ตอนที่แล้วตอนที่ 18 ถ่ายทอดวิชาดาบ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 20 การประชุมร่วมสำนัก

ตอนที่ 19 ยี่สิบปีแห่งการฝึกฝนอย่างหนัก


ตอนที่ 19 ยี่สิบปีแห่งการฝึกฝนอย่างหนัก

และแล้วอวิ๋นชิงเหยาก็เริ่มสอนลู่เหรินอย่างใกล้ชิด

ตอนกลางคืน อวิ๋นชิงเหยานอนบนเตียงของลู่เหริน ส่วนลู่เหรินทำได้แค่นอนบนพื้น

เวลาเหม่า* ท้องฟ้าเพิ่งจะสาง อวิ๋นชิงเหยาก็ปลุกลู่เหรินขึ้นมาฝึกฝน

(*เวลาเหม่า คือเวลา 05.00 - 07.00 น.)

เวลาทานอาหาร อวิ๋นชิงเหยาไปโรงอาหารของเขตเริ่มต้นพร้อมกับลู่เหริน ดึงดูดสายตาของเหล่าศิษย์ให้มาดู

“ทำไมท่านหญิงศักดิ์สิทธิ์ถึงอยู่กับลู่เหรินตลอดเวลา?”

“ได้ยินมาว่าท่านหญิงศักดิ์สิทธิ์กำลังสอนวิชาดาบให้ลู่เหริน อยากจะให้เขาแสดงฝีมือในการประลองของศิษย์ใหม่!”

“ลู่เหรินมีสายเลือดขยะนะ ถึงจะเปิดช่องจิตได้หนึ่งช่องก็คงไม่สามารถฝึกวิชาดาบได้หรอกมั้ง?”

ศิษย์ขั้นเริ่มต้นหลายคนต่างรู้สึกเหลือเชื่อ

“ลู่เหริน ได้ยินหรือไม่? คนพวกนั้นไม่เชื่อว่าเจ้าจะฝึกฝนได้สำเร็จ เจ้าต้องพยายามให้มากขึ้น!”

อวิ๋นชิงเหยากล่าวเสียงหนัก

“อาจารย์ ข้าจะพยายามขอรับ!”

ลู่เหรินพยักหน้า

แน่นอนว่าลู่เหรินจะไม่เกียจคร้าน เคล็ดดาบสวรรค์นี้ อย่างไรก็ถือเป็นวิชาดาบขั้นมนุษย์ระดับสูง

ถ้าให้เขาฝึกฝนเองด้วยพรสวรรค์ของเขา คงไม่รู้ว่าต้องฝึกฝนนานแค่ไหนกว่าจะเริ่มต้นได้ หรืออาจจะไม่มีวันเริ่มต้นได้เลย ตอนนี้มีอวิ๋นชิงเหยาสอน การเริ่มต้นฝึกฝนก็จะง่ายขึ้นมาก

อวิ๋นชิงเหยาสอนอย่างใกล้ชิดเป็นเวลาสามวัน ในที่สุดลู่เหรินก็เรียนรู้ สามารถใช้กระบวนท่าทั้งสามของวิชาดาบท้องฟ้าได้อย่างทุลักทุเล แต่ท่าทางยังดูไม่คล่องแคล่ว

อวิ๋นชิงเหยาเห็นภาพนี้ก็รู้สึกตำหนิตัวเองเล็กน้อย

นางเคยคิดว่าสายเลือดขยะนั้นไร้ประโยชน์ แต่ไม่คิดว่าจะไร้ประโยชน์ได้ถึงขนาดนี้

พรสวรรค์แย่ขนาดนี้ ยังสามารถฝึกฝนวิทยายุทธได้เป็นเดือน ถือว่าพยายามอย่างหนักแล้วล่ะ ถ้าเป็นนางหากมีพรสวรรค์เลวร้ายขนาดนี้ คงจะล้มเลิกไปนานแล้ว

“บางทีข้าไม่น่าบังคับให้เขาฝึกฝนเลย พรสวรรค์แย่ขนาดนี้ แม้แต่จักรพรรดิโบราณก็คงฝึกฝนไม่ได้กระมัง?”

อวิ๋นชิงเหยาถอนหายใจในใจ

อวิ๋นชิงเหยาจึงให้ลู่เหรินเลิกฝึกเคล็ดดาบสวรรค์ แล้วไปฝึกวิชาดาบพื้นฐานง่าย ๆ แทน ฟัน แทง เสียบ!

นางคิดว่าด้วยสายเลือดขั้นเจ็ดของนาง ถึงแม้ลู่เหรินจะมีพรสวรรค์ต่ำต้อยก็สามารถฝึกฝนวิชาดาบที่นางคิดค้นขึ้นมาได้จนเริ่มต้น

แต่นางประเมินสายเลือดขยะของลู่เหรินต่ำไป

ตอนนี้ทำได้แค่ให้ลู่เหรินฝึกฝนวิชาดาบพื้นฐานแบบเร่งด่วน

การประลองระหว่างศิษย์ใหม่ของสองสำนักใหญ่ครั้งนี้ สำนักเมฆขจีไม่มีทางชนะได้แล้ว ทำได้แค่พึ่งพาลู่เหรินที่มีสายเลือดขยะกู้หน้ากลับมาบ้าง

สายเลือดขยะสามารถฝึกฝนวิชาดาบพื้นฐานได้ก็ถือว่าเหลือเชื่อแล้ว

สี่วันผ่านไป ภายใต้การดูแลของอวิ๋นชิงเหยา ในที่สุดลู่เหรินก็ฝึกฝนวิชาดาบพื้นฐานได้สำเร็จ การฟัน แทง เสียบ ล้วนมีพลัง

“ลู่เหริน ดาบไฟวิญญาณเจ้าเก็บไว้เถอะ ไม่ว่าเส้นทางการฝึกฝนของเจ้าจะเป็นอย่างไร เจ้าจะเป็นศิษย์ของข้าตลอดไป วันนี้พักผ่อนให้เต็มที่ พรุ่งนี้ทำให้ดีที่สุด แสดงวิชาดาบพื้นฐานของเจ้าออกมาให้เต็มที่ก็พอ!”

อวิ๋นชิงเหยาตบบ่าลู่เหรินเบา ๆ แล้วก็จากไป

ลู่เหรินมองแผ่นหลังของอาจารย์ มุมปากยกยิ้มเล็กน้อยพูดว่า “อาจารย์ พรุ่งนี้ ข้าจะเป็นความภาคภูมิใจของท่าน!”

ในเมื่ออวิ๋นชิงเหยาไม่เชื่อว่าเขาเปิดช่องจิตได้เจ็ดช่องแล้วก็รอการประลองของศิษย์ใหม่ในวันพรุ่งนี้เถอะ ถึงตอนนั้นจะทำให้ทุกคนตกตะลึง

กลับมาที่ห้องพัก ลู่เหรินก็เข้าไปในหอคอยศักดิ์สิทธิ์ทันที

ข้าวสารวิญญาณในหอคอยศักดิ์สิทธิ์เพียงพอให้เขาฝึกฝนได้ถึงยี่สิบปี

“อาจารย์เป็นห่วงข้าขนาดนี้ พรุ่งนี้ไม่ว่ายังไงก็ต้องเอาชนะศิษย์ที่มีสายเลือดขั้นหกคนนั้นให้ได้!”

ลู่เหรินมีแววตาเด็ดเดี่ยว กำหมัดแน่น

แต่อีกฝ่ายมีสายเลือดขั้นหก ส่วนเขามีสายเลือดขยะ ถึงแม้ว่าเขาจะฝึกฝนวิทยายุทธขั้นมนุษย์ระดับล่างสามวิชาจนถึงขั้นสมบูรณ์ก็ยังไม่แน่ว่าจะเป็นคู่มือของอีกฝ่ายได้

เขาเคยเห็นฝีมือของฉินอวี้ นางเป็นอัจฉริยะที่มีสายเลือดขั้นหก ด้วยฝีมือของเขาในตอนนี้ยังห่างไกลจากนางมาก

“ยี่สิบปี ต้องฝึกฝนเคล็ดดาบสวรรค์ให้สำเร็จขั้นต้นให้ได้!”

ลู่เหรินถือดาบไฟวิญญาณ เริ่มฝึกฝนวิชาดาบพื้นฐานอีกครั้ง

ฟัน แทง เสียบ!

ลู่เหรินฝึกฝนการฟัน แทง เสียบ อย่างน่าเบื่ออยู่เป็นปี!

ตอนนี้เมื่อลู่เหรินเหวี่ยงดาบ เขาสามารถดึงพลังมหาศาลออกมาได้ แต่ละดาบสามารถสร้างพลังที่น่าทึ่งได้

ตูม!

ลู่เหรินฟันดาบใส่ก้อนหินขนาดใหญ่ตรงหน้า ก้อนหินนั้นก็ถูกแบ่งออกเป็นสองซีกราวกับเต้าหู้

กระบวนท่าดาบพื้นฐานสี่กระบวนท่า ลู่เหรินฝึกฝนจนเชี่ยวชาญถึงขั้นหลุดพ้นจากข้อจำกัดแล้ว

“เริ่มฝึกวิชาดาบท้องฟ้า กระบวนท่าที่หนึ่ง… ดาบเคลื่อนจิต!”

ภาพของอวิ๋นชิงเหยาที่สอนเขาอย่างใกล้ชิดผุดขึ้นมาในหัว ลู่เหรินจึงเริ่มเหวี่ยงดาบ

ในตอนแรกท่วงท่าของลู่เหรินยังคงดูติดขัดและไม่คล่องแคล่ว แต่เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้วิชาดาบก็ลื่นไหลขึ้นมาก ไม่มีการติดขัดอีกต่อไป ให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติ

ลู่เหรินเริ่มฝึกฝนอย่างหนัก

เจ็ดปีผ่านไปในพริบตา

ลู่เหรินเหวี่ยงดาบด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ท่วงท่าพลิ้วไหวอย่างอิสระ ทันใดนั้น เขาก็เหวี่ยงดาบ แสงดาบพลิ้วไหวราวกับงู จากนั้นก็แทงดาบออกไป ทะลุผ่านก้อนหินขนาดใหญ่ตรงหน้าจนเป็นรู

ชายหนุ่มเก็บดาบและยืนนิ่ง ลู่เหรินเผยสีหน้าดีใจ

เจ็ดปี ในที่สุดก็ฝึกฝนกระบวนท่าแรกของวิชาดาบท้องฟ้าได้สำเร็จ!

ต้องรู้ว่าวิชาดาบนี้เทียบเท่ากับวิทยายุทธขั้นมนุษย์ระดับสูง ด้วยพรสวรรค์ของเขา ตามหลักแล้วไม่น่าจะฝึกฝนได้

แม้แต่ลู่เหรินก็เตรียมใจไว้แล้วว่าจะต้องใช้เวลาสิบปีในการฝึกฝนกระบวนท่าแรกนี้

“อาจจะเป็นเพราะอาจารย์สอนอย่างใกล้ชิดกระมัง!”

ลู่เหรินสูดหายใจเข้าลึก ๆ เริ่มฝึกฝนกระบวนท่าที่สอง “ดาบเหนี่ยวนำ” ต่อไป

เหวี่ยงดาบครั้งแล้วครั้งเล่า ลู่เหรินค่อย ๆ คุ้นเคยกับท่าทาง จากที่เคยติดขัดในตอนแรก

สิบสองปีผ่านไป

แสงดาบที่ลู่เหรินเหวี่ยงออกมาราวกับก้อนเมฆบนท้องฟ้า หดตัวลงอย่างรวดเร็ว รวมกันเป็นจุดเดียวแล้วพุ่งทะลวงออกไป

ก้อนหินขนาดใหญ่ตรงหน้าโดนเจาะเป็นรู จากนั้นก็แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ กระจัดกระจายไปทั่ว

“ฝึกกระบวนท่าที่สองได้สำเร็จแล้ว!”

ลู่เหรินยิ้มกว้าง

การฝึกฝนอย่างหนักเป็นเวลายี่สิบปี สามารถฝึกฝนวิชาดาบท้องฟ้าได้สองกระบวนท่า เรื่องนี้ถือว่าเกินความคาดหมายของลู่เหรินไปมาก

ออกมาจากพื้นที่เจดีย์ ลู่เหรินก็ไปทานอาหารเย็นที่โรงอาหาร

“พรุ่งนี้สำนักราชวงศ์จะพาศิษย์ใหม่สามคนมาประลองที่สำนักเมฆขจีของเรา ได้ยินมาว่าพวกเขารับอัจฉริยะที่มีสายเลือดขั้นหกเข้ามา เพียงแค่เดือนครึ่งก็เปิดช่องจิตได้เจ็ดช่องแล้ว!”

“ในบรรดาศิษย์ใหม่รุ่นนี้ มีหยางหรงกับจ้าวอี้ที่มีพรสวรรค์โดดเด่น ตอนนี้ก็เปิดช่องจิตได้แค่หกช่องเท่านั้น!”

“การประลองครั้งนี้ สำนักเมฆขจีของเราต้องแพ้อีกแล้ว!”

ระหว่างพูดคุยกัน ศิษย์หลายคนมีสีหน้าหม่นหมอง

การพัฒนาของสำนักต้องอาศัยอัจฉริยะมาขับเคลื่อน ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ สำนักเมฆขจีไม่มีศิษย์คนไหนสามารถคว้าอันดับหนึ่งในการประลองใหญ่ได้เลย ดังนั้นตระกูลใหญ่ ๆ ก็จะส่งคนในตระกูลไปยังอีกสามสำนักใหญ่แทน

ในช่วงหลายปีมานี้ สำนักเมฆขจีรับศิษย์ที่มีสายเลือดขั้นหกได้แค่ฉินอวี้คนเดียว ในขณะที่อีกสามสำนักใหญ่ แทบทุกปีจะรับศิษย์ที่มีสายเลือดขั้นหกได้หนึ่งหรือสองคน

ลู่เหรินฟังอยู่เงียบ ๆ หลังจากทานอาหารเสร็จกำลังจะลุกขึ้นก็มีมือข้างหนึ่งกดเขาลง

ลู่เหรินเงยหน้าขึ้นมอง เป็นเด็กหนุ่มอายุประมาณสิบเจ็ดปี หน้าตาเย็นชา รูปร่างหน้าตาคมสัน ข้างกายเขายังมีชายหญิงยืนอยู่คนละข้าง

ยังไม่ทันที่ลู่เหรินจะพูดอะไร เด็กหนุ่มก็ขัดจังหวะแล้วพูดว่า “ข้าชื่อจ้าวอี้ เจ้าคงจะจำข้าได้!”

ลู่เหรินพยักหน้า “ข้ารู้จักเจ้า อัจฉริยะสายเลือดขั้นห้า มีธุระอะไรกับข้า?”

จ้าวอี้มองสำรวจลู่เหรินอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดว่า “ข้าแค่มาเตือนเจ้า อยู่ห่างจากท่านหญิงศักดิ์สิทธิ์หน่อย ถ้าเป็นไปได้ก็ไปยกเลิกความสัมพันธ์อาจารย์ศิษย์กับท่านหญิงศักดิ์สิทธิ์ซะ!”

________________________________________

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามกันมาถึงตรงนี้ค่ะ :)

5 2 โหวต
Article Rating
1 Comment
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด