บทที่ 45 อาหารผู้ตาย
บทที่ 45 อาหารผู้ตาย
“เพราะว่าสาเหตุการตายของหลี่ต้าซานนั้นแปลกมาก ข้าเกรงว่าจะมีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้น”
“เลยไม่มีการฝังศพ แต่เป็นการเผาแทน”
มือปราบเฟิงอธิบาย
นักพรตเฒ่าลัทธิเต๋าส่ายหัวแล้วพูดว่า "ข้าแค่ถามเฉยๆ"
เมื่อผู้คุมเปิดประตูห้องขัง นักพรตเฒ่าลัทธิเต๋าที่สะพายกระเป๋าไทเก็กบากัวไว้บนบ่าก็ก้าวเข้าไปในห้องขัง และเริ่มมองไปรอบๆ อย่างรอบคอบ
จินอันขมวดคิ้วเล็กน้อย
เขาอธิบายไม่ได้ว่าทำไม แต่ทันทีที่เขายืนอยู่ที่ประตูห้องขัง เขาก็รู้สึกอึดอัด
มันดูเหมือนว่าในห้องขังที่ หลี่ต้าซาน ที่ตายอย่างอนาถนั้นจะมีบรรยากาศที่ขุ่นมัวตกค้างอยู่จนอธิบายไม่ได้ ซึ่งทำให้จินอันรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
มันเหมือนกับความรู้สึกไม่สบายตัวเมื่อเสื้อผ้าในฤดูร้อนเกาะติดกับผิวหนังเพราะเหงื่อ
จินอันคิดอยู่ครู่หนึ่ง
เขาไม่ได้เข้าไปในห้องขัง แต่ยืนอยู่ที่ประตูและมองดูห้องขังด้วยเทคนิคสัมผัสปราณของเขา จากนั้นสายตาของเขาก็แสดงท่าทีครุ่นคิด
ในเวลานี้ ผู้คุมเปิดประตูห้องขังและนักพรตเฒ่าลัทธิเต๋าก็เดินเข้าไปแล้ว
หลังจากที่นักพรตเฒ่าลัทธิเข้าไปในห้องขัง อย่างแรกเขาตรวจดูทุกมุมห้องอยางรอบคอบ พอถึงจุดที่หลี่ต้าซาน ตาย นักพรตเฒ่าลัทธิเต๋าก็เดินผ่านไป
กลับกลายเป็นว่าจุดที่หลี่ต้าซานตายไม่ได้รับการตรวจสอบในทันที
เขาตรวจสอบมุมอื่นๆ ของห้องขัง
มือปราบเฟิงและผู้คุมของเขาสับสนเล็กน้อยกับการกระทำของนักพรตเฒ่าลัทธิเต๋า
นักพรตเฒ่าลัทธิเต๋าสัมผัสและตรวจสอบอยู่สองครั้ง กระทั่งค้นกองหญ้าแห้งตรงมุมห้องด้วยซ้ำ หลังจากก้มลงตรวจดูอย่างรอบคอบหลายครั้ง เขาก็ยืนตัวตรงแล้วใช้มือขวาตบหลัง
“อาจารย์เฉินเจออะไรงั้นหรือขอรับ?”
มือปราบเฟิงอดไม่ได้ที่จะถาม
“ข้าว่าข้าได้เจออะไรบางอย่าง…” นักพรตเฒ่าลัทธิเต๋าขมวดคิ้ว ราวกับว่าเขากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“มือปราบเฟิงสังเกตเห็นไหมว่าห้องขังที่หลี่ต้าซานอยู่นั้น สะอาดเกินไปนิดหน่อยหรือเปล่า?”
“ข้าค้นหาไปทั่วแต่ก็ไม่เจอแมลงสาบหรือแมงมุมแม้แต่ตัวเดียว แมลงเหล่านี้ชอบความมืดและความชื้น หากพูดตามหลักการแล้ว มันควรจะมีใยแมงมุมอยู่ตรงมุมผนังด้วยซ้ำ และควรมีแมลงที่ชอบร่มเงาในกองหญ้าแห้งนี้ด้วย”
“แต่ข้าไม่เห็นแม้แต่ตัวเดียว”
“ทุกสิ่งมีจิตวิญญาณ มดสามารถทำนายแผ่นดินไหวล่วงหน้าได้ งูที่จำศีลใต้ดินสามารถทำนายน้ำท่วมล่วงหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงภัยพิบัติ แต่ดูเหมือนว่ามีบางอย่างที่มันน่ากลัวในห้องขังนี้ทำให้แมลงทั้งหลายตกใจกลัว”
หลังจากที่นักพรตเฒ่าลัทธิเต๋าพูดจบแล้ว เขาก็ไตร่ตรองอยู่สองสามลมหายใจ
และแล้ว
เขาเห็นนักพรตเฒ่าลัทธิเต๋าหยิบข้าวคนตายจำนวนหนึ่งจากกระเป๋าไทเก๊กบากัว
“ที่นี่มีชามลายครามชามหรือชามเปล่าธรรมดาๆ บ้างไหม”
นักพรตเฒ่าลัทธิเต๋าพูดสิ่งนี้กับผู้คุมที่อยู่นอกห้องขัง มือปราบเฟิงก็สั่งให้ผู้คุมหาชามสำหรับทานอาหาร และในไม่ช้าผู้คุมก็นำชามเปล่ามาให้ทันที
ต่อจากนั้น นักพรตเฒ่าลัทธิเต๋าก็เทข้าวดิบจากหลุมศพลงในชามเปล่า จากนั้นหยิบธูปออกมาจุดไฟ แล้วปักลงบนข้าวดิบในชาม
หลังจากทำทั้งหมดนี้ นักพรตเฒ่าลัทธิเต๋าก็วางชามข้าวศพที่มีธูปปักไว้บนพื้นโล่งๆ จุดที่หลี่ต้าชานเสียชีวิต ด้วยความเคารพ
“อาจารย์เฉินหมายความว่าอย่างไรขอรับ” มือปราบเฟิงมองดูอาหารของผู้ตายที่อยู่บนพื้นและประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง
“ข้าจำได้ว่าอาจารย์เฉินพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่า หน้าที่หลักของอาหารคนตายคือการเจรจากับวิญญาณและเทพเจ้าด้วยความสุภาพเพื่อให้พวกเขาออกไป?”
“ในคุกนี้มีอะไรวิญญาณชั่วร้ายจริงๆ หรือ ขอรับ?”
ความเย็นยะเยือกไหลลงแผ่นหลังของมือปราเฟิง ทันใดนั้น ชายวัยกลางคนผู้นี้ซึ่งมีใบหน้าอ้วนเล็กน้อยและมักจะยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ ดวงตาของเขาก็คมกริบราวกับดาบสองคม มือของเขาจับดาบอย่างประหม่าที่เหน็บอยู่ที่เอว แล้วกลั้นลมหายใจ มองไปรอบๆ คุกอันมืดมิดด้วยความระมัดระวัง
แม้แต่ผู้คุมยังตกใจกับคำพูดของมือปราบเฟิงจนหน้าซีด
“อ- อ- เอ่ออ...”
"ข้า……"
ผู้คุมหลายคนตกใจมากจนพูดไม่ออก
นักพรตเฒ่าลัทธิเต๋ามองดูผู้คุมที่หวาดกลัวด้วยหางตา จากนั้นจึงหันสายตากลับไปแล้วเพ่งความสนใจไปที่ชามข้าวของผู้ตาย
สายตาทั้งสองจ้องมองไปที่ชามข้าวผู้ตายโดยไม่กระพริบตา ราวกับว่าเขากลัวที่จะพลาดรายละเอียดต่างๆ
“นอกจากการเชิญวิญญาณและเทพเจ้าออกไปแล้ว อาหารผู้ตายยังมีจุดประสงค์อื่นอีกด้วย มันสามารถใช้เพื่อทดสอบว่ามีวิญญาณชั่วร้ายตนอื่นๆ อาศัยอยู่ในที่แห่งนั้นหรือไม่!”
“ข้าวในชามนี้เป็นข้าวที่ให้ผู้ตายกินไปแล้ว หากมีสิ่งวิญญาณค้างอยู่ในที่นี่ จะเกิดผล 2 แบบ อย่างแรก ความแข็งแกร่งของหยินจะไม่ดีไปกว่าเจ้าของเดิมของข้าวจากหลุมศพนี้ เราควรสุภาพก่อนแล้วค่อยต่อสู้ วิญญาณที่ชั่วร้ายก็จะจากไปอย่างเชื่อฟัง อย่างที่สอง วิญญาณชั่วร้ายในคุกนี้ดุร้ายยิ่งกว่าชามข้าวหลุมศพในมือของข้า! แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ธูปที่สอดเข้าไปในข้าวของผู้ตายก็จะไหม้เร็วผิดปกติ…”
นักพรตเฒ่าลัทธิเต๋ายังพูดไม่ทันจบ แปร๊ก!
ธูปที่ปักในชามข้าวคนตายนั้นหักที่ตรงกลาง
ท่าท่างของนักพรตเฒ่าลัทธิเต๋าเปลี่ยนไปทันที
“นี่คือการต่อสู้ระหว่างเสือสองตัว ซึ่งตัวหนึ่งจะต้องพ่ายแพ้! มือปราบเฟิง เจ้าเดาถูกแล้ว การตายของหลี่ต้าซานนั้นเกี่ยวข้องกับวิญญาณชั่วร้ายจริงๆ! นี่คือวิญญาณชั่วร้ายที่ไม่สามารถสื่อสารและช่วยเหลืออะไรได้แล้ว!”
หลังจากฟังคำพูดของนักพรเฒ่าลัทธิเต๋าพูด ผู้คุมที่ปฏิบัติหน้าที่ในคืนนี้ก็แทบจะเป็นลมด้วยความตกใจ พวกเขามองไปรอบๆ อย่างขลาดกลัวแต่ก็ไม่เห็นอะไรเลย พวกเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงายลมชั่วร้ายพัดเข้ามาในเรือนจำ
ผู้คุมเหล่านี้หวาดกลัวมากจนร่างกายสั่นเทา ขาอ่อนแรง
พวกเขาหน้าซีดยิ่งขึ้นไปอีก
ในตอนนี้ไม่มีใครสนใจว่าสิ่งที่นักพรตเฒ่าลัทธิเต๋าพูดนั้นจะจริงหรือเท็จ เพราะทุกคนเชื่อในความสามารถของนักพรตเฒ่าลัทธิเต๋าอยู่แล้ว
นักพรตเฒ่าลัทธิเต๋ามีความเป็นมืออาชีพมาโดยตลอด
นักพรตลัทธิเต๋าปลอมหรือหลวงจีนปลอมที่รู้แต่วิธีการเต้นแร้งเต้นการเพื่อปัดเป่าวิญญาณชั่วร้ายเท่านั้น ซึ่งมันตรงข้ามกับสิ่งที่นักพรตเฒ่าลัทธิเต๋าทำ
อย่างที่คาดไว้ มือปราบเฟิงซึ่งเป็นหนึ่งในสามมือปราบหลักในเทศมณฑลฉาง เขาสงบสติลงอย่างรวดเร็ว กุมหมัดถามนักพรตเฒ่าลัทธิเต๋าอย่างสุภาพว่า: "ในเมื่อมีสิ่งชั่วร้ายซ่อนอยู่ในคุก อาจารย์เฉินท่านสามารถขับไล่วิญญาณชั่วร้ายได้หรือไม่ขอรับ?”
หลังจากเหตุการณ์นี้ ทัศนคติของมือปราบเฟิงที่มีต่อนักพรตเฒ่าลัทธิเต๋าก็ยิ่งสุภาพมากขึ้น
จู่ๆ นักพรตเฒ่าลัทธิเต๋าก็ส่ายหัว
“นี่เป็นเพียงเศษเสี้ยวของปราณหยินที่เหลืออยู่เท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าวิญญาณชั่วร้ายนี้ยังอยู่ในคุก”
“เนื่องจากคุกมันมืดและอับชื้น ไม่สามารถเห็นแสงตะวันได้ตลอดทั้งปี มันจึงง่ายที่สุดสำหรับหยินที่จะรวมตัวกัน ดังนั้นปราณหยินนี้จึงยังอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ หากอยู่ข้างนอกมันก็จะสลายไปเองภายในสามถึงห้าวัน”
“ดังนั้นข้าจึงไม่จำเป็นต้องขับไล่วิญญาณชั่วร้าย พรุ่งนี้มือปราบเฟิงแค่ให้ใครสักคนเจาะรูที่ผนังห้องขังเพื่อให้แสงอาทิตย์สอดส่องเข้ามา เมื่อปราณหยางที่แข็งแกร่งเข้ามาปราณหยินก็จะลดลงไปตามธรรมดา อีกไม่กี่วันห้องขังก็จะกลับมาเป็นปกติ”
หลังจากได้ยินสิ่งที่นักพรตเฒ่าลัทธิเต๋าพูด มือปราบเฟิงก็กุมหมัดอีกครั้งและกล่าวขอบคุณเขา
แล้วทั้งสามก็เดินออกจากคุก
ระหว่างทางมือปราบเฟิงขมวดคิ้วเป็นตัวอักษรจีนดูกังวล
ในเวลานี้ จินอันที่ไม่ได้พูดอะไรเลยตั้งแต่เขาออกจากคุกและมองดูห้องขังของหลี่ต้าซานด้วยเทคนิคสัมผัสปราณ เขาก็พูดขึ้นมาว่า: "บางที มือปราบเฟิงก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้แล้ว เราควรตรวจสอบมือปราบเจิ้ง จะเป็นการดีกว่าขอรับ”
ในตอนนี้ เหลือเพียงมือปราบเฟิง จินอัน และนักพรตเฒ่าลัทธิเต๋าเท่านั้นที่ประตูคุก
ภายใต้แสงจันทร์ เมื่อมือปราบเฟิงเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง สายตาของเขาก็มั่นคง ซึ่งเขาได้ตัดสินใจแล้ว
“ขอบคุณ ท่านอาจารย์เฉิน และคุณชายจินอัน สำหรับความช่วยเหลือของพวกท่านในคืนนี้ขอรับ”
“จากนี้ไปเฟิงจำเป็นต้องใช้เวลาตรวจสอบมือปราบเจิ้งที่ถูกย้ายไปยังวัดเหวินหวู่ชั่วคราว เพื่อตรวจสอบรายละเอียดทั้งหมดของมือปราบเจิ้ง หากมีความคืบหน้าอะไร เฟิง จะขอคำแนะนำจากท่านสองคนขอรับ”
เพราะนี่เป็นห้ามออกแแล้ว
จินอันและนักพรตเฒ่าลัทธิเต๋าจึงไม่สามารถกลับไปยังที่พักของตนได้ด้วยตนเอง
และยังคงเป็นมือปราบเฟิงที่ไปส่งทั้งสองคนกลับไปยังที่พักด้วยตัวเขาเอง
…
เพียงแต่ว่า
ทั้งจินอันและนักพรตเฒ่าลัทธิเต๋าต่างก็ไม่คาดคิด ว่ามือปราบเฟิงจะมาที่บ้านของพวกเขาอย่างรวดเร็ว
ซึ่งเช้าวันรุ่งขึ้นมือปราบเฟิงก็มาที่ประตูบ้านแต่เช้าตรู่แล้วแจ้งข่าวร้ายให้เข้าเขาทราบ!
(จบบทนี้)