ตอนที่ 26: โถงพิทักษ์กฎ
ตอนที่ 26: โถงพิทักษ์กฎ
ทันทีที่เฝิงต้าฟู่กลับยอดเขาเหมันต์น้อยก็เห็นศิษย์รับใช้หลายคนจากหุบเขาร้อยหญ้ากำลังเดินไปมาด้วยความวิตกกังวล
“พวกเจ้ามากันกี่คน? แล้วกำลังทำอะไรน่ะ?”
“อาจารย์เฝิง ศิษย์พี่เฝิง ท่านกลับมาแล้ว” ซุนเสียนแทบจะหลั่งน้ำตาด้วยความยินดี
“เกิดอะไรขึ้น?” เฝิงต้าฟู่ไม่พอใจ
“มะ มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น…”
ซุนเสียนไม่กล้าปกปิดสิ่งใดก่อนจะสรุปเรื่องราวให้สั้นลงทันที เขากับเถียนจื้อเล่าเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในหุบเขาร้อยหญ้าให้ฟัง
สีหน้าของเฝิงต้าฟู่ยิ่งหนักอึ้ง หลังจากซุนเสียนเอ่ยคำจบ เขาจึงตั้งคำถาม “เรื่องนี้ถือว่าสำคัญมาก หากเป็นจริงดังที่เจ้าว่ามา พลังวิญญาณของพวกจูเจิ้นทั้งสองน่าจะถูกสูบออกไปหมดแล้ว มันต้องเป็นฝีมือของวิญญาณร้ายไม่ผิดแน่ หากวิญญาณร้ายเข้าสู่สำนักขึ้นมา สำนักจะต้องเกิดการสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ เจ้าคงเข้าใจดีใช่ไหมว่าถ้ามีการโกหกแม้แต่นิดเดียวขึ้นมา…”
“ศิษย์พี่เฝิงโปรดวางใจ สิ่งที่พวกเขาพูดมาไม่ใช่เรื่องโกหกแน่นอน” ซุนเสียนกับเถียนจื้อมองหน้ากันก่อนจะพยักหน้าหนักแน่น แล้วคนอื่นที่ตามมาด้วยจึงพยักหน้าอย่างเห็นด้วยเช่นกัน
ฉากในหุบเขาร้อยหญ้า พวกเขาจะลืมได้อย่างไร
เฝิงต้าฟู่กัดฟันก่อนจะตัดสินใจไปดูด้วยตัวเอง หากเป็นกับดักที่คนตรงหน้าล่อเขาขึ้นมาจะทำอย่างไร? เรื่องนี้ใหญ่มันมากเกินไป มากถึงขนาดที่สามารถทำให้ผู้อาวุโสตื่นตัวได้ หากเป็นเรื่องโกหก งานของเขาในฐานะผู้ดูแลศิษย์รับใช้ก็เป็นอันจบสิ้น แม้แต่ลูกพี่ลูกน้องก็ไม่สามารถปกป้องได้
“มา พาข้าไปที่นั่น”
ผู้คนทั้งหลายต่างวิ่งไปที่หุบเขาร้อยหญ้าโดยไม่หยุดพัก
ไม่ช้าพวกเขาจึงมาถึงที่พักของจูเจิ้นในหุบเขาร้อยหญ้า
เมื่อเห็นเฝิงต้าฟู่กำลังมา ในที่สุดเหล่าศิษย์รับใช้ที่กำลังรายล้อมจึงตั้งหลักได้ก่อนจะเข้ามาใกล้มากขึ้น
“ถอยไปเลย ห้ามใครออกเป็นอันขาด”
เฝิงต้าฟู่เห็นผู้คนจำนวนมากขนาดนี้ มีหรือจะไม่ทราบว่าเรื่องนี้จริงเท็จแค่ไหน เขาเดินเข้าไปในห้องของจูเจิ้นขณะมองโลหิตและซากศพที่เหี่ยวแห้ง แล้วใบหน้าจึงซีดเผือดเป็นอย่างมาก
อึ่ก!
หลังจากนั้น ยันต์สื่อสารใบหนึ่งทะยานขึ้นสู่ท้องนภา
บนยอดเขามีตำหนักสีดำสนิทอันเคร่งขรึมและสง่างามที่รายล้อมไปด้วยป่า สถานที่แห่งนั้นคือโถงพิทักษ์กฎ
ภายในเวลาไม่ถึงสิบอึดใจหลังจากยันต์สื่อสารทะยานเข้าไปในโถงพิทักษ์กฎ ร่างหนึ่งซึ่งยืนอยู่บนเครื่องมือวิเศษบินได้ทะยานสู่ท้องนภา หากมองอย่างละเอียดก็จะพบว่ามีอยู่หลายสิบคน แต่ละคนเปี่ยมด้วยกลิ่นอายแข็งแกร่งและสวมชุดคลุมสีม่วง ขณะทะยานสู่ผืนฟ้าก็ลากหางเปลวเพลิงวิญญาณยาวไปตามทางขณะมุ่งตรงสู่หุบเขาร้อยหญ้า
ไม่ว่าผ่านที่ใด ศิษย์ทั้งหลายต่างมองดูการเคลื่อนไหวอันน่าอัศจรรย์นี้ด้วยความสนใจ
หวังฝูเพิ่งกินข้าวเที่ยงเสร็จและกำลังจะศึกษาการทำงานทั้งหลายของชุดคลุมสีน้ำเงินที่เพิ่งเปลี่ยนมา หลังจากได้เห็นฉากอันยิ่งใหญ่ก็อดไม่ได้ที่จะเดินตามชุดคลุมสีม่วงที่ส่งเสียงหวีดหวิวผ่านท้องนภา ไม่ช้าจึงเดินออกจากลานกว้างไป
ไม่ไกลจากลานกว้าง ศิษย์สองคนจากสำนักสายนอกกำลังสนทนากันอยู่
“คนจากโถงพิทักษ์กฎมารวมตัวมากในคราวเดียวแบบนี้ ต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นไม่ผิดแน่ ข้าเพิ่งเห็นอาจารย์อาขอบเขตสร้างรากฐานไปด้วยเหมือนกัน”
หวังฝูอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปถาม “ข้ามีนามว่าหวังฝู ยินดีที่ได้พบศิษย์พี่ทั้งสองท่าน ขอถามหน่อยได้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น?”
“ศิษย์น้องคนนี้เป็นเด็กใหม่หรือ?” หนึ่งในพวกเขามองหวังฝู เมื่อเห็นหวังฝูพยักหน้าจึงเอ่ยคำต่อ “คนเหล่านี้ล้วนเป็นสมาชิกของโถงพิทักษ์กฎของสำนัก ทักษะสูงส่ง เชี่ยวชาญในการรับมือกับศิษย์ที่ละเมิดกฎของสำนักและแปรพักตร์ไปอยู่กับสำนักอื่น ทว่าใครกันที่มีแรงกดดันมากพอจนอาจารย์อาขอบเขตสร้างรากฐานต้องนำทัพมาจับกุมตัว…”
“ดูเหมือนจะไม่ใช่การจับกุมธรรมดาด้วย เกรงว่าคงเกิดเรื่องใหญ่นั่นแหละ พวกเขาเหมือนจะมุ่งหน้าไปทางสี่ยอดเขาของศิษย์รับใช้ คงมีเหตุการณ์ใหญ่โตเกิดขึ้นที่นั่นจนทำให้โถงพิทักษ์กฎต้องตื่นตัว” ผู้ชายอีกคนในชุดคลุมสีเหลืองส่ายหน้าพลางหัวเราะ “เหอะเหอะ… แต่ไม่ว่ายังไง ฉากอันยิ่งใหญ่เช่นนั้นยังนับว่าหายากอยู่ดี นอกจากโถงยุทธวิธีแล้ว คนในชุดคลุมสีม่วงจากโถงพิทักษ์กฎก็มีพลังยุทธสูงสุดในสำนักขนนกร่วงโรยของพวกเรา”
“ใช่แล้วใช่แล้ว…”
“จริงสิ ศิษย์น้องหวังฝูเพิ่งมาใหม่ สถานที่แห่งนี้ค่อนข้างห่างไกลจากยอดเขาขนนกโบยบิน พวกเราเลือกสถานที่นี้ก็เพื่อความเงียบสงบนี่แหละ” ศิษย์พี่ชุดคลุมสีเหลืองแย้มยิ้มขณะมองหวังฝู “แต่ว่านะศิษย์น้องหวังฝู เหตุใดเจ้าถึงเลือกสถานที่นี้เหมือนกันหรือ?”
“ต้องขออภัยศิษย์พี่ทั้งหลายด้วย ข้าไม่ค่อยชอบอยู่บนหน้าผาเท่าไหร่” หวังฝูเกาศีรษะด้วยความรู้สึกเขินอายเล็กน้อย เขาไม่กล้าบอกว่ากังวลเรื่องตกหน้าผา “ขอโทษด้วยที่รบกวนศิษย์พี่”
“ฮ่าฮ่า… ไม่รบกวนหรอก”
“ข้าชื่อหยางหลุน…”
“ฉีหลี่…”
“จากนี้ไปพวกเราทั้งสามเป็นเพื่อนบ้านกัน”
หวังฝูไม่ได้รู้สึกอะไรกับเพื่อนบ้านแปลกหน้าทั้งสอง ถึงอย่างไรลานกว้างก็ได้รับการปกป้องจากค่ายกล นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีใครเข้ามาได้
หลังจากกลับไปที่ลานกว้าง หวังฝูจึงมองไปทางที่ศิษย์ของโถงพิทักษ์กฎมุ่งหน้าไปด้วยความรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
“โถงพิทักษ์กฎ… ร่างของจูเจิ้นกับจางเหิงน่าจะถูกศิษย์รับใช้พบแล้ว แต่เราใช้วิชาปฐพีหลบลี้เพื่อลอบออกมาโดยไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้แล้ว เพราะงั้นคงสาวมาไม่ถึงตัวเราหรอก”
“เหอะเหอะ…”
“แค่ฝึกฝนอย่างสบายใจก็พอ”
…
หวังฝูคิดถูก หลายสิบคนที่มาจากโถงพิทักษ์กฎมาถึงหุบเขาร้อยหญ้าก่อนจะปิดล้อมทั่วทั้งหุบเขาเพื่อค้นหาทุกหนแห่งทันที โดยเฉพาะอาจารย์อาขอบเขตสร้างรากฐานจากโถงพิทักษ์กฎใช้จิตเทวะกวาดไปทั่วหุบเขา กระนั้นก็ไม่พบเบาะแสแต่อย่างใด
ราวกับสองคนนี้ตายอย่างไม่ทราบสาเหตุ
แต่ความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้คือพลังวิญญาณของพวกเขาถูกกลืนกินจนสิ้น
มีเพียงการใช้เคล็ดวิชาชั่วร้ายเท่านั้นจึงจะทำแบบนี้ได้ พวกเขาเชื่อว่าปิศาจร้ายได้แทรกซึมเข้ามาในสำนักแล้ว ดังนั้นจึงได้มีการรายงานต่อเจ้าสำนักกับผู้อาวุโสขอบเขตปราณทอง แล้วทั่วทั้งสำนักจึงอยู่ภายใต้กฎอัยการศึก
โถงพิทักษ์กฎกับโถงยุทธวิธีต่างลาดตระเวนทั่วสำนัก
ศิษย์คนอื่นที่ลาดตระเวนก็มีการเพิ่มกำลังเป็นสองเท่า ส่วนค่ายกลพิทักษ์สำนักได้รับการตรวจสอบตั้งแต่หัวจรดเท้า ทำให้ไม่ต้องกลัวเรื่องช่องโหว่แต่อย่างใด อีกทั้งยังมีผู้อาวุโสขอบเขตปราณทองที่กระจายจิตเทวะออกไปทั้งสี่ทิศเป็นเวลานานอีกด้วย
ศิษย์ที่เข้าออกสำนักได้รับการตรวจสอบและคุ้มกันอย่างเข้มงวดจนกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต ทั่วทั้งสำนักคล้ายกับตกอยู่ในสภาพพร้อมทำศึกอยู่ตลอด ทำให้เกิดความแตกตื่นทุกหนแห่งด้วยเกรงว่าคนบริสุทธิ์จะได้รับผลกระทบ
แต่ว่า หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือนก็ไม่พบตัวปิศาจร้าย พบแต่เพียงสายลับจำนวนมากจากสำนักอื่นเท่านั้น
เจ้าสำนักจึงต้องประกาศยกเลิกกฎอัยการศึกอย่างช่วยไม่ได้ แล้วในที่สุดทุกคนจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ทว่ายังคงมีศิษย์จากโถงพิทักษ์กฎที่ลอบจับตาดูทุกหนแห่ง หากมีปิศาจร้ายลอบเข้ามาจริง มันก็อยู่ที่เวลาเท่านั้นก่อนจะเปิดเผยตัวออกมา
แต่น่าเสียดายที่ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าปิศาจร้าย มีเพียงศิษย์สายนอกที่กำลังฝึกฝนอย่างหนักพร้อมกับศึกษา “คัมภีร์ยันต์สวรรค์” อยู่ในลานกว้างอันห่างไกลบนยอดเขาขนนกโบยบิน
…
หลังจากตั้งหลักปักฐานในลานกว้างได้แล้ว หวังฝูจึงไม่ต้องห่วงว่าจะถูกผู้อื่นรบกวน อีกทั้งยังไม่มีภารกิจหนักประจำวันจากตำหนักกิจการทั่วไปอีกแล้ว อีกทั้งยังไม่จำเป็นล้างเนื้อล้างตัวเพราะชุดคลุมที่สวมใส่อยู่ด้วย
ชุดคลุมดังกล่าวมีความสามารถพิเศษ ไม่เพียงแต่ขจัดฝุ่นธุลีกับทำให้จิตใจสงบแล้ว มันยังสามารถรวบรวมปราณวิญญาณได้อีกด้วย แม้จำนวนจะน้อยนิด แต่นับว่าเป็นการเปิดหูเปิดตาหวังฝูไม่น้อย
เขาต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงจึงจะฝึกฝนวิชาไร้คุณสมบัติทั้งห้าจนไปถึงระดับกลางได้สำเร็จ จากนั้นหวังฝูจึงเปิดถุงเก็บของที่ได้มาจากซ่งจิ่งถังก่อนจะนำอาวุธวิเศษระดับต่ำสองชิ้นออกมาจากข้างใน
มันคือสิ่งที่ถูกหลอมขึ้นมา
อาวุธโจมตีระดับต่ำ ใบมีดขนนกสะเทือน
อาวุธป้องกันระดับต่ำ โล่เกราะเหลือง
หวังฝูสัมผัสอาวุธวิเศษทั้งสองในมือก่อนจะรู้สึกพึงพอใจมาก แม้พวกมันจะเป็นเพียงอาวุธวิเศษระดับต่ำ แต่ก็มีความหมายพิเศษในตัวของมันเอง ถึงอย่างไรพวกมันคืออาวุธวิเศษชิ้นที่หนึ่งและสองที่เขาได้รับมา
ใบมีดขนนกสะเทือนคือใบมีดคมปลาบที่มีรูปทรงเหมือนกับขนนก หวังฝูรู้สึกถูกชะตาตั้งแต่แรกเห็นขณะถ่ายทอดพลังวิญญาณเข้าไปทันที แล้วใบมีดขนนกสะเทือนจึงลอยขึ้นพร้อมกับสั่นไหวเล็กน้อย ด้วยการใช้จิตเทวะสัมผัส ใบมีดขนนกสะเทือนกลายเป็นลำแสงคมปลาบ ภายใต้การควบคุมของจิตเทวะ มันห้อมล้อมร่างของหวังฝูและใช้งานง่ายราวกับเป็นแขนของตัวเอง
หวังฝูมองโล่เกราะเหลืองในมืออีกข้างขณะถ่ายทอดพลังวิญญาณเข้าไปอีกครั้งเพื่อทำการควบคุม แล้วโล่เกราะเหลืองจึงขยายใหญ่จนมีขนาดเท่าครึ่งหนึ่งของบานประตู
“แม้จิตเทวะของเราจะแข็งแกร่งกว่าคนที่อยู่ระดับเดียวกัน แต่เป็นการยากที่จะควบคุมอาวุธวิเศษสองชิ้นพร้อมกันได้ มันทำให้ความเร็วของเราลดลงไปครึ่งหนึ่ง ส่วนพลังของใบมีดขนนกสะเทือนก็ลดลงไปมาก ดูท่าว่ามีเพียงการทะลวงสู่ขอบเขตกลั่นปราณขั้นท้ายเท่านั้นจึงจะสามารถควบคุมอาวุธวิเศษสองชิ้นได้โดยไม่มีแรงกดดันอะไร”
หลังจากเก็บอาวุธวิเศษสองชิ้นแล้วจึงสัมผัสได้ว่าจิตเทวะอ่อนกำลัง หวังฝูจึงส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ