MDB ตอนที่ 480 คมดาบวิญญาณร้าย
หลินจินไม่ขาดเงินอีกต่อไปแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่สามารถหาเงินได้มากมายนัก แต่เงินสองสามพันเหรียญก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา
หลังจากออกจากสำนักงานใหญ่สมาคมผู้ประเมินสัตว์วิเศษ ความตื่นเต้นของหลินจินก็ค่อย ๆ จางลง แน่นอนเขาอยู่ในอารมณ์ดี แต่ไม่ถึงขั้นตื่นเต้นจนควบคุมไม่ได้ หากเขาอยู่ที่เมืองมังกรหยก ทั้งเมืองคงรู้ทันทีที่เขาผ่านการประเมินระดับสี่ อันที่จริง เขาแน่ใจว่าพวกเขาจะจัดงานฉลองให้เขาด้วยซ้ำ
'จริงสิ ฉันควรเขียนจดหมายถึงผู้ประเมินตันซุนเพื่อบอกข่าวดีกับเขา' หลินจินคิด
ตันซุนเป็นคนที่แนะนำเขาให้มาเลื่อนระดับ ตอนนี้ผลออกมาแล้ว เขาต้องแจ้งข่าวดีให้ผู้ประเมินตันทราบ
สำหรับคนอื่น ๆ ไว้เขาไปบอกทีหลังล่ะกัน
หลินจินไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องเขียนจดหมายมากมายขนาดนี้ เพราะเขามั่นใจว่าหลังจากจดหมายฉบับนี้ฉบับเดียว คนอื่น ๆ จะต้องรู้เรื่องระดับใหม่ของเขาในไม่ช้า
ด้วยความคิดนี้ หลินจินจึงกลับมาที่โรงเตี๊ยม
สิ่งที่ทำให้หลินจินงุนงงคือความจริงที่ว่ากู่เมียงจงยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะเดียวกันบนชั้นหนึ่ง โดยจมดิ่งอยู่กับ 'มนต์คาถานักบุญแห่งศิลปะการต่อสู้' ในมือของเขา โดยรวมแล้วผ่านไปสี่ชั่วโมงแล้วนับตั้งแต่หลินจินออกจากโรงเตี๊ยมเมื่อเช้านี้
เป็นไปได้หรือไม่ว่ากู่เมียงจงนั่งอยู่ที่นี่มาตลอดสี่ชั่วโมง
เห็นได้ชัดว่าเจ้าของร้านได้ฟังคำสั่งของหลินจิน เนื่องจากกู่เมียงจงยังคงนั่งอยู่ที่นั่นโดยไม่ได้รับการรบกวน อย่างไรก็ตาม หลินจินสามารถบอกได้ว่าเจ้าของร้านดูวิตกกังวลมากเพียงใด
หลินจินเดินไปหาและกระแอมในลำคอ แม้ว่าจะทำเช่นนั้นกู่เมียงจงก็ยังคงจดจ่ออยู่กับหนังสือราวกับว่าเขากำลังครุ่นคิดถึงคำถามยาก ๆ อยู่
เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว หลินจินทำได้เพียงแค่ตบไหล่เขาเท่านั้น ไม่ใช่แค่ตบธรรมดา ๆ แต่อย่างใด เขาใช้พลังวิญญาณเล็กน้อยเพื่อดึงดูดความสนใจของกู่เมียงจง ขณะที่เขาส่งเสียงเรียก
"อาจารย์กู่?"
"ฮะ?" ราวกับว่าเขาเพิ่งตื่นจากภวังค์ ร่างของกู่เหมิงจงสะดุ้งโหยง เขาเงยหน้าขึ้นด้วยความหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัดที่ถูกรบกวน แต่หลังจากเห็นว่าเป็นหลินจิน กู่เมียงงจงก็เผยรอยยิ้มกว้าง
“น้องหลิน ‘มนต์คาถานักบุญแห่งศิลปะการต่อสู้’ ของเจ้ายอดเยี่ยมมาก ถือเป็นสมบัติล้ำค่าที่ประเมินค่าไม่ได้เลย เจ้าไปเอามันมาจากไหนเหรอ? ข้าขอยืมมันอีกสักสองสามวันได้ไหม?”
การกระทำของเขาทำให้หลินจินนึกถึงเด็กในเช้าวันคริสต์มาส กู่เมียงจงทุ่มเทกับการอ่านหนังสือมากเกินกว่าจะละทิ้งมันไปได้ในตอนนี้
พื้นฐานด้านศิลปะการต่อสู้ของหลินจินนั้นอ่อนแอ และเขาแน่ใจว่าเขาจะไม่ใช้เวลาอีกสองสามทศวรรษในการฝึกฝน และขัดเกลาเทคนิคของเขา
ดังนั้น ‘มนต์คาถานักบุญแห่งศิลปะการต่อสู้’ นี้จึงไม่มีความหมายสำหรับเขาเลย
แต่ไม่ใช่กับกู่เมียงจง
กู่เมียงจงมีประสบการณ์การฟันดาบมากกว่าสิบปีแล้ว ด้วยเหตุนี้ ‘มนต์คาถานักบุญแห่งศิลปะการต่อสู้’ จึงสามารถช่วยเพิ่มพลังของเขาได้เป็นสองเท่า ไม่แปลกเลยที่เขาจะปฏิบัติกับหนังสือเล่มนี้เหมือนเป็นสมบัติ
หลินจินพยักหน้า
“ข้าไม่เห็นว่าการให้ยืมหนังสือเล่มนี้แก่อาจารย์กู่จะเป็นเรื่องน่ากังวล ท่านสามารถเก็บมันไว้ได้อีกสองสามวัน แต่ท่านควรรู้ว่ามีข้อจำกัดในการกระทำสิ่งต่าง ๆ ดังนั้นโปรดพักผ่อนก่อน ไว้ท่านค่อยอ่านมันต่อหลังอาหารกลางวันกันเถอะ”
“อาหารกลางวัน?”
กู่เมียงจงตะลึงงัน ตัวเขายังไม่ได้กินอาหารเช้าด้วยซ้ำ แล้วจะกินอาหารกลางวันไปทำไม
เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองข้างนอก ขากรรไกรของเขาก็แทบตกลงกับพื้น
เขาหมกมุ่นอยู่กับ ‘มนต์คาถานักบุญแห่งศิลปะการต่อสู้’ มากเกินไปจนหลงลืมเวลาไปโดยสิ้นเชิง
ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงแล้ว
อย่างน้อยก็ผ่านไปสี่ชั่วโมงแล้วตั้งแต่เขาเริ่มอ่านหนังสือ
ท่ามกลางความประหลาดใจของเขา กู่เมียงจงจำได้ทันทีว่าหลินจินจะต้องเข้าร่วมการประเมินระดับสี่ที่สำนักงานใหญ่ของสมาคมประเมินสัตว์วิเศษ เขากำลังจะถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เมื่อเขาสังเกตเห็นลวดลายสัตว์ร้ายสี่วงบนแขนเสื้อของหลินจิน เขาก็ได้รับคำตอบในทันใด
นั่นทำให้ดวงตาของกู่เมียงจงเบิกกว้างเหมือนกับไข่ห่าน
“น้องหลิน เจ้าสอบผ่านแล้วเหรอ!?”
หลินจินพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
“ถึงจะติดขัดอยู่บ้าง แต่สุดท้ายข้าก็สอบผ่าน”
“ฮ่า ๆ ยอดเยี่ยมมาก!” กู่เมียงจงตื่นเต้นมาก “เราจะไม่ฉลองกันได้อย่างไร? เถ้าแก่ เอาเหล้าและอาหารดี ๆ มาเลย งานนี้เราต้องฉลอง!”
หลินจินไม่ได้ห้ามเขา เพราะมันคุ้มค่าแก่การดื่มฉลองจริง ๆ
สำหรับความจริงที่ว่าจะต้องเดินทางไปในสถาบันเกลียวสวรรค์ในช่วงบ่าย หลินจินก็ไม่ได้กังวลแม้แต่น้อย ด้วยระดับการฝึกฝนของเขา เขาสามารถขับแอลกอฮอล์ออกจากร่างกายของเขาได้อย่างง่ายดาย แม้จะดื่มเหล้าแรง ๆ ไปทั้งหม้อแล้วก็ตาม
เฒ่าโม่ซึ่งไม่ได้พูดอะไรเลยจนกระทั่งมาถึงจุดนี้ ในที่สุดก็ทำลายความเงียบของเขา สิ่งแรกที่เขาทำก็คือการแสดงความยินดีกับหลินจินที่ผ่านการประเมิน
การเดินทางไปยังสำนักงานใหญ่ครั้งนี้ทำให้เขาหวาดกลัวจนแทบสิ้นสติ
ในตอนแรก เขาไม่ได้คิดอะไรมากเกี่ยวกับผู้ประเมินระดับสี่ เขาคิดว่าพวกเขาคล้ายกับผู้ประเมินระดับสามที่อาณาจักรมังกรหยก การเดินทางไปยังเมืองเกลียวสวรรค์ทำให้เขาตระหนักดีว่าผู้ประเมินระดับสี่นั้นทรงพลังกว่าผู้ประเมินระดับสามมากเพียงใด
เมื่อออกมาจากสำนักงานใหญ่ เขาได้สัมผัสกับแรงกดดันในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน
สิ่งที่ทำให้เฒ่าโม่มั่นใจก็คือเขาไม่มีทางสู้กลับเมื่อผู้ประเมินหยางหมิงโจมตีเขาได้เลย
พูดตามตรง หากเขาได้พบกับผู้ประเมินหยางหมิงนอกกำแพงเมือง เขาคงจะต้องเสียชีวิตไปแล้ว แม้ว่าเขาจะเป็นมังกรหยกระดับสี่ก็ตาม
ผู้ประเมินระดับสี่นั้นน่ากลัวมาก
หลังจากผ่านประสบการณ์อันเลวร้ายนั้นมา เฒ่าโม่ก็ตัดสินใจได้อย่างหนึ่ง ตอนนี้ที่เขาได้เกาะติดกับผู้ประเมินหลินแล้ว และเขาจะไม่มีวันปล่อยอีกฝ่ายไป
ในอนาคต เขาจะสามารถมีชีวิตที่ดีขึ้นได้ก็ต่อเมื่อติดตามผู้ประเมินหลินอย่างใกล้ชิดเท่านั้น
แม้ว่าโต๊ะจะไม่ถูกเติมเต็มไปด้วยสิ่งที่ดีที่สุด แต่หลินจินและกู่เมียงจงก็ยังคงรับประทานอาหารมื้ออร่อยร่วมกัน หลินจินกลับไปที่ห้องของเขาเพื่อพักผ่อนหลังทานอาหารกลางวัน ขณะที่เฒ่าโม่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู
ภายในห้อง หลินจินได้ขัยแอลกอฮอล์ออกจากกระแสเลือดของเขา และเขาก็รู้สึกสดชื่นขึ้นเกือบจะในทันที
เขาได้ให้มนต์คาถานักบุญแห่งศิลปะการต่อสู้กู่เมียงจงยืม เพื่อให้อีกฝ่ายทำการค้นคว้าเพิ่มเติม เขาแน่ใจว่า ด้วยหนังสือเล่มนั้น ทักษะดาบของเพื่อนเขาจะพัฒนาขึ้นในไม่ช้าก็เร็ว จากนั้น หลินจินก็นึกถึงอีกสิ่งหนึ่งที่เขาได้รับจากบ้านของนายน้อยผู้ร่ำรวยเมื่อคืนนี้
กล่องไม้สีดำประหลาดนั่น
หลินจินหยิบกล่องที่ปิดด้วยเครื่องรางหลายชิ้นออกมา เขาเอื้อมมือไปสัมผัสกล่องอย่างระมัดระวัง
ในทันใดนั้น พิพิธภัณฑ์สัตว์วิเศษก็เริ่มทำงาน
'เครื่องรางปราบปรามวิญญาณ!'
หลินจินมองดูคำที่ปรากฏบนแผ่นหินของพิพิธภัณฑ์
นอกจากชื่อแล้ว ยังมีคำอธิบายสั้น ๆ อีกด้วย
‘ถูกเขียนโดยผู้ฝึกตนโดยใช้เลือดสัตว์วิเศษผสมกัน มีประสิทธิภาพในการระงับวิญญาณและสิ่งชั่วร้าย’
ข้อความนั้นสั้นและเข้าใจง่ายอย่างน่าประหลาดใจ
อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อความที่ปรากฏขึ้นมา มันได้บ่งบอกว่ามีอะไรอยู่ภายในกล่องไม้สีดำใบนี้ และเหตุใดถึงต้องใช้เครื่องรางปราบปรามวิญญาณด้วย
นอกจากนี้ เครื่องรางบนกล่องยังแสดงให้เห็นถึงร่องรอยของการถูกแกะออกและปิดผนึกใหม่ บางส่วนเริ่มฉีกขาด ดังนั้นจึงมีการนำเครื่องรางใหม่มาปิดทับ และดูเหมือนว่าจะมีการใส่ทับซ้อนกันหลายชั้น ดังนั้นต้องมีคนเปิดและปิดกล่องเป็นประจำ
หลินจินพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนจะเอื้อมมือไปแกะเครื่องรางปราบปรามวิญญาณออก ทำให้เขาสามารถเปิดกล่องได้
ด้วยระดับการฝึกฝนปัจจุบันของเขา พลังวิญญาณของเขาน่าจะเพียงพอที่จะปราบปรามวิญญาณหรือภูตผีได้เช่นกัน
เมื่อเปิดกล่องออก หลินจินก็พบดาบสั้นอยู่ข้างใน
ดาบเล่มนั้นไม่มีฝักและมีสีแดงเข้มทั่วทั้งเล่ม จากคราบเลือดบนใบมีด ถ้าลองเงี่ยหูฟังดี ๆ จะได้ยินเสียงกรีดร้องอันเจ็บปวดของผู้ที่ถูกมันสังหาร
ด้ามดาบสั้นเกินไปสำหรับมนุษย์ที่จะถือมันอย่างปลอดภัยในการต่อสู้
หลินจินนึกถึงดาบที่แปลกประหลาดได้ในทันที
ดาบบิน!
ใช่แล้ว นี่คือดาบบิน!
ผู้ฝึกตนสมัยโบราณส่วนใหญ่ใช้อาวุธนี้ในการโจมตี แต่ภายหลังจากการฝึกตนด้วยพันธสัญญาโลหิตได้รับความนิยม ดาบบินก็ค่อย ๆ เสื่อมความนิยมจนสูญหายไป
เนื่องจากผู้ฝึกตนด้วยพันธสัญญาโลหิตมีพลังวิญญาณไม่มาก การควบคุมดาบบินจึงเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขา และด้วยการปรากฏตัวของสัตว์เลี้ยง พวกเขาจึงไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องพึ่งพาดาบบินอีกต่อไป
ถึงกระนั้น ก็ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าดาบบินนั้นมีความสามารถที่น่าทึ่งเพียงใด ตัวอย่างเช่น มันจะมีประโยชน์สำหรับคนที่ตั้งใจจะฆ่าเป้าหมายจากระยะไกลโดยไม่มีสุ้มเสียงใด ๆ
ครั้งหนึ่ง หลินจินเคยได้ยินมาจากนักเล่าเรื่องเกี่ยวกับผู้อมตะโบราณที่ตัวเขาเองนั้นกำลังนั่งอยู่ที่บ้านและดื่มเหล้าชั้นดี ในขณะที่ดาบบินของเขาอยู่ไกลออกไป และสังหารเป้าหมายของเขา
ถึงตอนนี้ ความสามารถดังกล่าวฟังดูเหมือนหลุดออกมาจากนิยายแฟนตาซี หลินจินสังเกตเห็นว่าดาบบินนี้แปลกมาก เนื่องจาก เต็มไปด้วยวิญญาณมากมาย มันจึงเป็นอาวุธที่ชั่วร้ายอย่างยิ่ง ด้วยความอยากรู้อย่างเห็น หลินจินจึงค้นหาภายในกล่องโดยสงสัยว่ามีคาถาที่เกี่ยวข้องในการควบคุมดาบหรือไม่?
แต่เขาต้องผิดหวังที่หลินจินไม่พบสิ่งที่เขากำลังมองหาเลย
หากไม่มีคาถา ดาบบินเล่มนี้ก็คงไม่ได้มีประโยชน์มากนัก
บางทีนายน้อยผู้ร่ำรวยอาจใช้ดาบเล่มนี้เป็นดาบสั้นธรรมดาหลังจากได้รับมันมา เป็นไปได้ว่าดาบเล่มนี้จะถูกถอดออกจากกล่องเมื่อจำเป็นเท่านั้น มิฉะนั้น การทิ้งไว้ข้างนอกเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดเรื่องร้ายได้
หลินจินไม่สามารถใช้ดาบเล่มนี้ได้ แต่คนอื่นใช้ได้
ชางเอ๋อร์
การควบคุมวัตถุของเธอถึงระดับความชำนาญสูงสุดแล้ว และเธอสามารถควบคุมอาวุธได้แม้ขณะหลับตา กล่าวอีกนัยหนึ่ง เธอไม่น่าจะประสบปัญหาใด ๆ ในการใช้ดาบบินนี้
ดังนั้น หลินจินจึงเก็บดาบเล่มนี้ไว้ โดยคิดว่าเขาจะมอบดาบเล่มนี้ให้ชางเอ๋อร์เป็นของขวัญเมื่อเขากลับไปที่เมืองเมเปิ้ล เขาแน่ใจว่าเธอจะต้องดีใจมากที่ได้รับของขวัญสุดพิเศษเช่นนี้
จู่ ๆ พลังโลหิตบนดาบบินก็เริ่มล้นทะลัก พร้อมกับกระเพื่อมมือที่คล้ายกรงเล็บและใบหน้าจำนวนมากออกมา ราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างต้องการจะพุ่งออกมาจากดาบบิน ภาพตรงหน้าช่างน่าสะเทือนขวัญยิ่งนัก
หลินจินยิ้มเยาะ ประกายไฟหมุนเวียนอยู่ในฝ่ามือของเขา ก่อนที่เขาจะกดมันลงบนใบมีด และบังคับให้พลังโลหิตกลับเข้าไปในดาบบินอีกครั้ง
ทันทีหลังจากนั้น ดาบก็เงียบลงอีกครั้ง
หลินจินปิดฝาและปิดผนึกเครื่องรางปราบปรามวิญญาณอีกครั้ง จากนั้น เขาก็ยัดกล่องไว้ใต้เตียง