวกอากาศดังขึ้นเป็นระยะ ๆ ร่างต่าง ๆ ร่อนลงมาเหมือนฝูงตั๊กแตน
บรรยากาศคึกคักจนทะลุฟ้า!
“ไม่นึกเลยว่าการประลองของศิษย์ใหม่ จะดึงดูดคนได้มากมายขนาดนี้!”
ลู่เหรินแอบตกใจ
เขาเพิ่งเคยเห็นภาพแบบนี้เป็นครั้งแรก
“ลู่เหริน มาหาอาจารย์ทางนี้!”
ทันใดนั้นเสียงของอวิ๋นชิงเหยาก็พูดขึ้น
ลู่เหรินมองไปตามเสียงก็เห็นอวิ๋นชิงเหยานั่งอยู่บนที่นั่งพิเศษสูง ๆ ด้านข้างยังมีผู้อาวุโสอีกหลายคนนั่งอยู่
มีศิษย์อีกสองคน ชายหนึ่งหญิงหนึ่งยืนอยู่บนที่นั่ง
คนทั้งสองนี้คือจ้าวอี้และหยางหรง ศิษย์ใหม่ที่มีพรสวรรค์สูงที่สุดสองคน
เมื่อจ้าวอี้เห็นลู่เหรินเดินขึ้นบันไดมาก็พูดประชดประชันว่า “อ้าว พวกขยะสามตัวแห่งศิษย์ใหม่มาแล้วนี่”
อวิ๋นชิงเหยาพูดเสียงเข้ม “จ้าวอี้อย่ามาดูถูกศิษย์ของข้า!”
“ท่านอาจารย์อวิ๋น นี่ไม่ใช่ข้าพูดนะ เขาไปฝึกฝนกับพวกไร้ค่าแห่งศิษย์ใหม่อีกสองคนในทีมของศิษย์พี่ฉินอวี้ถึงได้ถูกศิษย์พี่คนอื่น ๆ เรียกว่าขยะสามตัวแห่งศิษย์ใหม่!”
จ้าวอี้หัวเราะ
“ท่านอาจารย์ ขยะสามตัวก็ขยะสามตัวเถอะ ข้าก็มีสายเลือดขยะอยู่แล้ว!”
ลู่เหรินไม่ใส่ใจเลย
แต่อวิ๋นชิงเหยาเหลือบมองจ้าวอี้ด้วยหางตาพูดเสียงเย็นว่า “จ้าวอี้ รีบขอโทษศิษย์ของข้าเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นอย่าหาว่าข้าโหดร้าย!”
สีหน้าของจ้าวอี้ดูแย่มาก เขาจำใจพูดกับลู่เหรินว่า “ศิษย์น้องลู่เหริน เมื่อครู่ข้าผิดไป ขอศิษย์น้องโปรดอภัยให้ข้าด้วย!”
“เฮอะ ไม่เป็นไร!”
ลู่เหรินเห็นท่าทางของจ้าวอี้ก็รู้สึกสะใจ
มีอาจารย์คอยปกป้องนี่มันดีจริง ๆ!
“ลู่เหริน ไปคารวะเหล่าผู้อาวุโสเถอะ!”
อวิ๋นชิงเหยาพูด
“ขอรับ!”
ลู่เหรินเดินไปหน้าเหล่าผู้อาวุโสโค้งคำนับแล้วพูดว่า “ศิษย์ลู่เหริน ขอคารวะท่านผู้อาวุโสทุกท่าน!”
ผู้อาวุโสใหญ่ลูบเคราเห็นลู่เหรินสะพายดาบไฟวิญญาณ ดวงตาขุ่นมัวก็เป็นประกาย “ลู่เหริน เจ้าฝึกเคล็ดดาบท้องฟ้าของท่านอาจารย์อวิ๋นสำเร็จแล้วหรือ?”
ลู่เหรินพยักหน้า “ใช่แล้ว อาจารย์สอนข้าอย่างตั้งใจ ข้าฝึกได้สองกระบวนท่าแล้ว!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ดีมาก!”
ผู้อาวุโสใหญ่หัวเราะเสียงดัง สามารถฝึกได้สองกระบวนท่าก็เพียงพอแล้ว
อวิ๋นชิงเหยาทำหน้าลำบากใจ ไม่นึกเลยว่าศิษย์ของนางจะคุยโม้เก่งขนาดนี้ ทั้งที่ความจริงแค่ฝึกวิชาดาบพื้นฐานได้เท่านั้น…
แต่มาถึงตอนนี้ ก็ไม่สำคัญแล้ว
แค่ศิษย์ของนางแค่ขึ้นไปท้าประลองก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว
ไม่นานฝูงชนก็เริ่มส่งเสียงดัง เห็นผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนักเมฆขจี นำชายชราและเด็กหนุ่มสาวสามคนเข้ามา
ชายชรามีผมและหนวดเคราสีทองยาวรุงรัง เหมือนสิงโต
เด็กหนุ่มสาวสามคนที่อยู่ด้านหลังชายชรา หนึ่งชายสองหญิง อายุประมาณสิบเจ็ดปี เด็กหนุ่มมีใบหน้าหล่อเหลา รูปร่างผอมบาง สะพายดาบยาว บนร่างมีกลิ่นอายแห่งความเฉียบคม
ด้านซ้ายของเด็กหนุ่มรูปงามเป็นเด็กสาวที่ดูทะมัดทะแมง สวมชุดฝึกสีดำ เด็กสาวทางด้านขวามีใบหน้างดงาม สวมชุดยาวสีเขียว มีท่าทางหยิ่งทะนง
“ท่านผู้อาวุโสเซี่ย ไม่ได้เจอกันตั้งหนึ่งปี สบายดีหรือไม่เล่า!”
ผู้อาวุโสใหญ่ลุกขึ้นยิ้มต้อนรับ
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
ผู้อาวุโสเซี่ยหัวเราะเสียงดังแล้วพูดว่า “ท่านผู้อาวุโสเมิ่ง… ข้าได้ยินมาว่าสำนักเมฆขจีของพวกท่านรับเด็กที่มีสายเลือดขยะเข้ามาเป็นศิษย์ใหม่แถมยังจะให้เขาไปประลองกับศิษย์ของสำนักข้าอีก? คิดว่าเขาเป็นถึงจักรพรรดิโบราณหรือ? คิดว่าสำนักเมฆขจีของพวกท่านจะฝึกฝนขยะให้กลายเป็นดาวเด่นได้หรืออย่างไร?”