บทที่ 193 ความคิดสับสน
“หลัวเฉิงนะหรือฆ่าหลินจินไท่?”
ผู้อาวุโสเหอระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นประหนึ่งว่าได้ฟังเรื่องเหลวไหลที่สุดในโลก เขาส่ายศีรษะครั้งกล่าวน้ำเสียงเคล้าหัวเราะ
“ผู้อาวุโสเหยียนคงล้อเล่นกระมัง หากท่านจะล้อเล่นเช่นนี้เหตุใดจึงไม่บอกว่าไอ้ขยะนั่นได้อันดับหนึ่งในการทดสอบชิงอวิ๋นไปเลยเล่า ฮ่าๆๆ”
เนื่องจากตัวเขาเองรับรู้ถึงความแข็งแกร่งของหลินจินไท่เป็นอย่างดี ว่าศิษย์เขานี้มีฝีมือมากขนาดไหน แม้ในกลุ่มผู้ฝึกยุทธ์ในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับห้าด้วยกัน ก็ยังนับว่าเขานั้นเป็นยอดฝีมือทีเดียว!
แค่ไอ้ขยะนั่น!
หลินจินไท่ศิษย์ข้าใช้เพียงนิ้วเดียวก็สามารถสังหารมันได้แล้วกระมัง!
ตามการคาดเดาของผู้อาวุโสเหอ หลัวเฉิงคงถูกสับร่างเป็นหมื่นๆ ชิ้นบนเกาะชิงอวิ๋นไปแล้ว
แม้แต่กระดูกและเศษชิ้นเนื้อเขาก็คงถูกสัตว์อสูรกลืนกินจนหมดสิ้น
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น ต่อให้มีไอ้คนไร้ค่าที่ปลุกวิญญาณยุทธ์ขยะขึ้นมามากถึงสิบคน ก็เกรงจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลินจินไท่เป็นแน่”
ผู้อาวุโสที่อยู่รอบข้างได้ยินก็พลันกล่าวแทรกขึ้น
เมื่อได้ฟังคำพูดของบรรดาผู้อาวุโสเหล่านั้น ผู้อาวุโสเหยียนก็แสดงสีหน้าจริงจังแล้วกล่าวน้ำเสียงหนักแน่น
“ข้าไม่ได้ล้อเล่น! ตัวข้าเองได้ทราบข่าวมาว่าหลินจินไท่และจั่วฉางซานมิได้กลับขึ้นเรือสำเภา ข้าก็เลยไปตามสืบดู”
ผู้อาวุโสเหอเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ได้กล่าววาจาล้อเล่น จึงขมวดคิ้วถามกลับด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“แล้วเรื่องนี้แท้จริงเป็นอย่างไร?”
ผู้อาวุโสเหยียนสูดหายใจลึกหนึ่งครั้ง มองไปรอบๆ ก่อนจะพูดว่า
“ข้าสืบทราบมาว่า พวกเขาเจอต้นหยวนหลิงบนเกาะชิงอวิ๋น เพื่อที่จะแย่งชิงผลหยวนหลิงเหล่านั้น หลินจินไท่กับหลัวเฉิงจึงเกิดความขัดแย้ง จากนั้นทั้งสองก็เข้าปะทะกัน”
ผู้อาวุโสเหยียนกล่าวน้ำเสียงแผ่วเบาราวกับกระซิบ
“ผลก็คือ หลินจินไท่ถูกตัดแขนทั้งสองข้างและคาดว่าคงตายไปในตอนนั้น ส่วนจั่วฉางซานก็ถูกงูยักษ์เกล็ดดำที่เฝ้าผลหยวนหลิงรัดจนตาย”
ปัง!
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ผู้อาวุโสเหอก็ทนทานรับมิได้พลันปาดมือตบโต๊ะหินดังฉาด พานให้โต๊ะหินแตกเป็นเสี่ยง ใบหน้าแดงก่ำด้วยความเกรี้ยวกราดแล้วตวาดลั่น
“เป็นไปไม่ได้! ไอ้ขยะนั่น ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของหลินจินไท่แน่นอน! เป็นเรื่องเหลวไหลสิ้นดี!”
ผู้อาวุโสเหยียนถอนหายใจ “ตอนแรกที่ข้าได้ยินก็ไม่เชื่อเช่นเดียวกับท่านตอนนี้ แต่ลูกศิษย์หลายคนเห็นเหตุการณ์นี้อย่างชัดเจนจึงยากจะปฏิเสธได้”
“หลัวเฉิงผู้นี้เหมือนจะมิใช่มีฝีมือธรรมดาอย่างที่พวกเราคิดก็เป็นได้ ไม่เช่นนั้นไหนเลยอวิ๋นเหมิงลี่จะแนะนำให้เขาเข้าสำนักเรากัน”
ระหว่างนั้นเอง ผู้อาวุโสฉินเหมยที่ดูแลเรือสำเภาหมายเลขห้าได้กล่าวแทรกขึ้น
“เรื่องนี้จริงเท็จแค่ไหนข้าเองก็มิอาจทราบได้ แต่ที่แน่ๆ คือหลัวเฉิงได้กลับมาอย่างปลอดภัย อีกทั้งพลังยุทธของเขาก็มิใช่ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสาม แต่เป็นระดับห้าต่างหาก ไม่แน่ว่าบางที…”
ผู้อาวุโสฉินเหมยกล่าวยังไม่ทันจะจบก็มีเสียงอุทานแทรกดังขึ้น
“ไอ้เด็กนั่นยังมีชีวิตอยู่งั้นรึ!”
ผู้อาวุโสเหอสะดุ้งเฮือกไปชั่วขณะ เมื่อได้สติสัมปชัญญะกลับมาจึงหันไปมองผู้อาวุโสฉินเหมย แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“เมื่อครู่ท่านบอกว่า พลังยุทธ์ของเขามิใช่ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสาม แต่เป็นระดับห้างั้นหรือ?”
ผู้อาวุโสฉินเหมยพยักหน้าเล็กน้อย “สิ่งที่ข้ากล่าวนั้นเป็นความจริงอย่างแน่นอน”
“เป็นไปไม่ได้! นี่มันจะเป็นไปได้อย่างไร ข้าเห็นเองกับตาว่าเขาเพิ่งอยู่ในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสามเท่านั้น…”
ข่าวใหญ่นี้ทำให้ผู้อาวุโสเหอสับสนเป็นที่สุด ในหัวก็ก่อเกิดคำถามมากมายขึ้น
ไอ้ขยะนั่นไม่กี่วันก่อนมันยังอยู่ในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสามอยู่เลย แต่เพราะเหตุใด จู่ๆ มันจึงกลายเป็นระดับห้าได้!
ยิ่งไปกว่านั้น หลัวเฉิงยังได้สังหารลูกศิษย์ที่เขารักที่สุดอย่างหลินจินไท่อีกต่างหาก!
มันยังมีเรื่องอะไรบ้าไปกว่านี้หรือไม่?
ดวงตาของฉินเหมยแวววับขึ้นทันที ไม่ช้านางก็เผยอปากเอ่ยว่า “ดูนั่นสิ เขาลงจากเรือแล้ว!”
ในระยะไม่ไกลภายในคลองจักษุ ที่สะพานเดินเรือของเรือสำเภาหมายเลขห้า ปรากฏร่างหลัวเฉิงกำลังเดินลงมา
“เป็นมันจริงๆ ด้วย! นี่มันยังไม่ตายอีกรึ!”
เมื่อผู้อาวุโสเหอเห็นหลัวเฉิง ดวงตาก็หรี่เล็กลงเผยให้เห็นความอำมหิต ดุจเดียวกับแววตาอสรพิษในยามราตรีกาล
“หืม?”
หลังจากหลัวเฉิงกลืนกินวิญญาณยุทธ์ไปแล้วมากมาย ประสาทสัมผัสการรับรู้เขาก็ยกระดับเป็นเฉียบคมขึ้นยิ่ง
ขณะเดียวกัน เขาก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันเยือกเย็นที่เจาะจงมาทางเขายามนี้ เมื่อหันไปมองตามทิศทางจิตสังหารนั้น ก็พบว่าเป็นผู้อาวุโสเหอที่ยืนอยู่บนแท่นสูง
“ไอ้เฒ่าเจ้าเล่ห์ เจ้าคงประหลาดใจมากงั้นสิที่เห็นว่าข้ายังไม่ตาย รอให้ข้าแข็งแกร่งกว่านี้ก่อนเถอะ แล้วข้าจะตามไปคิดบัญชีกับเจ้าทีหลัง!”
หลัวเฉิงแย้มยิ้มอำมหิตภายในใจ
หลังจากที่เขาได้เป็นอันดับหนึ่งในการทดสอบชิงอวิ๋นครั้งนี้ เขาก็จะได้เลื่อนขั้นเป็นศิษย์ฝ่ายนอกทันที และผู้อาวุโสเหอจะไม่มีทางจัดการเขาได้ง่ายๆ อีกต่อไป
โอ้!
ในเวลาเดียวกันนั้น จู่ๆ ก็มีเสียงฮือฮาดังมาจากทิศทางของเรือสำเภาหมายเลขสอง
เมื่อหลัวเฉิงหันไปดู ก็ปรากฏว่าเป็นกู่หลิงเฟิงที่ลงจากเรือสำเภาแล้วกำลังลงทะเบียนแต้มในตอนนี้
กู่หลิงเฟิงเป็นเพียงความหวังเดียวที่มีโอกาสคว้าอันดับหนึ่งในการทดสอบชิงอวิ๋น!
ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงจับตาเขาว่าจะได้แต้มสูงขนาดไหน มันจะสามารถสูงโด่งนำโจวรั่วและขึ้นเป็นอันดับหนึ่งได้หรือไม่
มิใช่แค่ลูกศิษย์บำรุงสำนักที่ให้ความสนใจเท่านั้น แม้แต่ผู้อาวุโสที่รับผิดชอบการบันทึกแต้มก็หยุดกระทำสิ่งต่างๆ และหันไปมองเช่นเดียวกัน
ท่ามกลางสายตาของผู้คนจำนวนมาก กู่หลิงเฟิงก็กำลังยื่นป้ายหยกประจำตัวของเขา
เมื่อผู้อาวุโสหลังโต๊ะหินนำป้ายหยกประจำตัวไปวางบนสมุดหยก ทั้งสองสิ่งก็ส่องแสงเจิดจ้าออกมาพร้อมกัน
ทันใดนั้น นามของกู่หลิงเฟิงก็ปรากฏขึ้นในอันดับบนกระดานประกาศแต้ม