CD บทที่ 534 ล้มเหลวในการยับยั้งชั่งใจ
เวลาสิบเอ็ดโมงเช้า ณ ห้องทำงานของผู้การสถานีรุ่ยหยาง
“เจ้าหน้าที่จ้าว รับที่อยู่นี่ไว้สิ” ผู้การเหลียงยื่นมือทั้งสองข้างอย่างสุภาพ พร้อมส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้กับจ้าวหยู่ และยังบอกเขาอีกว่า “เมื่อเหมี่ยวอิงมารายงานตัวที่สถานีของเราเป็นครั้งแรก เธอได้รับการแนะนำเป็นพิเศษจากผู้บังคับบัญชาที่อาวุโสกว่า ซึ่งเป็นอาจารย์ของฉันเอง นี่คือที่อยู่ของเขา คุณสามารถลองถามเขาได้ทุกเรื่อง ฉันคิดว่าเขาน่าจะรู้บางอย่างเกี่ยวกับครอบครัวของเหมี่ยวอิง”
“ขอบคุณคุณมาก!” จ้าวหยู่เก็บกระดาษโน้ตไว้ และขอบคุณผู้การเหลียงพร้อมกับโค้งคำนับ
“มันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย จริง ๆ แล้ว… ฉันควรเป็นฝ่ายขอบคุณด้วยซ้ำ” ผู้การเหลียงกล่าว “ฉันได้ยินมาจากเสี่ยวจางว่าคดีตกตึกของสองลูกสาวเศรษฐี ถ้าไม่ได้ความช่วยเหลือจากคุณ เราคงไม่สามารถคลี่คลายคดีนี้ได้เร็วขนาดนี้แน่นอน!”
ผู้การเหลียงกล่าวต่อ
“และไม่ต้องกังวล ในรายงานสรุปคดี เราจะรายงานตามความเป็นจริง นอกจากนี้ ฉันจะนำเรื่องนี้ไปแจ้งกับทางเทศบาลอย่างแน่นอน เพื่อที่คุณจะได้รับผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ!”
“คุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นเลย” จ้าวหยู่ตอบ “มันเป็นเรื่องเล็กน้อย สถานีรุ่ยหยางไม่ต่างจากบ้านเกิดของเหมี่ยวอิง ดังนั้น จึงสมเหตุสมผลอย่างยิ่งที่ฉันจะให้ความช่วยเหลือ!”
ทันทีที่เขาพูดถึงเหมี่ยวอิง ผู้การเหลียงก็อดถอนหายใจไม่ได้
“เหมี่ยวอิงเป็นเพื่อนที่ดีมาก เธอซื่อสัตย์และกล้าหาญ รวมถึงมีความรู้ทั้งด้านงานของตำรวจและศิลปะการต่อสู้ เธอทำงานอย่างยอดเยี่ยมในช่วงเวลาที่เธออยู่กับเรา!”
ผู้การเหลียงยังคงเล่าต่อ
“อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุผลบางอย่าง เธอดูเหมือนจะไม่มีเพื่อนหรือใครสนิทมากนัก บางครั้ง ฉันรู้สึกได้ว่าเด็กคนนั้นกำลังมีช่วงเวลาที่ยากลำบากจริง ๆ ฉันจึงหวังว่าคุณจะพบเธอได้เร็ว ๆ นี้ หากคุณต้องการความช่วยเหลือใด ๆ จากเรา ขอให้บอกเราได้เลย!”
“ครับ ขอบคุณมาก!”
จ้าวหยู่โค้งคำนับอีกครั้งเพื่อขอบคุณ จากนั้น เขาก็บอกลาและออกจากห้องทำงาน
ขณะที่ขาหน้าของเขาเพิ่งออกจากประตูไป เมื่อเขาเห็นเสี่ยวจางและซูจินเหม่ย ซึ่งกำลังรอเขาอยู่
“เป็นยังไงบ้าง มีเบาะแสอะไรใหม่ ๆ บ้างไหม?” เสี่ยวจางถามด้วยความกังวล “ผู้การเหลียงน่าจะรู้อะไรบางอย่างใช่ไหม?”
จ้าวหยู่ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นก็อธิบายสถานการณ์ปัจจุบันของทั้งสองคนฟังอีกครั้ง
“อาจารย์คะ” ซูจินเหม่ยวิเคราะห์ “ผู้กองเหมี่ยวอาศัยอยู่ในฉินซานมาตั้งนานหายปีแล้ว เธอจะลบข้อมูลของเธอทั้งหมดไปจริง ๆ มันจะไม่เหลือร่องรอยแม้แต่นิดเดียวงั้นเหรอคะ? ทำไมเราไม่ลองไปตรวจสอบวิดีโอจากกล้องวงจรปิดที่อยู่บริเวณใกล้เคียงเพื่อพยายามค้นหาว่าเธอไปอยู่ที่ไหนกันแน่”
“คุณพูดถูก อันที่จิรง ฉันก็คิดเรื่องนั้นอยู่เหมือนกัน!” จ้าวหยู่กล่าว “ด้วยกล้องวงจรปิดตั้งมากมายขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะลบภาพทั้งหมดได้ ใช่ไหม?”
“ใช่แล้ว มีอะไรที่เหมือนกับจอมอนิเตอร์ในรถของเธอไหม?” เสี่ยวจางถาม “ถ้าเราตรวจสอบสิ่งนั้น อย่างน้อยเราก็สามารถระบุตำแหน่งของเธอในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาได้”
“ฉันลองแล้ว การ์ดหน่วยความจำในจอมอนิเตอร์รถถูกลบไปหมดแล้ว!” จ้าวหยู่ส่ายหัว
ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน พวกเขาทั้งสามคนก็มาถึงบันได เมื่อพวกเขาลงมาถึงชั้นสอง พวกเขาก็พบกับฝูงชนมากมายยืนออกันบริเวณนั้น
จ้าวหยู่คุ้นเคยกับสถานีรุ่ยหยางเป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงจำได้ทันทีว่าคนส่วนใหญ่ในฝูงชนเป็นนักสืบจากแผนกสืบสวนของสถานีรุ่ยหยาง ในขณะนั้น นักสืบทั้งหมดกำลังล้อมรอบชายคนหนึ่งซึ่งเปลือยท่อนบน บางคนก็ด่าทอเขาวยความไม่พอใจ
“นี่มันเรื่องบ้าอะไร!?” ชายคนนั้นยกมือที่ถูกใส่กุญแจมือขึ้นในอากาศอย่างก้าวร้าว ขณะที่เขาตะโกนใส่นักสืบด้วยความดูถูก “พวกแกโชคดีแค่ไหนที่ฉันไม่ได้ฟ้องพวกแกข้อหาจับกุมและกล่าวหาอย่างผิด ๆ พวกแกยังจะต้องการอะไรจากฉันอีก รีบ ๆ ปลดกุญแจมือพวกนี้เร็วเข้า!”
เมื่อได้ยินเขาตะโกน จ้าวหยู่ก็เหลือบมองชายคนนั้น เขาเห็นว่าชายคนนั้นมีรอยสักที่หน้าอก รวมทั้งฟันทองสองสามซี่ ขณะที่เขาพูด เขาก็มองด้วยสายตาดุร้ายอย่างรุนแรง
เสี่ยวจางเห็นความสงสัยของจ้าวหยู่ เขาจึงรีบแนะนำข้อมูลเกี่ยวกับชายคนนั้นให้จ้าวหยู่ทราบอย่างรวดเร็ว
“คน ๆ นี้เป็นลูกชายคนโตของตระกูลฉิวจากต้าตงไห่ เราสงสัยว่าเขาวางยาและข่มขืนเด็กสาวหลายคน หนึ่งในนั้นพยายามฆ่าตัวตายด้วยยาแก้ปวด จนเกือบเสียชีวิต!”
จากนั้น ซูจินเหม่ยก็ให้เพิ่มข้อมูลเพิ่มเติม
“ในตอนแรกมีการนำเรื่องไปดำเนินการสอบสวน และเกือบจะคลี่คลายคดีได้แล้ว แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง พยานกลับเปลี่ยนคำให้การของพวกเขาอย่างกะทันหัน แม้แต่เด็กผู้หญิงที่พยายามฆ่าตัวตายก็ถอนฟ้องเขาค่ะ!”
“ไม่ต้องบอกก็รู้” เสี่ยวจางถอนหายใจ “พวกเขาถูกติดสินบนหรือถูกข่มขู่!”
“รีบ ๆ หน่อย! ฉันไม่ได้มีเวลาทั้งวันหรอกนะ!” ในระหว่างนั้น พวกเขาได้ยินเสียงของลูกชายคนโตของตระกูลฉิว ซึ่งยังคงตะโกนโวยวายด้วยความเย่อหยิ่ง “อะไรนะ? พวกแกต้องการรอทนายความของฉันงั้นเหรอ? เขามีว่าชื่อเฟิงเชาหยาง และถ้าเขามาล่ะก็ พวกแกทุกคนต้องนั่งที่นั่งลำบากแน่!”
‘เฟิงเชาหยาง!?’
จ้าวหยู่เหยียดริมฝีปากอย่างเย้ยหยันเมื่อได้ยินชื่อนั้น เขาจำได้ในทันทีว่าเฟิงเชาหยางคือทนายความผู้เก่งกาจ เขาคือคนที่ออกมาพูดแก้ต่างให้กับฮ่าวเกิงในคดีลักพาตัวเมียนหลิง ผู้ชายคนนี้ทั้งหยิ่งยโสและเย่อหยิ่งอย่างถึงขีดสุด
หลังจากที่ลูกชายคนโตของตระกูลฉิวหยุดตะโกน เสี่ยวจางก็พยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ให้กับนักสืบคนหนึ่ง ซึ่งให้เขาไปปลดกุญแจมือของเขา
“อย่างนั้นแหละ ฮ่าฮ่าฮ่า!” ลูกชายคนโตของตระกูลฉิวถูข้อมือที่ตอนนี้เป็นอิสระแล้ว จากนั้นก็ถ่มน้ำลายด้วยความโกรธ “ไอ้พวกตำรวจสารเลว ความอวดดีของพวกแกหายไปไหนแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า!”
จ้าวหยู่และอีกสองคนเดินต่อไป ทันทีที่พวกเขาเดินผ่านลูกชายคนโตของตระกูลฉิว เขามองไปที่ซูจินเหม่ย และยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ แล้วพูดขึ้นว่า
“เฮ้! สาวน้อยคนนี้หน้าตาไม่เลวทีเดียว เธอสนใจมากับฉันไหม? ฉันมีเงินตั้งมากมายเลยนะ”
“อึ๋ย…” เนื่องจากซูจินเหม่ยเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ฝึกหัด เนื่องเธอไม่ได้ออกภาคสนามบ่อย ๆ เธอจึงไม่เคยพบเจอคนน่ารังเกียจเช่นนี้มาก่อน ดังนั้น เธอจึงรีบถอยห่าง และตัวสั่นด้วยความกลัวทันที
“เฮ้! พอได้แล้ว!” เสี่ยวจางดุ “รีบไปได้แล้ว เราได้ปลดล็อกกุญแจมือให้คุณแล้ว คุณยังจะต้องการอะไรอีก!? อย่าคิดว่าเราไม่รู้ว่าคุณหนีโทษทางกฎหมายได้อย่างไร!? ฉันบอกคุณแล้วไงว่ามันเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้นก่อนที่คุณจะอยู่ในมือของเราอีกครั้ง!”
“ฮึ่ม! คิดว่าฉันจะกลัวงั้นเหรอ!?” ลูกชายคนโตของตระกูลฉิวกัดฟันทองของเขา “แกมีหลักฐานอะไรไหม!? ถ้ามีล่ะก็ แล้วทำไมแกถึงปล่อยตัวฉันไปล่ะ!?”
เขาจ้องซู่จินเหมยอีกครั้ง จากนั้นก็เยาะเย้ย
“สาวน้อย อย่าคิดว่าตัวเองจะเจ๋งแค่เพราะคุณใส่เครื่องแบบอยู่ล่ะ ฉันเคยหลับนอนกับตำรวจหญิงมาเป็นสิบคนแล้ว ทันทีที่พวกเขาเห็นว่าฉันมีเงินเท่าไหร่ พวกเธอก็อดใจรอที่จะเอาตัวมาซุกอยู่ใต้หว่างขาฉันไม่…”
ลูกชายคนโตของตระกูลฉิวยังพูดไม่จบประโยค ก็มีฝ่ามือหนึ่งตบเข้าที่ใบหน้าของเขาอย่างเต็มแรง
*เพี๊ยะ!*
ส่งผลให้ลูกชายคนโตของตระกูลฉิวหมุนตัวแล้วกระแทกเข้ากับกำแพงเข้าอย่างจัง
“โอ๊ย!!!”
ลูกชายคนโตของตระกูลฉิวตกตะลึง เขาพยุงตัวเองโดยเกาะกำแพงไว้ก่อนจะพยายามลุกขึ้นยืนตรงอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะยืนได้ มีมือที่เหมือนกรงเล็บอินทรีจับผมของเขาอย่างรุนแรงแล้วลากเขาลงไปตามพื้น
“ใคร!? ใครมันกล้าทุบตีฉัน!? โอ๊ย! ปล่อยฉันนะ!”
ใบหน้าของลูกชายคนโตของตระกูลฉิวบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด แต่เขาไม่มีแรงที่จะโต้กลับ
บุคคลที่อัดลูกชายคนโตของตระกูลฉิวก็คือจ้าวหยู่ผู้ไม่หวั่นเกรงผู้ใด
จ้าวหยู่ไม่ชอบลูกชายคนโตของตระกูลฉิวที่หยิ่งยโสและโอหังอยู่แล้ว แล้วอีกฝ่ายเพิ่งทำให้ลูกศิษย์ของเขาอับอายอีกด้วย ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้ความอดทนของเขาถึงขีดจำกัด
จ้าวหยู่ดึงเส้นผมของลูกชายคนโตของตระกูลฉิว และลากอีกฝ่ายไปที่ห้องน้ำชายใกล้บันได
“ผู้กองจาง! เราควรทำอย่างไรดีครับ!?” นักสืบเห็นสิ่งนี้และหวาดกลัว “สิ่งที่เขาทำมันผิดกฎหมายแน่นอน! เราควรหยุดเขาดีไหมครับ!?”
“ไม่ต้อง! ปล่อยเขาไป!” เสี่ยวจางสั่งการ “แล้วก็รีบไปที่ห้องรักษาความปลอดภัย และลบภาพของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกี้นี้ซะ หากมีใครมาตามถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็บอกพวกเขาไปว่าอุปกรณ์ทั้งหมดขัดข้อง เข้าใจมั้ย!?”
ขณะที่เสี่ยวจางเพิ่งจะสั่งการเสร็จ พวกเขาก็ได้ยินเสียงคร่ำครวญอันน่าสงสารของลูกชายคนโตของตระกูลฉิวมาจากทางห้องน้ำ…