บทที่ 29
มองผักสีเขียวขจีเต็มพื้นดิน อู่หลานยังคงรู้สึกเสียดาย "พรุ่งนี้ไม่ขายจริงๆ เหรอ"
ช่วงนี้ซ่งถานเริ่มชินกับการกักตุนผักไว้แล้ว "ไม่ขาย"
ปล่อยให้ผักได้มีชีวิตตามธรรมชาติบ้าง หากเร่งขายติดๆ กันมากเกินไป พอผ่านไปไม่นานพลังจิตวิญญาณในผักป่าเหล่านี้ก็จะค่อยๆ ร่อยหรอและหายไปจนหมดเกลี้ยง หากยิ่งฟื้นฟูไม่ทัน คราวหน้าที่ขายต่อไปรสชาติก็จะไม่เป็นไปตามมาตรฐานเหมือนเดิมอีก และยังทำให้สมาชิกกลุ่ม 28 คนอันมีค่าของเธอต้องตรอมใจอีกด้วย
"เงินตั้งสามสิบหยวนต่อกิโลเลยนะลูก" อู่หลานยังไม่ยอมแพ้
"สามสิบหยวนต่อกิโลเลยนะ" เฉียวเฉียวเลียนแบบ
ซ่งถานวางพลั่วลง "แม่! เชื่อใจหนูหน่อยได้ไหม“อารมณ์เธอเริ่มคุกรุ่น”ดูหนูสิ เรียนจนจบมหาวิทยาลัย จบมาก็หาทำงานได้ที่หนิงเฉิง ทำให้แม่มีหน้ามีตาไหม"
ริมฝีปากของอู่หลานเผยอยิ้มเล็กน้อย "พูดอะไรแบบนี้ การใช้ชีวิตมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับหน้าตาหรอกนะ ก็... พอใช้ได้ล่ะนะ จบมหาวิทยาลัยนี่ ในหมู่บ้านเรามีไม่กี่คนหรอก"
"แล้วแม่ดูสิ ตอนนี้หนูไม่ทำงาน กลับมาทำไร่ ชาวบ้านพูดอะไรไหม เวลาเราไปหาคุณตาคุณยาย ลุงป้าน้าอา พวกเขาจะพูดอะไรไหม พวกเขาจะว่าแม่เลี้ยงลูกไม่ดีไหม"
สีหน้าของอู่หลานค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้น "พวกเขาก็อาจจะแค่ซุบซิบนิดหน่อย แต่จะว่าอะไรได้ ฉันขายผักได้เงินเป็นหมื่นๆ ดูสิ พวกเขามีโชคแบบนี้ไหม"
ซ่งถาน : “...”
จริงๆ ไม่จำเป็นต้องเน้นว่าเป็นโชคหรอก เพราะมันคือความสามารถของเธอทั้งนั้น แต่ตอนนี้พูดได้เพียงว่า "ผักป่ามีทุกปี ทำไมคนอื่นไม่ขายได้ราคาแบบนี้บ้างล่ะ ทั้งหมดนี้มันไม่ใช่เพราะความสามารถหนูเหรอ แล้วถ้าเกิดสมมติแม่บอกไปว่าหนูกลับมาทำไร่ได้เงินเยอะกว่าตอนอยู่ในเมืองอีก และถ้าพวกเขายังคิดว่าแม่โกหก ก็เอาผักของเรายัดปากให้เขาลองชิมซะเลย"
"ยัดปากซะ" เครื่องเล่นเสียงเฉียวเฉียวถอยหลังกรอซ้ำอีกรอบ
อู่หลานเหลือบมองเขา "เจ้าเด็กโง่ รู้เรื่องอะไรบ้างเนี่ย แต่ว่าถานถานพูดถูกแล้ว พวกเขาชอบพูดจาจิกกัด ฉันต้องให้พวกเขารู้ว่า ขนาดลูกสาวฉันเรียนอยู่แต่ในเมืองจนจบมหาวิทยาลัย ยังทำไร่เก่งกว่าพวกเขาเป็นไหนๆ "
"มา เฉียวเฉียว เก็บเยอะๆ หน่อย" ซ่งถานก็ลอบยิ้มมุมปากอย่างยินดี ซ่อนความภาคภูมิใจเอาไว้ จริงๆ แล้วญาติของพวกเขาก็ค่อนข้างกลมเกลียวกันคงไม่มีปัญหาอะไรใหญ่มากนัก แต่ว่าเพราะเฉียวเฉียวเป็นแบบนี้ แต่ก่อนอู่หลานจึงเก็บความชอกช้ำไว้เยอะแยะ เวลาเจอญาติคนอื่นๆ ก็ต้องตีสองหน้าทำตัวแกล้งมีความสุขเหมือนคนปกติ จริงๆ แล้วลับหลังไม่รู้ต้องกลืนน้ำตากี่รอบ เธอก็เลยอาจจะกังวลมากเป็นพิเศษ
ในหมู่บ้านเมื่อก่อนก็มีเด็กสติไม่ค่อยสมบูรณ์ ยิ่งเลี้ยงเด็กประเภทนี้จำเป็นต้องใช้ความอดทนสูง ต้องอบรมสั่งสอน ต้องดูแลเอาใจใส่ ถ้าเลี้ยงจนสติปัญญาพอเข้าใจเรื่องราวได้บ้างแล้วหรืออยู่ในสังคมได้ ส่วนใหญ่ก็จะฝากนายหน้าส่งไปทำงานในโรงงาน ที่ไหนให้ค่าแรงสูงก็ไปที่นั่น
ส่วนพวกที่สติปัญญาถดถอยไม่มีความสามารถพอจะดูแลเลี้ยงตัวเองได้ ก็จะฝากให้กับพวกคนงานก่อสร้างในท้องถิ่น ทำงานใช้แรงงาน กินอยู่หลับนอนฟรี...ก็ช่วยให้ครอบครัวสบายใจขึ้น
สำหรับเฉียวเฉียว ราวกับว่าอู่หลานทำผิดอะไร ญาติพี่น้องทุกคนจึงต่างตำหนิติเตียนทั้งนั้น อาจจะไม่ได้มีเจตนาไม่ดี แต่ก็ทำให้เจ็บปวดใจอยู่ดี ตอนนี้นักศึกษาเรียนจบสูงๆ กลับมาทำไร่ทำนา ก็ยังไม่รู้ว่าญาติพี่น้องจะคิดยังไงเหมือนกัน แต่หากมีผักป่าพวกนี้ให้พวกเขาลองชิมดู อู่หลานก็คงจะอุ่นใจมากขึ้น
คิดได้แบบนี้ อู่หลานก็ลืมถกเถียงเรื่องเงินสามสิบหยวนไปทันที
เวลานี้ขณะที่แม่ลูกทำงานกันอย่างขะมักเขม้น ที่นั่นโทรศัพท์ของซ่งถานก็ดังไม่หยุด พอเปิดดูก็เห็นว่าในกลุ่มไลน์ [ผักป่าชนบท] ต่างก็ถามกันเต็มกลุ่มว่า
[เจ้าของร้าน จะมาอีกเมื่อไหร่คะ? ]
[แม่หนู คราวหน้าหาผักโขมมาเยอะๆ หน่อยนะคะ กำนั้นฉันเอาไปห่อเกี๊ยวเก็บไว้ได้ตั้งนาน รอบที่แล้วซื้อไม่ทันเลย มันหมดซะก่อน]
[เอาต้นหอมป่ามาเยอะๆ นะหนู ต้นนี้เอาไปคลุกหมูสับอร่อยมาก! ]
[เจ้าของร้าน ผักที่ร้านเธออร่อยมากเลยค่ะ แต่ว่าแพงไปหน่อย ลูกชายฉันกินมื้อเดียวก็หมดไปร้อยกว่าหยวนแล้ว
คิดดูสิว่ามื้อมื้อหนึ่งจะหมดเงินไปขนาดไหน]
[ใช่แม่หนู ตอนนี้อากาศก็อุ่นขึ้นบ้างแล้ว ผักป่าเริ่มมีเยอะ หนูจะลดราคาลงหน่อยได้ไหม]
ซ่งถานคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ถ่ายรูปผักป่าที่กำลังเก็บอยู่ลงไป
[ลูกค้าทุกท่านคะ ขณะนี้ผักป่าอยู่ในช่วงเจริญเติบโต ในตลาดก็เริ่มมีร้านอื่นเอาผักมาขายมากขึ้นเช่นกัน ราคากิโลกรัมละสามสิบหยวนทางร้านคงลดให้ใม่ได้แล้ว อีกอย่าง ผักป่าในแปลงนี้โตเร็วมาก แต่เพื่อรักษาราคาและคุณภาพเอาไว้ …หนูยอมไม่ขายดีกว่า เพราะฉะนั้นปีนี้ทางร้านจะไม่ขายผักป่าแล้วค่ะ ลูกค้าสามารถเลือกซื้อผักจากร้านอื่นได้เลยนะคะ]
พอพูดแบบนี้ กลุ่มนั้นก็ระเบิดขึ้นมาทันที
[โธ่แม่หนู…เราแค่คุยกันเรื่องราคาเล่นๆ เอง ไม่ได้บอกให้ลดราคาซะหน่อย สามสิบก็สามสิบ ฉันชอบกินผักที่ร้านหนูที่สุดเลย]
[ใช่แล้วค่ะเจ้าของร้าน อย่าเพิ่งเลิกขายนะคะ คุณวางใจได้เลยว่าทั้งตลาด ฉันเลือกซื้อแต่ร้านคุณแน่]
[ผักป่าอะไรแก่แล้ว ดูสีสิ เขียวอ่อนเหมือนเดิมเลย...เจ้าของร้าน กำลังเก็บอยู่ไม่ใช่เหรอ]
ซ่งถานตอบกลับ :
[ผักป่าชุดสุดท้ายตั้งใจจะเก็บไว้ให้ญาติที่บ้าน ขอโทษค่ะ ไม่สามารถขายได้แล้ว]
[แต่ขอแจ้งล่วงหน้าว่าอีกสามวัน ยอดดอกต้นถั่วม่วงในไร่จะตัดเก็บได้แล้ว ปริมาณเยอะ อิ่มท้อง รสชาติเยี่ยมแน่นอน
ถึงเวลานั้นเจอกันที่ตลาดสดเวลาเดิมนะคะ ใครชอบทานเตรียมตัวได้เลย ราคาเดิม 30 หยวนต่อกิโลกรัม]
ข่าวสารที่ไม่คาดคิดนี้ทำให้ทุกคนมึนงง พวกเขายังไม่ทันได้เสียดายผักป่า ทำไมจู่ๆ ถึงได้มียอดดอกต้นถั่วม่วงผุดขึ้นมาขายแทนเสียแล้ว อีกอย่าง ต้นถั่วม่วงนี้เดิมทีไม่ได้ใช้ทำปุ๋ยในไร่หรอกเหรอ ที่เอาหญ้าตรงโคนต้นไปเลี้ยงวัว เลี้ยงแกะ เลี้ยงหมู ใครจะไปกินของแบบนี้ได้เยอะ ที่สำคัญแถวบ้านตัวเองก็เห็นมีปลูกเต็มไปหมด ผักอย่างต้นถั่วม่วงโตง่ายจะตายไป แล้วทำไมแค่ยอดดอกถึงต้องขายตั้ง 30 หยวนต่อกิโลกรัมด้วย มันแพงเกินไปแล้ว
ในกลุ่มเงียบไปชั่วครู่
มีแค่สมาชิกกลุ่มที่ไม่เคยซื้อผักเลยพิมพ์ขึ้นมา :
[ฉันพาแฟนไปเดินตลาดเมื่อวันก่อน แล้วบังเอิญเจอร้านนี้เข้า
จริงๆ ก็อยากลองชิมผักป่ามานานแล้วนะคะ แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ซื้อสักที
แต่ตอนนี้ฉันกลับบ้านในตัวเมืองมาแล้วไม่รู้ทำยังไงดี เจ้าของร้านคะ ยอดดอกต้นถั่วม่วงนี้รสชาติจะเหมือนผักป่าไหมเอ่ย
ถ้าเหมือน ขอซื้อ 5 กิโลกรัมค่ะ ส่งทางไปรษณีย์ได้ไหม? ]
โอ้โห!
ในที่สุดก็มีลูกค้าสั่งซื้อออนไลน์สักที
ซ่งถานตอบตกลงอย่างรวดเร็ว :
[ได้ค่ะ แต่ผักชนิดนี้ต้องทานตอนสดใหม่นะคะ ฉะนั้นต้องส่งแบบแช่แข็ง ค่าขนส่งเป็นแบบเก็บเงินปลายทาง]
ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่เคยได้กินผักป่าจริงๆ พอเห็นว่ามีให้สั่งจองและจัดส่งได้ ก็ไม่ลังเล :
“ได้! ตกลงตามนี้ค่ะ”
พอมีคนเริ่มต้น คนอื่นๆ ก็เริ่มนึกถึงรสชาติของผักป่า แล้วก็เริ่มกระตือรือร้นขึ้นมา :
[งั้นวันพุธหน้าเจอกันที่ร้านนะ ฉันไปแน่นอน! ]
[ซิ่วเฟิน ฉันก็จะไปด้วย เราไปพร้อมกัน]
[แม่หนู ไม่ต้องห่วง ถ้ารสชาติของผักยังไม่เปลี่ยน ฉันก็ซื้อตลอดแน่ๆ สัญญา]
ซ่งถานครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ต้นถั่วม่วงจะเรียกว่าผักป่าก็ไม่ใช่เสียทีเดียว แต่ปลูกไว้สิบกว่าไร่ผลผลิตมากมาย และถึงแม้ว่าพลังลมปราณของเธอจะหยอดให้ต้นเหล่านี้ไม่มากนัก แต่เนื่องจากเริ่มเพาะเลี้ยงมาตั้งแต่ช่วงที่ยังเป็นเมล็ดอยู่ รสชาติจึงไม่แย่แน่นอน อาจจะหวานกว่าผักป่าด้วยซ้ำ
ในทั้งเจ็ดแปลง นอกจากจะต้องเหลือไว้ให้วัวแก่กินแล้ว ที่เหลือก็ขายได้หมด แต่ถ้าจะอาศัยพึ่งพาแค่คนในกลุ่มทั้งยี่สิบแปดคนให้ซื้อทั้งหมดเจ็ดแปลง กำลังซื้อก็คงไม่ไหว ดังนั้นการตั้งแผงขายในตลาดสดจึงยังต้องขยันเพิ่มอีกนิด นอกจากนี้ก็ควรตัดต่อวิดีโอแล้วโปรโมทผักเหล่านี้ให้ดูดี ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ลูกค้ารายแรกก็เป็นลูกค้าอยู่ดี
ถึงแม้ราคาจะยังแอบแพงไปบ้าง ช่วงแรกจึงอาจจะยังทำให้มีปริมาณการซื้อขายไม่มากนัก แต่เธอรับรองได้ว่าจะมีลูกค้าประจำไหลเข้ามาเรื่อยๆ เรียกได้ว่าน้ำซึมบ่อทราย ดังนั้นจึงพิมพ์เสริมอีกประโยคว่า
[รบกวนทุกคนช่วยร้านโปรโมทด้วยนะคะ ไม่งั้นถ้าไม่มีคนซื้อ…
หนูก็ต้องไปถามที่หนิงเฉิงว่ามีผู้ค้ารายใดต้องการหรือไม่ ถึงตอนนั้นก็คงจะไม่ได้ขายปลีกอีกแล้ว]
บรรดาป้าๆ ที่แอบซื้อลับๆ ราวกับเล่นหวยพนันใต้ดินต่างก็ใจฝ่อไม่กล้าพูดอะไร นั่นไม่ใช่เพราะว่าผักป่ามีน้อยเหรอ พวกเขาจึงกลัวจะมีคนอื่นแย่งซื้อกันไปหมด จึงได้เก็บเป็นความลับกันขนาดนี้!
ถึงอย่างนั้น บางครั้งก็ยังมีกลุ่มคนที่มาเดินตลาดเห็นความคึกคักและมาแห่ซื้อกันไปเอง แต่ไหนๆ เจ้าของร้านก็บอกว่ายอดดอกต้นถั่วม่วงนี้มีปริมาณขายเยอะมากอยู่แล้วนี่นา จะไม่ให้พวกเขาดึงคนมาให้ร้านบ้างก็ดูใจร้ายไปหน่อย อีกอย่างถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป ไม่มีของอร่อยกินแล้วจะทำอย่างไร
พวกเขาทั้งหลายจึงแอบคิดคำนวณบวกลบความคุ้มค่าอยู่ในใจเงียบๆ