บทที่ 192 ข่าวร้าย
ทว่าครั้งนี้ การตอบสนองของฝูงชนไม่ได้ร้อนแรงเท่าตอนที่หยวนจื่อหลานลงจากเรือสำเภา
ไม่ว่าจะเป็นด้านชื่อเสียงหรือความสามารถ โจวรั่วนับว่าด้อยกว่าหยวนจื่อหลานอยู่ระดับหนึ่ง
ผู้คนโดยรอบจึงไม่มีใครคิดว่าโจวรั่วจะมีแต้มสูงกว่าหยวนจื่อหลานแม้แต่น้อย
โจวรั่วเดินไปที่โต๊ะหินแล้วยื่นป้ายหยกประจำตัวของนางให้กับผู้อาวุโสบันทึกแต้ม
ทันทีที่ผลการบันทึกแต้มเสร็จสิ้น ทั่วทั้งจัตุรัสพลันตกอยู่ในความเงียบสงัด แววตาของทุกคนต่างจับจ้องไปยังกระดานประกาศแต้มอย่างตกตะลึง!
เนื่องจากว่าขณะนี้ นามของหยวนจื่อหลานถูกลดระดับร่วงลงไปสู่อันดับสองแล้ว!
อันดับหนึ่งกลายเป็นโจวรั่ว! ตัวเลขที่สว่างไสวปรากฏขึ้นในสายตาของทุกคนอย่างชัดเจน
หกพันห้าร้อยแต้ม!
“โอ้สวรรค์! ข้าคงมิได้ตาฝาดไปกระมัง! แต้มของศิษย์พี่โจวรั่วมากถึงหกพันห้าร้อยแต้ม! สูงกว่าศิษย์พี่หยวนจื่อหลานเกือบเท่าตัว!”
“นางต้องสังหารสัตว์อสูรไปมากเท่าใดกันจึงได้แต้มเช่นนี้!”
เมื่อเห็นแต้มของโจวรั่ว ทุกคนต่างตะลึงตะไลจนมิอาจกล่าวสิ่งใดออก
ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่า แต้มของโจวรั่วจะสูงกว่าหยวนจื่อหลานได้ ทั้งมันยังสูงกว่ามากด้วย!
หยวนจื่อหลานก็ประหลาดใจไม่แพ้กัน ด้วยความสามารถของโจวรั่วนั้น มันเป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะได้แต้มสูงขนาดนี้
เว้นก็แต่นางจะมีตัวเต็งอีกคนหนึ่งช่วยสนับสนุน…
แต่เรื่องนี้จะเป็นไปได้อย่างไร?
โจวรั่วที่มีใบหน้าสวยงามเหมือนดอกท้อ เหลือบมองยังหยวนจื่อหลานแล้วโค้งริมฝีปากขึ้นยิ้มเยาะ
แท้จริงแล้ว แต้มของนางไม่ได้สูงกว่าหยวนจื่อหลานดั่งที่ทุกคนคาดการณ์ไว้ เพราะแรกเริ่มนางมีเพียงสามพันแต้มเท่านั้น
แต่ในระหว่างที่เกิดการแย่งชิงผลหยวนหลิงบนยอดเขา นางได้ร่วมมือกับตัวเต็งอีกสามคนไล่ล่ากู่หลิงเฟิงและหยวนจื่อหลาน
ระหว่างทางที่เกิดการต่อสู้นั้น หนึ่งในสามคนถูกกู่หลิงเฟิงสังหาร โจวรั่วจึงฉวยโอกาสช่วงชุลมุนเก็บแต้มจากศพของผู้ที่ถูกสังหาร นั่นจึงเป็นเหตุที่ทำให้นางได้แต้มสูงขนาดนี้
“หยวนจื่อหลาน ในเมื่อข้าไม่สามารถชิงผลหยวนหลิงจากเจ้าได้ เจ้าเองก็อย่าหวังว่าจะเป็นอันดับหนึ่งในการทดสอบชิงอวิ๋นครั้งนี้!”
เมื่อเดินผ่านหยวนจื่อหลาน โจวรั่วก็แค่นเสียงหัวเราะเย็นชา
เมื่อได้ฟังวาจาเย้ยหยันของอีกฝ่าย หยวนจื่อหลานก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วกล่าวน้ำเสียงนุ่มนวล
“เจ้ารีบด่วนสรุปตอนนี้ ไม่คิดว่ามันเร็วไปหน่อยหรือ”
โจวรั่วยกมุมปากขึ้นยิ้มพลางกล่าววาจาเย้ยหยัน
“เฮอะ! หรือเจ้าคิดว่ายังมีผู้ใดที่จะสามารถมีแต้มสูงกว่าข้าได้? กู่หลิงเฟิงหรือ? แต้มของเขาไม่น่าเกินสี่พันแน่ๆ”
โจวรั่วมั่นใจมากว่า ด้วยแต้มที่มากกว่าหกพันของนาง ย่อมไม่มีผู้ใดที่สามารถทำได้มากกว่านี้ แล้วอันดับหนึ่งในการทดสอบชิงอวิ๋นจะเป็นของใครหากมิใช่นาง
“ใครจะรู้ล่ะ”
หยวนจื่อหลานยิ้มอย่างนุ่มนวลแต่มิได้กล่าวสิ่งใดเพิ่มเติม
โจวรั่วหัวร่อแล้ว จากนั้นตะคอกเสียงเย็นชา “งั้นเราก็มารอดูกัน!”
บนแท่นสูงของจัตุรัสยามนี้ ผู้อาวุโสสิบคนที่รับผิดชอบการทดสอบชิงอวิ๋น กำลังหารือถึงอันดับในการทดสอบครั้งนี้ด้วยเช่นเดียวกัน
ผู้อาวุโสคนหนึ่งมองไปที่โจวรั่วแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ก่อนหน้านี้ ข้าคิดว่าผู้ชนะอันดับหนึ่งคงหนีไม่พ้นหยวนจื่อหลานเป็นแน่ แต่คาดไม่ถึงเมื่อโจวรั่วปรากฏตัวด้วยแต้มสูงลิ่วเช่นนี้ เกรงว่าผู้ชนะคงต้องเป็นนางแน่แท้”
ผู้อาวุโสเหอนั่งอยู่ข้างๆ กล่าวว่า “แต่ข้าไม่คิดเช่นนั้น”
ผู้อาวุโสอีกคนขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามอย่างสงสัย “หรือผู้อาวุโสเหอคิดว่ายังมีผู้ใดที่สามารถทำแต้มได้สูงกว่านางอีก? ตามความเห็นข้า ต่อให้เป็นกู่หลิงเฟิงก็ยากยิ่งนักที่จะได้แต้มเกินหกพัน”
ผู้อาวุโสเหอส่ายศีรษะพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ “เพียงเพราะกู่หลิงเฟิงทำไม่ได้ แต่ใช่ว่าผู้อื่นจะทำมิได้เสียหน่อย ผู้ที่ข้ากำลังกล่าวถึงอยู่นี้คือหลินจินไท่ต่างหาก!”
หลินจินไท่เป็นศิษย์คนสนิทของผู้อาวุโสเหอ และเขาก็สัญญาว่าจะช่วยให้หลินจินไท่คว้าอันดับหนึ่งในการทดสอบครั้งนี้
ด้วยเหตุนั้นแล้ว ผู้อาวุโสเหอจึงรวบรวมศิษย์บำรุงสำนักที่มีความสามารถมากมายให้คอยสนับสนุนหลินจินไท่อย่างลับๆ
ตราบใดที่ศิษย์เหล่านั้นมอบแต้มการล่าให้หลินจินไท่ การที่เขาจะได้แต้มเกินหกพันนั้นก็เป็นเพียงเรื่องง่ายๆ ราวพลิกฝ่ามือ!
เมื่อได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสเหอ ผู้อาวุโสหลายคนก็ล้วนแสดงสีหน้าแปลกพิกลทันที
ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งไตร่ตรองวาจาอยู่พักใหญ่แล้วกล่าวว่า “ผู้อาวุโสเหอยังมิได้ทราบข่าวงั้นหรือ?”
“ข่าวอันใด?”
ผู้อาวุโสเหอขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
ผู้อาวุโสคนหนึ่งทอดถอนใจยาวแล้วส่ายศีรษะเล็กน้อยกล่าวว่า “หลินจินไท่ตายแล้ว และผู้ที่สังหารเขานามหลัวเฉิง ศิษย์ใหม่ที่มีวิญญาณยุทธ์ขยะคนนั้นอย่างไรเล่า!”