ตอนที่ 121 คำเชิญ (ฟรี)
ตอนที่ 121 คำเชิญ
“น่าเสียดายที่ข้าไม่คิดจะมอบสิ่งนี้คืนให้ หากเจ้าไม่พอใจก็สามารถไปฟ้องคนที่เจ้าเรียกขานว่าราชครูนั่นได้” ลู่ซุนเหลือบมองเฉาเฟิง แล้วพูดอย่างเฉยเมย
ม้วนประกาศิตถูกมอบให้เฉาเฟิงโดยราชครูแห่งจักรวรรดิ เพื่อให้เขาจะได้ใช้มันเพื่อทำลายสำนักสวินเต๋า ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่ลู่ซุนจะส่งมอบมันคืนให้
“ผู้อาวุโส ท่าน…” หลังจากได้ยินคำพูดของลู่ซุน ใบหน้าของเฉาเฟิงก็ดูน่าเกลียดเล็กน้อย และเปิดปากเพื่อพูดอะไรบางอย่าง
ลู่ซุนคว้าจับม้วนประกาศิตด้วยฝ่ามือเดียว จากนั้นออกแรงกดที่นิ้วเล็กน้อย
พลังที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งระเบิดออกมาจากฝ่ามือของลู่ซุน และมิติบนฝ่ามือของเขาก็พังทลายลงสู่ความว่างเปล่า
สำหรับม้วนประกาศิตนั้น ไม่มีแม้แต่เสียงครวญคราง มันแหลกเป็นชิ้นๆ ในพริบตาเดียว
“สิ่งที่ท่านพูดสมเหตุสมผลแล้ว!” สายตาของเฉาเฟิงหดตัวเล็กน้อย และเขาก็รีบพูด หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความกลัว และกังวลใจ
ชายคนนี้คือใครกัน? นี่มันไม่น่ากลัวเกินไปหน่อยเหรอ!
นี่คือม้วนประกาศิตที่สามารถฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตหลุดพ้นได้ แต่กลับถูกบดขยี้อย่างง่ายดายเช่นกัน?
หัวใจของเฉาเฟิงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว และความสงสัย สถานะของลู่ซุนได้เพิ่มขึ้นในใจของเขา
…
ในขณะนั้น ณ ที่ๆ อยู่ห่างออกไปหลายพันลี้ในนครหลวงแห่งจักรวรรดิต้าเฉียน ชายคนหนึ่งในชุดคลุมขงจื๊อค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาของเขาฉายแววประหลาดใจออกมา
“ม้วนประกาศิตของข้าถูกทำลายงั้นหรือ ดูเหมือนว่าสำนักสวินเต๋าจะดูเบาไม่ได้เลย” ราชครูค่อยๆ หลับตาแล้วพึมพำกับตัวเอง แต่สีหน้าของเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก
ม้วนประกาศิตนั้นมีพลังเพียง 1% ของเขาเท่านั้น แม้ว่าจะถูกทำลายไปเขาก็ไม่ได้ใส่ใจ เขาแค่คาดไม่ถึงว่าในมณฑลเฉียนหยวนอันห่างไกล จะมีผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งเช่นนี้อยู่
“สำนักสวินเต๋าดูเหมือนจะมีกลอุบายบางอย่าง ข้าไม่รู้ว่ากองกำลังใดหนุนหลังพวกเขาอยู่ สำนักเต๋า สำนักพุทธ หรือสำนักมาร?” ราชครูพึมพำกับตัวเองพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้า
เขามีชีวิตอยู่มานับหมื่นปี และได้พิทักษ์คุ้มครองจักรวรรดิต้าเฉียนมาเป็นเวลานาน เขาได้เห็นสิ่งต่างๆ มากมาย ได้มองหลายสิ่งจากด้านข้าง ทำให้เห็นหลายๆ ได้ชัดเจนกว่าใคร
อาจกล่าวได้ว่ามีน้อยสิ่งในโลกนี้ที่สามารถกระตุ้นความสนใจของเขาได้ และผู้ฝึกยุทธ์ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาคือ เจ้าสำนักโบราณ และสัตว์ประหลาดเฒ่าบางตนที่ไม่ปรากฏตัวมานานหลายปี
…
ในอีกด้านหนึ่ง กัวฟู่ก็จ้องมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาที่ว่างเปล่า จิตใจของเขาเต็มไปด้วยคำสองสามคำในขณะนี้
พลาด เขาพลาดโอกาสครั้งใหญ่ไป!
คนตรงหน้าเขาไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตหลุดพ้น อีกฝ่ายอาจเป็นอมตะที่ลงมายังโลกมนุษย์ การที่สามารถทำลายม้วนประกาศิตได้อย่าง่ายดาย แสดงถึงความแข็งแกร่งอันเหนือชั้นได้เป็นอย่างดี!
หากเขารู้เรื่องนี้ก่อนหน้านี้ เขาคงไม่ปฏิเสธข้อเสนอของลู่ซุน
“บรรพบุรุษ ท่านทรงพลังจริงๆ ไม่มีใครในโลกนี้ทัดเทียมกับท่านได้!” เมื่อผู้อาวุโสสาม ลู่ไห่เห็นสิ่งนี้ เขาก็พูดด้วยรอยยิ้ม ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึง
ด้วยความแข็งแกร่งของบรรพบุรุษ ตระกูลลู่ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่เจริญรุ่งเรือง พวกเขาจะผงาดขึ้นได้อย่างแน่นอน
“ช่วงหลังนี้เจ้าประจบสอพลอเก่งเหลือเกิน ไปเรียนมาจากไหนกัน” ลู่ซุนเหลือบมองลู่ไห่ด้วยสายตาแปลกๆ แล้วพูดออกมาดังๆ
“บรรพบุรุษข้าไม่ได้ประจบท่าน ข้าแค่พูดความจริง!” ลู่ไห่หัวเราะเบาๆ แล้วรีบตอบ
“เซียงเซียง ข้าขอถามอะไรหน่อยสิ เจ้ารู้ไหมว่าใครเป็นคนบ่มไวน์ผลาญสุริยันเหล่านี้” ลู่ซุนหันไปมองเซียงเซียงแล้วถามเสียงดัง
“เป็นพ่อครัวชื่อดังของหอเทียนเซียงของเรา นี่เป็นสูตรที่สืบต่อกันมาในตระกูลของเขา เขาใช้เวลาหลายร้อยปีในการกู้คืนสูตร และปรุงได้สำเร็จ” เซียงเซียงพยักหน้าแล้วตอบด้วยความเคารพ
“แล้วตอนนี้ พ่อครัวคนนั้นอยู่ที่ไหนล่ะ?” เฉาเฟิงรีบพูดกับเซียงเซียง
“ท่านกู่กลับไปมณฑลเฉียนเจียงเพื่อเยี่ยมญาติเมื่อไม่กี่วันก่อน เขาอาจจะไม่กลับมาอีกสักพัก” เซียงเซียงตกใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบอย่างเร่งรีบ
“บอกที่อยู่ของเขามาให้ข้าหน่อย” ลู่ซุนพยักหน้าแล้วพูดต่อ
ไวน์ผลาญสุริยันนี้เป็นไวน์ชั้นดีที่หาได้ยาก และยังสามารถเร่งการฟื้นตัวของเขาได้อีกด้วย
ขวดสองขวดจะไปพอได้ยังไงกัน? มันจะดีกว่าที่จะลักพาคนบ่มไวน์มาโดยตรงเขาจะได้ดื่มเท่าที่ต้องการ
หลังจากที่เซียงเซียงลังเลอยู่พักหนึ่ง เธอก็บอกที่อยู่ของพ่อครัวแซ่กู่อย่างตรงไปตรงมา
จริงๆ แล้วเรื่องแบบนี้ไม่ได้รับอนุญาตให้พูด แต่มันก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และความแข็งแกร่ง
มียอดฝีมือมากมายอยู่ตรงนี้ และเธอก็ไม่สามารถที่จะรุกรานใครคนใดคนหนึ่งได้ เธอจึงต้องตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมา
“ไม่ต้องกังวล ข้าไม่มีเจตนาอื่นใดต่อเขา ข้าแค่สนใจไวน์ที่เขาบ่มก็เท่านั้น และจะไม่ทำร้ายเขา” ลู่ซุนมองเห็นความกังวลในใจของเซียงเซียง และพูดตามตรง
“ขอบคุณที่อธิบายให้ข้าฟัง ผู้อาวุโส” เซียงเซียงก้มลง และขอบคุณลู่ซุน
เธอเป็นเพียงสาวใช้ตัวน้อย และเธอไม่มีสถานะใดต่อหน้าแขกเหล่านี้เลย โดยเฉพาะคนสำคัญอย่างลู่ซุน จะมีสักกี่คนที่ชายตามองเธอจริงๆ
“ผู้อาวุโสลู่ ข้ายังมีไวน์ดีๆ อยู่ที่บ้าน แม้ว่าจะไม่ดีเท่าไวน์ผลาญสุริยัน แต่ก็ยังถือได้ว่าเป็นไวน์ชั้นดี ท่านอยากจะลองชิมดูหน่อยไหม?” จู่ๆ กัวฟู่ก็พูดขึ้นมา เขากลั้นหายใจ และพูดอย่างประหม่า
“ตกลง” ลู่ซุนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า
ลู่ซุนยังคงสนใจสำนักจุ้ยหลงไม่น้อย เมื่อเขาเข้าใกล้อ่าวมังกรซ่อน เขารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่ค่อนข้างคุ้นเคย ซึ่งดูเหมือนจะอยู่ในสำนักจุ้ยหลง
กลิ่นอายที่สามารถทำให้ลู่ซุนรู้สึกคุ้นเคยนั้นมีไม่มาก แต่ล้วนต้องเป็นคนเก่าแก่โบราณ และทรงพลังอย่างยิ่ง
สำนักจุ้ยหลงที่ครอบงำอ่าวมังกรซ่อนมานานหลายปี ซึ่งถือว่าไม่ธรรมดาจริงๆ บางทีมันอาจจะเกี่ยวข้องกับกลิ่นอายที่เขาสัมผัสได้
“น่าจะมีอาหารอร่อยๆ มากมายในสำนักจุ้ยหลางใช่ไหม?” จู่ๆ ดวงตาของลู่เซียวเซียวก็สว่างขึ้น และเธอก็ถามอย่างตื่นเต้น
"แม้จะเทียบไม่ได้กับหอเทียนเซียง แต่มีอาหารอร่อยมากมาย!" กัวฟู่ยิ้มให้ลู่เซียวเซียวด้วยสายตาประหลาดใจ
ก่อนหน้านี้ เขาได้เห็นอย่างชัดเจนว่าสาวน้อยคนนี้ทานอาหารไปแล้วเกือบครึ่งหนึ่งจากทั้งหมด 108 จานบนโต๊ะ และดูเหมือนเธอจะยังไม่อิ่ม!
หากเขาใช้พลังวิญญาณในร่างเพื่อเร่งการย่อยอาหาร กัวฟู่ก็รู้สึกตนสามารถกินได้มากเหมือนกัน
แต่สาวน้อยตัวเล็กๆ ตรงหน้าเขาไม่ได้ใช้พลังวิญญาณใด ๆ เธอแค่อาศัยปากของตัวเองเพื่อกินอาหารมากมายเข้าไป!
ร่างกายของสาวน้อยคนนี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะกินเยอะขนาดนี้ ถ้าเป็นคนปกติคงท้องแตกตายไปแล้ว!
ยิ่งไปกว่านั้น กัวฟู่ยังรู้สึกได้อย่างคลุมเครือถึงแรงกดดันที่น่ากลัวจากร่างกายของลู่เซียวเซียว ราวกับว่าสัตว์ร้ายโบราณค่อยๆ อ้าปากเปื้อนเลือดเข้ามาหาเขา
กัวฟู่ได้พบกับผู้ฝึกยุทธ์ และสัตว์อสูรมากมายที่มีระดับพลังยุทธ์สูงกว่า แต่ไม่มีใครทำให้เขารู้สึกเช่นนี้ได้