บทที่ 191 ลางสังหรณ์
หลัวเฉิงที่กำลังยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ เมื่อได้ยินเสียงฮือฮาจากฝูงชน เขาก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
แต้มเพียงแค่หนึ่งพันเจ็ดร้อยกว่า ก็ทำให้ทุกคนตกใจขนาดนี้ได้
แต่เมื่อคิดดูดีๆ หลัวเฉิงก็พอเข้าใจความรู้สึกของคนเหล่านั้น
ศิษย์บำรุงสำนักที่เข้าร่วมการทดสอบชิงอวิ๋น ส่วนใหญ่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสามหรือสี่เท่านั้น ซึ่งมันเป็นความแข็งแกร่งที่ใกล้เคียงกับสัตว์อสูรขั้นกลางสองดาว
ยามใดก็ตามที่คนเหล่านี้ต้องเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรสองดาว ที่มีความแข็งแกร่งกว่าแม้เพียงเล็กน้อย ก็ทำได้แค่หนีเอาชีวิตรอด ด้วยเหตุนี้การสังหารสัตว์อสูรได้เป็นร้อยๆ ตัวจึงนับว่ามีฝีมือไม่ธรรมดา แล้วจะมิให้พวกเขาตื่นเต้นได้อย่างไร
“ไม่รู้แต้มของข้าจะได้เท่าไหร่ น่าจะประมาณหนึ่งหมื่นห้าพันแต้มกระมัง....”
หลัวเฉิงเองก็คาดหวังจะได้เห็นแต้มตนเช่นเดียวกัน
หลังสังหารฟางรุ่ยและเฉาชิงตอนนั้น แต้มการล่าของเขาก็เกือบจะหมื่นแล้ว
ต่อมา หลัวเฉิงยังสังหารสัตว์อสูรไปอีกมากมายและศิษย์บำรุงสำนักอีกหลายคน แน่นอนว่ารวมถึงหลินจินไท่!
แม้แต้มการล่าของคนเหล่านั้นจะถูกหลัวเฉิงเก็บไปหมด แต่เขาก็ไม่ได้ดูว่าแต้มที่เขาเก็บมาจากคนเหล่านั้นเพิ่มขึ้นมากเท่าไหร่
เท่าว่าหลินจินไท่ผู้นี้ มีผู้อาวุโสเหอคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง นั่นจึงทำให้เขาสามารถบัญชาศิษย์บำรุงสำนักได้หลายคน เช่นนั้นแล้วแต้มการล่าของเขาคงมิต้อยต่ำเป็นแน่
ทุกคนค่อยๆ ทยอยลงจากเรือสำเภาแล้วทำการบันทึกแต้ม
ผู้ที่ลงเรือสำเภาไปก่อนหน้ามีผลแต้มที่ค่อนข้างธรรมดา น้อยคนนักที่จะได้เกินหนึ่งพันแต้ม
ถ้าได้แต้มเกินหนึ่งพันห้าร้อยแต้ม ก็สามารถเข้าสู่ร้อยอันดับแรกได้แล้ว และนามของคนผู้นั้นจะปรากฏบนกระดานประกาศแต้ม ซึ่งอยู่ในการจับตามองของผู้คนจำนวนมาก
ปัจจุบัน คนที่ครองอันดับหนึ่งในกระดานประกาศคือ ผู้ฝึกยุทธ์ในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับ ห้านามเฟิงหลาง ซึ่งเขาเป็นผู้ที่มีหนึ่งพันเก้าร้อยแปดสิบแต้ม
แม้นนามเขาจะปรากฏเด่นชัดในอันดับหนึ่ง แต่ก็หาได้มีผู้ใดให้ความสนใจมากนัก
ด้วยทุกคนล้วนรู้ดี ว่าสิ่งนี้เป็นเพียงการเรียกน้ำย่อยเท่านั้น
เนื่องจากผู้ที่เป็นตัวเต็งทั้งสิบคน ยังไม่มีผู้ใดลงจากเรือสำเภาเลย!
กระทั่งตอนนี้ ก็ปรากฏเงาร่างของหนึ่งในสิบตัวเต็งลงจากเรือสำเภาเป็นคนแรก
นามนั้นคือ โจวปิ่งรุ่ย!
ในบรรดาตัวเต็งทั้งสิบ เขาคือผู้ที่มีความสามารถต่ำสุดในบรรดาคนเหล่านั้น
เมื่อโจวปิ่งรุ่ยบันทึกแต้ม ทั่วทั้งจัตุรัสก็ตกอยู่ในความโกลาหลทันที เนื่องจากบนกระดานประกาศยามนี้ป รากฏตัวเลขอันน่าตื่นตะลึง
โจวปิ่งรุ่ย สองพันแปดร้อยเก้าสิบแต้ม!
“โอ้สวรรค์! สองพันแปดร้อยเก้าสิบแต้ม! แต้มของศิษย์พี่โจวปิ่งรุ่ยสูงเกินไปแล้ว!”
“ช่างร้ายกาจยิ่งนัก แต้มนี้นำอันดับสองไปมากกว่าพันแต้มเลยเชียว!”
“ไม่แน่ว่าศิษย์พี่โจวปิ่งรุ่ยอาจจะเข้าสู่สามอันดับแรกก็เป็นได้!”
เสียงฮือฮาดังก้องกังวาลไปทั่วจัตุรัสอีกครั้ง บรรดาศิษย์บำรุงสำนักทุกคนต่างตกใจกับแต้มนี้เป็นที่สุด
หลังจากโจวปิ่งรุ่ยลงจากเรือสำเภาไปได้ไม่นาน จู่ๆ ก็ปรากฏหนึ่งในสิบตัวเต็งอีกคนลงจากเรือสำเภา นั่นคือหยวนจื่อหลาน
ทันใดนั้น ทุกคนต่างหันมามองกระดานประกาศแต้มอย่างพร้อมเพรียง
หยวนจื่อหลานและกู่หลิงเฟิงเป็นสองคนที่นับว่ามีพรสวรรค์สูงสุดในการแข่งขันครั้งนี้ จึงเป็นที่จับตามองของผู้คนจำนวนมาก
ด้วยเหตุนี้ ทุกคนต่างก็อยากทราบว่าหยวนจื่อหลานจะได้แต้มเท่าไร
เมื่อหยวนจื่อหลานยื่นป้ายหยกประจำตัวของนาง นามของนางก็พุ่งขึ้นไปยังอันดับหนึ่งของกระดานประกาศแต้มทันที
หยวนจื่อหลาน สามพันเจ็ดร้อยเก้าสิบแต้ม!
“โอ้สวรรค์! แต้มของศิษย์พี่หยวนจื่อหลานมากมายยิ่งนัก เกือบจะถึงสี่พันแต้มแล้ว!”
“อัศจรรย์ยิ่งนัก! แต้มของศิษย์พี่หยวนจื่อหลานสูงกว่าศิษย์พี่โจวปิ่งรุ่ยเกือบพันแต้ม!”
“ด้วยแต้มมากมายเช่นนี้ เกรงว่าคงมีแต่ศิษย์พี่กู่หลิงเฟิงเท่านั้นที่จะสามารถเอาชนะได้!”
“การแข่งขันครั้งนี้ ผู้ชนะอันดับหนึ่งจะต้องเป็นศิษย์พี่หยวนจื่อหลานมิผิดแน่!”
หยวนจื่อหลานมีรูปลักษณ์ที่งดงามทั้งกิริยามารยาทก็นุ่มนวล ด้วยเหตุนี้นางจึงกลายเป็นที่นิยมชมชอบในบรรดาเหล่าศิษย์บำรุงสำนักด้วยกัน เมื่อนางเข้าแข่งขันจึงไม่แปลกที่จะมีผู้คนให้การสนับสนุนมากมาย
เมื่อเห็นนามของหยวนจื่อหลานขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่ง เสียงตะโกนโห่ร้องด้วยความยินดีก็ดังก้องไปทั่วทั้งจัตุรัส
หลายคนส่งเสียงเรียกขานนามหยวนจื่อหลานเป็นระยะๆ เนื่องจากคนเหล่านั้นคิดว่านางต้องคว้าอันดับหนึ่งในการทดสอบชิงอวิ๋นครั้งนี้ได้เป็นแน่!
ในขณะที่ทุกคนกำลังคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่ดวงตาของหยวนจื่อหลานกลับสงบมาก
หลังจากได้รับผลหยวนหลิงและประสบการณ์มากมายในการทดสอบชิงอวิ๋นครั้งนี้ นางก็ถือว่าประสบความสำเร็จมิใช่น้อย จึงไม่คิดสนใจว่าตนจะได้อันดับหนึ่งหรือไม่
ยิ่งไปกว่านั้น หยวนจื่อหลานยังมีลางสังหรณ์ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบครั้งนี้ อาจเกินความคาดหมายของทุกคนไปมากทีเดียว
เมื่อนึกถึงตรงนี้ หยวนจื่อหลานก็ชายตาไปมองเรือสำเภาหมายเลขห้าโดยไม่รู้ตัว
หลังเวลาผ่านไป ผู้คนก็ลงเรือสำเภาไปแล้วมากกว่าครึ่ง
ไม่นานจากนั้นนัก ก็มีหนึ่งในสิบตัวเต็งลงจากเรือสำเภาอีกคน ร่างนั้นเป็นสตรีเฉกเช่นเดียวกันกับหยวนจื่อหลาน นามนั้นคือโจวรั่ว!