ตอนที่ 11 แขกผู้มาเยือน
ตอนที่ 11 แขกผู้มาเยือน
ดงกุหลาบในเรือนเฉียงเวยกำลังบานสะพรั่ง มันเบียดเสียดกันแน่นปกคลุมทั้งกำแพงสวน งดงามราวแสงตะวันยามรุ่งอรุณ และยิ่งมีชีวิตชีวาเมื่อแต้มตัดกับใบไม้เขียวขจี
อวี้ซีนั่งตั้งอกตั้งใจปักลายกุหลาบลงบนผ้าเช็ดหน้าอยู่ในเรือน แต่ละวันนางใช้เวลาเย็บปักถักร้อยไม่นานนัก จะทำเฉพาะในเวลากลางวันที่มีแสงสว่างเพียงพอเท่านั้น เนื่องจากเคยหักโหมเสียจนเสียสายตาในชาติก่อน
หงซานเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มก่อนกล่าว “คุณหนูเจ้าคะ หลิ่วอิ้นมาแล้ว”
หลิ่วอิ้นมักมาที่เรือนเฉียงเวยเพื่อนำของมาให้ แต่ไม่ใช่สำหรับครั้งนี้ นางมาเพื่อเชิญอวี้ซีไป
อวี้ซีได้รู้เมื่อไปถึงเรือนใหญ่ว่าชิวซื่อเตรียมจะจัดหาเครื่องประดับให้กับเหล่าคุณหนูสักสองสามชิ้น เพื่อให้ดูดียามออกไปข้างนอก
ชิวซื่อเอ่ย "แต่ละคนเลือกได้สองสามชิ้น" ใช่ว่าชิวซื่อตระหนี่ถี่เหนียว แต่เมื่ออวี้จิ้งเห็นของดีก็อยากจะขนกลับไปให้หมด
อวี้จิ้งมองเครื่องประดับในถาดและท้วง "สองสามชิ้นน้อยเกินไป ท่านแม่ เครื่องประดับเหล่านี้งามนัก ข้าอยากเลือกมากกว่านั้น"
ชิวซื่อเตรียมการมาแล้วจึงกล่าว "อีกไม่กี่วันหอหลิงหลงจะมีเครื่องประดับแบบใหม่เข้ามาอีกชุดหนึ่ง ถึงเวลานั้นค่อยซื้อเพิ่มก็ยังไม่สาย" หอหลิงหลงเป็นร้านเครื่องประดับที่ดีที่สุดในเมืองหลวง เครื่องประดับที่นั่นล้ำสมัยและประณีตงดงาม เป็นที่โปรดปรานของสตรีในตระกูลขุนนาง
อวี้จิ้งได้ยินดังนั้นก็เลิกดึงดันอยากได้เครื่องประดับตรงหน้า
อวี้ซีเป็นคนสุดท้อง ทุกครั้งที่เลือกของจึงมักเป็นคนสุดท้าย "ท่านป้า พี่สามยังไม่มาเลย" นั่นหมายความว่ามีลำดับก่อนหลัง หากอวี้เฉินยังไม่เลือกนางก็ยังเลือกไม่ได้
ชิวซื่อยิ้มกล่าว "พี่สามของเจ้ามีของแล้ว"
แววริษยาปรากฎในสายตาอวี้จิ้งหลังได้ยิน ไม่แปลกที่จะเป็นเช่นนั้น เครื่องแต่งกายและเครื่องประดับที่อวี้เฉินสวมใส่ล้วนเป็นของดีทั้งสิ้น แม้ว่าหันกั๋วกงจะโปรดปรานอวี้จิ้งเป็นพิเศษและมักจะมอบผ้าและเครื่องประดับชั้นดีให้ ทว่าเมื่อเทียบกับอวี้เฉินแล้วก็ยังห่างกันราวฟ้ากับเหว
อวี้ซีเหลือบมองอวี้จิ้งก็รู้ว่าทันความคิดอีกฝ่าย เรียกได้ว่าการที่มีอวี้เฉินอยู่ในจวนกั๋วกงเป็นความโชคร้ายของคุณหนูทุกคน
ชิวซื่อเอ่ยพลางยิ้ม "อวี้ซี รออะไรอยู่เล่า"
อวี้ซีถึงได้เดินไปที่ถาด เลือกเครื่องประดับศรีษะรูปกุหลาบสีแดงทับทิมประดับไข่มุก และต่างหูหยกสีแดงทับทิมทรงหยดน้ำ จากประสบการณ์ที่ต้องหลบหนี ทำให้นางชอบเครื่องประดับที่ดูมีค่าและราคาแพง
หลังอวี้หรูและอวี้จิ้งกลับไป ชิวซื่อก็สั่งให้สาวใช้ไปหยิบสร้อยทองคำประดับหยกมาให้อวี้ซี
อวี้ซีรีบกล่าวปฏิเสธ "ท่านป้า สิ่งนี้มีค่าเกินไป ข้ารับไว้ไม่ได้" สร้อยทองคำนี้ประณีตงดงาม ยังมีไข่มุกกลมที่ห้อยเป็นจี้ลงมาอีกด้วย มูลค่าน่าจะอยู่ที่เจ็ดแปดร้อยตำลึงเงิน
ชิวซื่อลูบหัวเด็กหญิงและเอ่ยยิ้มแย้ม "นี่เป็นสินเดิมของข้า ตอนนี้ไม่ได้ใช้แล้ว ข้าไม่มีลูกสาว ให้เจ้านับว่าเหมาะสมแล้ว" พูดจบก็สวมสร้อยทองคำเส้นนั้นให้อวี้ซี
อวี้ซีตอบรับอย่างเขินอายเล็กน้อย "ขอบคุณท่านป้า" ช่วงสองเดือนมานี้ ชิวซื่อมักมอบของให้นางเป็นครั้งคราว ก่อนหน้านี้เป็นผ้าและอาหาร คราวนี้เป็นของชิ้นใหญ่
นางไม่ได้ปิดบังใคร สวมสร้อยทองคำประดับหยกกลับไปยังเรือนเฉียงเวย ข่าวในจวนกั๋วกงแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ไม่ถึงครึ่งวันก็รู้กันให้ทั่วว่าชิวซื่อมอบของล้ำค่าให้กับอวี้ซี
ครั้นอวี้จิ้งรู้ว่าอวี้ซีได้สร้อยทองคำประดับหยกก็อดเหน็บแนมไม่ได้ "สอพลอ" แม้ว่านางจะเอาแต่ใจแต่ก็ไม่โง่ ชิวซื่อไม่ชอบนาง แต่ที่ไม่เคยหักส่วนกลางก็เพื่อรักษาหน้าตนเอง ทว่าหากคิดจะได้ของดีจากชิวซื่อนั้นไม่ต่างอะไรกับการเพ้อฝัน
อวี้หรูรู้เรื่องนี้ก็เงียบไปนาน ก่อนอวี้ซีจะเป็นฝีดาษ ชิวซื่อปฏิบัติต่อนางอย่างดี แต่หลังจากหายป่วยอีกฝ่ายกลับเย็นชาต่อนางยิ่งขึ้น
ชิงซวนปลอบใจเมื่อเห็นอวี้หรูเศร้าโศก "คุณหนูเจ้าคะ ฮูหยินใหญ่ดีต่อคุณหนูสี่เพราะระลึกถึงบุญคุณช่วยชีวิต ฮูหยินใหญ่ยังรักคุณหนูอยู่นะเจ้าคะ"
อวี้หรูนิ่งเงียบ นางรู้แก่ใจว่าท่านแม่รักนางหรือไม่ อีกฝ่ายไม่โปรดปรานอวี้จิ้ง มีอวี้จิ้งอยู่ด้วยนางย่อมได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ทว่าก็เพิ่งได้รู้ว่าความเอ็นดูที่มารดามีต่อนางแท้จริงแล้วเป็นเพียงการแสดงหลังอวี้ซีหายดี
ด้านอวี้ซีไม่รู้แม้แต่น้อยว่าสร้อยทองคำประดับหยกเส้นหนึ่งจะทำให้ตนเองตกเป็นประเด็นในความคิดของหลายคนได้ เมื่อกลับไปที่เรือนเฉียงเวยก็สั่งให้โม่จวีเปิดตู้เสื้อผ้า
สาวใช้ถามด้วยรอยยิ้ม "เหตุใดอยู่ ๆ คุณหนูถึงคิดจะดูเสื้อผ้าเจ้าคะ"
อวี้ซีตอบ "พรุ่งนี้จะไปเยี่ยมญาติที่บ้านท่านลุง ต้องแต่งตัวให้ดูดี"
เมื่อถึงวันไปเยือนจวนสกุลโจว อวี้ซีสวมชุดสีแดง ถักเปียสองข้าง บนศีรษะมีกุหลาบสีแดงทับทิมประดับไข่มุก สวมสร้อยทองคำประดับหยกที่คอ สวมกำไลทองที่แขน ใบหน้าขาวเนียนใสยิ่งเสริมให้ดูงดงามเป็นพิเศษ
อวี้จิ้งสวมชุดสีแดงเช่นกัน ทว่าเจ้าตัวโตเป็นสาวแล้ว ชุดที่สวมใส่จึงต่างจากอวี้ซี อวี้หรูสวมชุดสีเหลืองอ่อน แต่งตัวเรียบร้อย เมื่อยืนอยู่ด้วยกันอวี้จิ้งจึงกลายเป็นคนที่โดดเด่นที่สุด
น่าเสียดายที่ช่วงเวลานี้สั้นนัก เมื่อไปถึงเรือนใหญ่และได้พบกับอวี้เฉิน สีหน้าของอวี้จิ้งก็ไม่ค่อยดีนัก
อวี้เฉินอยู่ในชุดสีน้ำเงินเข้ม ไม่ได้จงใจแต่งตัวมากนัก ทว่าแม้จะดูธรรมดา แต่ยามยืนก็เสมือนนางฟ้าจากการสรรสร้างด้วยมือพระโพธิสัตว์ ทำให้อวี้จิ้งที่ประโคมแต่งตัวมากลายเป็นเศษซากในทันที
อวี้ซีไม่รู้เรื่องนี้ นางเดินเข้าไปหาพร้อมรอยยิ้มและกล่าว "พี่สาม"
อวี้เฉินพยักหน้ารับเล็กน้อย ก่อนทักทายอวี้หรูและอวี้จิ้ง น่าเสียดายที่ทุกครั้งที่ทั้งสองมักรู้สึกไม่สนิทใจนักเมื่อต้องเผชิญหน้ากับอวี้เฉิน
จวนโหวชางผิงสกุลโจวเป็นบ้านเดิมของฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินผู้เฒ่าและโหวชางผิงคนปัจจุบันเป็นพี่น้องกัน เวลานี้ในชาติก่อนร่างกายของอวี้ซียังไม่ฟื้นตัวดี ต้องพักรักษาตัวอยู่ในเรือนเฉียงเวย จึงพลาดโอกาสเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของฮูหยินโหวชางผิงจึงไม่เกี่ยวกับอวี้ซี
จวนโหวชางผิงไม่กว้างขวางเท่าจวนกั๋วกง แต่ก็หรูหราโอ่อ่ามาก ตกแต่งอย่างประณีตทุกหนแห่ง ข้ารับใช้สุภาพอ่อนน้อม
เมื่อไปถึงจวนโหวชางผิง สิ่งแรกที่ต้องทำคือไปพบกับฮูหยินผู้เฒ่าโจว ฮูหยินผู้เฒ่าโจวสวมชุดสีทองลายมังกรหมื่นตัว ท่าทางดูใจดีมีเมตตา
หญิงชรามองอวี้ซีพลางยิ้มกล่าว "เด็กคนนี้ดูดีจัง" คนแก่ชมชอบความมีชีวิตชีวา เอ็นดูเด็กน้อยที่ขาวเนียนน่ารัก
พบกับผู้ใหญ่ครั้งแรกย่อมต้องมีของขวัญพบหน้า ฮูหยินผู้เฒ่าโจวมอบกำไลทองให้อวี้ซี กำไลวงนี้ยังมีไข่มุกขนาดใหญ่ห้าเม็ดฝังประดับอยู่
ผู้คนในห้องมองกำไลทองวงนั้นด้วยสีหน้าแปลกๆ ไม่ใช่ว่าสิ่งนี้ไร้ค่า ทว่าไม่มีใครคิดสวมใส่เพราะดูดาษดื่นเกินไป
หลังกลับออกไป โจวซื่อซวี่ คุณหนูเก้าแห่งจวนโหวชางผิงก็ยิ้มถามอวี้ซี "เจ้าจะสวมกำไลทองวงนั้นในภายหลังหรือไม่" คำถามนี้ไม่ได้มีเจตนาดีนัก ขาดแต่จะพูดว่าเหตุใดเจ้าถึงชอบทองคำเพียงนี้
อวี้ซีไม่ตอบแต่เพียงกล่าว "หนักเกินไป สวมไม่ได้" แน่นอนว่ายิ่งหนักนางก็ยิ่งชอบ เพราะแสดงว่ามันเป็นของล้ำค่า
ซื่อซวี่หัวเราะคิกคัก "เมื่อเจ้าโตขึ้น เดี๋ยวเจ้าก็จะสวมได้" นางไม่เคยเห็นคนเห็นแก่เงินมากเพียงนี้มาก่อน
อวี้เฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย ทว่าเมื่อมองไปทางอวี้ซีก็ไม่ได้แสดงท่าทีขุ่นเคือง แม้จะไม่สบายใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
เมื่อไปถึงสวนก็มีหญิงสาวร่างเล็กผู้หนึ่งเดินเข้ามาทักทายอวี้เฉิน "น้องเฉิน เจ้าก็มาด้วยหรือ!"
อวี้เฉินแนะนำให้ทั้งสองรู้จักกัน "พี่ซื่อฮว๋า นี่คือน้องสี่ของข้า" โจวซื่อฮว๋าเป็นบุตรสาวคนที่หกของตระกูล ปีนี้อายุได้เจ็ดขวบ
โจวซื่อฮว๋ามองอวี้ซีพลางกล่าวยิ้มแย้ม "น้องอวี้ซีน่ารักจัง"
อวี้ซีไม่เขินอาย ตอบกลับอย่างกล้าหาญ "ขอบคุณพี่สาวที่ชม" เทียบกับอวี้เฉินแล้ว นางเทียบไม่ติดทั้งความงามและความเก่ง จะแต่งตัวอย่างไรก็ไม่พ้นย่ำแย่กว่า ดังนั้นจึงแต่งตัวให้ดูดีและให้คนอื่นชอบ
อวี้ซีเคยมาที่ตระกูลโจวในชาติก่อน แต่กลับได้รับความหมางเมินจากคุณหนูสกุลโจวทั้งหลาย นางเองรู้สึกต่ำต้อย ในภายหลังจึงพยายามเลี่ยงการไปเยือนตระกูลโจว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะการแนะนำของอวี้เฉินหรือไม่ แต่ท่าทีของโจวซื่อฮว๋าต่อนางนั้นดีขึ้นมาก
อีกคนคือคุณหนูแปดแห่งตระกูลโจว โจวซื่อหย่า ปีนี้นางอายุสี่ขวบเช่นกัน เมื่อเห็นอวี้ซีก็ยิ้มบอก "โอ้ เจ้าแต่งตัวสวยมาก"
อวี้ซีมองไปที่อีกฝ่ายแล้วงุนงงเล็กน้อย โจวซื่อหย่าก็สวมชุดสีแดงเช่นกัน ผมเปียประดับด้วยเม็ดประคำปะการังสีสด สร้อยทองคำประดับหยกแปดชิ้นห้อยลงแนบอก สิ่งที่น่าขบขันกว่านั้นคือทั้งสองไม่เพียงแต่งตัวเหมือนกัน แต่หน้าตายังคล้ายคลึงกันอีกด้วย ใบหน้ากลมและขาวเนียน หากอวี้ซีไม่เตี้ยกว่าเล็กน้อย ผู้คนคงคิดว่าทั้งสองเป็นฝาแฝดกัน
อวี้ซีไม่สันทัดการเข้าสังคม จึงตอบไปเป็นพิธี "เจ้าก็สวยเหมือนกัน"
โจวซื่อหย่าได้ยินแล้วหัวเราะร่า "ใช่แล้ว เราสวยกันทั้งคู่" โจวซื่อหย่าเป็นลูกสาวคนแรกและคนเดียวของตระกูลรอง จึงเป็นที่โปรดปรานเป็นพิเศษและมีนิสัยที่ไร้เดียงสา
โจวซื่อฮว๋าได้ยินดังนั้นก็หมดคำจะกล่าว "น้องสาว แถวนี้มียายหวางขายแตงด้วยหรือ"
*ยายหวางขายแตง = มาจากสำนวน ‘เหล่าหวางขายแตง ขายเองชมเอง’
โจวซื่อหย่าหันไปกระพริบตาโตพลางถาม "พี่หก เจ้าไม่คิดว่าข้ากับลูกพี่ลูกน้องสี่สวยหรือ" พร้อมท่าทางเหมือนจะร้องไห้หากตอบว่าไม่สวย
ฝ่ายพี่สาวหัวเราะเบาๆ "สวยสิ น้องแปดของข้าดีที่สุด น้องแปด ลูกพี่ลูกน้องสี่อยู่คนเดียวคงเบื่อ เจ้าไปเล่นกับนางหน่อยได้ไหม"
เด็กหญิงปั้นหน้าบึ้งใส่โจวซื่อฮว๋าก่อนกล่าวกับอวี้ซี "ลูกพี่ลูกน้อง ที่ศาลาโน้นมีของอร่อยมากมาย เราไปที่นั่นกัน"
อวี้ซีรู้ว่านางต้องพัฒนาทักษะการเข้าสังคม การมีเพื่อนมากขึ้นไม่เพียงแต่จะได้คนพูดคุยด้วย ยังเป็นการสร้างสายสัมพันธ์อีกด้วย นางจึงไม่คิดปฏิเสธน้ำใจของซื่อหย่า
ซื่อหย่าพานางไปที่ศาลาและสั่งให้สาวใช้ยกผลไม้และขนมมาให้ เหลือบมองผลไม้บนโต๊ะและพูดกับสาวใช้ข้างกาย "ไปหยิบลิ้นจี่ที่ท่านลุงส่งมาที"
อวี้ซีเคยกินลิ้นจี่แต่มีโอกาสน้อยนัก เนื่องจากขนส่งมาจากทางใต้ คนทั่วไปไม่มีปัญญา แม้แต่จวนกั๋วกงยังกินได้ไม่บ่อยนัก "ไม่ต้องหรอก สิ่งนั้นแพงหูฉี่!" ลิ้นจี่หนึ่งชั่งในตลาดราคาตั้งสองสามตำลึงเงิน
ซื่อหย่าเม้มปากและยกยิ้ม "นี่เป็นของที่ท่านลุงของข้าส่งมาจากฝูเจี้ยน ไม่ต้องใช้เงิน"
อวี้ซีลำบากใจเล็กน้อย "เจ้าเก็บไว้กินเองเถิด"
ซื่อหย่ารู้สึกว่าอวี้ซีคิดมากเกินไป "ให้กินก็กิน จะพูดมากทำไม"
คนรับใช้รีบยกลิ้นจี่มาหนึ่งจาน ซื่อหย่าปอกเปลือกเผยให้เห็นเนื้อผลไม้ขาวนวล เมื่อเห็นอวี้ซีนิ่งไปก็รีบบอก "รีบกินเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวพวกนางมาแล้วจะไม่มีเหลือให้กิน" นี่เป็นของส่วนตัว ไม่ใช่ใครจะกินก็ได้
อวี้ซีคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ไม่เกรงใจอีกต่อไป ทั้งสองผลัดกันกินคนละลูก
โจวซื่อฮว๋ามองอวี้ซีและซื่อหย่าที่อยู่ห่าง ๆ แล้วรู้สึกว่าทั้งสองเข้ากันได้ดีจึงยิ้มและพูดกับอวี้เฉิน "ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าน้องสี่ขี้อายมาก แต่ข้าว่านางค่อนข้างน่าสนใจไม่น้อย!"
อวี้เฉินยิ้มรับ "หลังจากน้องสี่หายป่วยแล้ว นางก็ฉลาดขึ้นมาก"
โจวซื่อฮว๋ารู้สึกสนใจขึ้นมา ในช่วงที่ฝีดาษระบาดในเมืองหลวง แม้แต่ในจวนของพวกนางก็มีเด็กสี่คนติดเชื้อและเสียชีวิตไป คนที่รอดชีวิตมาได้นับว่าโชคดีและแข็งแรงมาก
ตอนจะกลับโจวซื่อหย่ายังจับมืออวี้ซีไม่ปล่อยพลางกล่าว "ลูกพี่ลูกน้องสี่ ครั้งหน้าเราแต่งตัวเหมือนกันอีกนะ แล้วก็ต้องใส่เครื่องประดับเหมือนกันด้วย ถึงเวลานั้นคนอื่นเห็นเราแล้วต้องคิดว่าเราเป็นฝาแฝดแน่ ฮ่าๆ แค่คิดก็สนุกแล้ว"
อวี้ซีหน้าเจื่อน เด็กคนนี้พูดไม่หยุดตั้งแต่เช้า ไม่เหนื่อยบ้างเลยหรือ "ไว้ว่ากันคราวหน้าเถิด"
ไปเยือนจวนโหวชางผิงมากลับได้เพื่อนจอมเจรจามาหนึ่งคน
อวี้เฉินมาจวนโหวชางผิงหลายครั้งแล้ว รู้นิสัยของคุณหนูแปดดีจึงยิ้มบอกกับอวี้ซี "นอกจากช่างจ้อแล้ว น้องแปดยังเข้ากับคนง่ายด้วย"
อวี้ซีเอ่ยหน้าเหนื่อยหน่าย "ข้ารู้" ทุกคนมีข้อเสีย นางเองก็มีข้อเสียมากมาย ตราบใดที่จิตใจดี สิ่งอื่นไม่สำคัญอีก
เมื่อชิวซื่อรู้ว่าโจวซื่อหย่าขอให้อวี้ซีแต่งตัวเหมือนกันในครั้งต่อไปก็รู้สึกขบขัน "อวี้ซี ครั้งต่อไปเจ้าลองแต่งตัวเหมือนซื่อหย่า ข้าว่ามันน่าสนุกดี"
อวี้ซีรีบส่ายหัวปฏิเสธ "ไม่เอา" นางไม่ต้องการให้คนอื่นมองนางเหมือนลิง!
ชิวซื่อเพียงหยอกล้อ แต่เมื่อเห็นท่าทีต่อต้านของเด็กหญิงก็เลิกพูดถึงเรื่องนี้ “อวี้ซี ต่อไปเจ้าต้องหัดออกไปข้างนอกให้มากกว่านี้” สาวใช้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้นางทราบแล้ว วันนี้อวี้ซียังทำได้ไม่ดีนัก แต่เพราะเห็นว่าเป็นครั้งแรกของหลานสาวจึงยังไม่คิดตำหนิ ถึงกระนั้นนางก็ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าต่อไปจะพาอวี้ซีออกไปพบปะผู้คนให้มากขึ้น ไม่เช่นนั้นหากเข้าสังคมไม่เป็นคงลำบากกันยกใหญ่
อวี้ซีย่อมไม่อาจปฏิเสธได้ “ได้” นางเห็นอวี้เฉินสนิทสนมกับโจวซื่อฮว๋าและคนอื่นๆ แล้วนึกอิจฉาและละอายใจ สมแล้วที่ฮูหยินผู้เฒ่าโปรดปรานพี่สาวผู้เพียบพร้อมทุกด้านเป็นพิเศษ