ตอนที่ 23: วิชาควบคุมวายุ
ตอนที่ 23: วิชาควบคุมวายุ
ยอดเขาหลักของสำนักสายนอกของสำนักขนนกร่วงโรยมีชื่อว่ายอดเขาขนนกโบยบิน
ปราณวิญญาณบนยอดเขาขนนกโบยบินเข้มข้นกว่ายอดเขาเหมันต์น้อยหลายเท่า หวังฝูยืนอยู่ที่ตีนเขาของยอดเขาขนนกโบยบินขณะมองขั้นบันไดหินสีน้ำเงินยาว ปราณวิญญาณมหาศาลที่พุ่งเข้ามาทำให้เขามีชีวิตชีวา
ประหนึ่งน้ำค้างหวานหลังจากผ่านฤดูแล้งอันยาวนาน
เขาอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าด้วยความละโมบ
เขาเคยอยู่ในสถานที่ลึกล้ำกว่าของสำนักขนนกร่วงโรยมาก่อน แต่ในตอนนั้นเขาเป็นเพียงมนุษย์ที่ไม่เข้าใจความลึกล้ำของปราณวิญญาณฟ้าดิน ภายหลังถึงได้ดึงลมปราณเข้าสู่ร่างกายในหุบเขาร้อยหญ้าจนกลายเป็นผู้ฝึกตน
“เป็นไง? ปราณวิญญาณอุดมสมบูรณ์ใช่หรือไม่? นี่เป็นเพียงสำนักสายนอกเท่านั้น หากเป็นสำนักสายใน ปราณวิญญาณจะต้องเข้มข้นขึ้นอีกหลายเท่า” เฝิงต้าฟู่พบว่าหวังฝูดูเหมือนไม่เคยเห็นโลกมาก่อนจนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกภาคภูมิใจ
“ศิษย์พี่เฝิงเคยอยู่สำนักสายในมาก่อนหรือ?” หวังฝูเอ่ยถามขณะเดินขึ้นไป
“สำนักสายใน… แค่ก มันไม่ใช่อย่างนั้น” เฝิงต้าฟู่กระแอมในลำคอ จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง “แต่มีคนของข้าอยู่สำนักสายใน”
“อย่างนี้นี่เอง”
หวังฝูชำเลืองมองเฝิงต้าฟู่แล้วพยักหน้าอย่างมั่นใจ
เฝิงต้าฟู่รู้สึกอับอาย หากเป็นคนอื่นคงโดนเขาตบหน้าไปแล้ว แต่เด็กชายตรงหน้าข้องเกี่ยวกับเซียนหนิงซวง ดังนั้นจึงไม่สามารถตีหรือต่อว่าได้
เขาถอนสายตากลับไปขณะบังเกิดความคิดบางอย่าง
“ศิษย์น้องหวัง ผู้ดูแลตำหนักกิจการทั่วไปของสำนักสายนอกอาจไม่อยู่ที่นี่ตลอดเวลา ดังนั้นพวกเรารีบขึ้นยอดเขาขนนกโบยบินเพื่อเลี่ยงความล่าช้าจะดีกว่า”
สิ้นคำ เฝิงต้าฟู่จึงใช้วิชาควบคุมวายุกับตัวเองทันที ทำให้รู้สึกเบาสบายประหนึ่งนกนางแอ่น เพียงไม่กี่ก้าวก็ปีนขึ้นบันไดไปหลายสิบขั้นขณะทิ้งหวังฝูเอาไว้ข้างหลัง
“ศิษย์น้อยหวัง เจ้าเร่งฝีเท้าหน่อย…”
“กำลังไป” หวังฝูทราบทันทีว่าเจ้าอ้วนเฝิงกำลังเอาคืนเขาหลังจากเห็นเช่นนี้
เหตุใดถึงใจแคบนัก
หวังฝูพึมพำอยู่สองสามคำขณะถ่ายทอดพลังวิญญาณไปที่ขา ทำให้ความเร็วเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ทว่าเทียบกับเฝิงต้าฟู่ผู้ใช้วิชาควบคุมวายุ เห็นได้ชัดว่าความแตกต่างมากเกินไป นี่ยังไม่รวมถึงเรื่องที่เฝิงต้าฟู่อยู่ขอบเขตกลั่นลมปราณระดับห้า
“ศิษย์น้องหวัง เจ้ารีบหน่อยได้หรือไม่ เหตุใดจึงช้านัก…”
“เร็วเร็วเร็ว… ตำหนักกิจการทั่วไปกำลังจะปิดแล้ว”
“ช้าเกินไป…”
เฝิงต้าฟู่สาวเท้าอย่างเกียจคร้านอยู่ตรงหน้าขณะหันศีรษะเป็นครั้งคราวเพื่อเร่งเร้าด้วยความรู้สึกยินดียิ่ง
ในที่สุดทุกอย่างก็ผ่านไปอย่างราบรื่น
“ศิษย์พี่เฝิง วิชาของท่านมันคืออะไร? มันช่างน่าทึ่งยิ่งนัก” หวังฝูตะโกนขณะไล่ตามมา
“ฮ่าฮ่า… นี่คือวิชาควบคุมวายุ” เฝิงต้าฟู่หัวเราะอย่างสนุกสนาน
“วิชาควบคุมวายุ? หากควบคุมสายลมได้ก็จะเหาะเหินได้งั้นหรือ”
“การเหาะเหินบนฟ้าไม่ใช่เรื่องง่าย มีเพียงขอบเขตปราณทองเท่านั้นที่สามารถก้าวข้ามข้อจำกัดได้ ทว่าวิชาควบคุมวายุนี้สามารถทำให้พวกเราเบาเหมือนนกนางแอ่นและรวดเร็วราวกับเหาะเหิน หากไปถึงระดับสมบูรณ์แบบและมีพลังวิญญาณอุดมสมบูรณ์พอก็จะสามารถร่อนไปได้ในระยะเวลาอันสั้น” เฝิงต้าฟู่สนุกจนหนำใจแล้วจึงเลิกมองหวังฝู
หวังฝูรีบไล่ตามขณะเอ่ยคำด้วยรอยยิ้ม “ช่างน่าทึ่งนัก ศิษย์พี่เฝิงสามารถสอนสั่งข้าได้หรือไม่”
“สอนเจ้าหรือ?” เฝิงต้าฟู่มองหวังฝูพลางแตะคาง “นี่ไม่ใช่วิชาที่ซับซ้อนและไม่มีข้อจำกัดในสำนัก ข้าก็สอนให้ได้อยู่หรอก แต่ว่า… เหอะเหอะ บอกข้ามาว่าเจ้ามีความสัมพันธ์อย่างไรกับเซียนหนิงซวง”
เขาหรี่ตาขนาดเล็กด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“เซียนหนิงซวงหรือ?” หวังฝูไม่เข้าใจชั่วขณะ
“เหลวไหล เจ้ายังแกล้งโง่อยู่อีก” เฝิงต้าฟู่กลอกตา “อวิ๋นหนิงซวง เซียนหนิงซวงก็คืออวิ๋นหนิงซวงไง”
“อวิ๋นหนิงซวง ศิษย์พี่หญิงอวิ๋นหรือ?” หวังฝูพลันตระหนักได้ เขาจำได้เช่นกันว่าผู้ฝึกตนที่โจมตีพวกเขาระหว่างทางมาสำนักขนนกร่วงโรยก็เคยพูดอะไรทำนองนี้ “ศิษย์พี่เฝิงคงไม่ได้สงสัยว่าข้ามีความสัมพันธ์กับศิษย์พี่หญิงอวิ๋นหรอกใช่ไหม”
“หมายความว่าไงที่ว่าสงสัย มันต้องมีความเกี่ยวโยงอยู่แล้ว ไม่งั้นทำไมเซียนหนิงซวงถึงตบจ้าวเจ๋อหลินเพื่อเจ้าเล่า” เฝิงต้าฟู่เอ่ยคำขณะมองรอบข้าง เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้นจึงลดน้ำเสียงลง “ขนาดผู้อาวุโสซุนเฉียนยังโดนตบเลย”
“เรื่องนี้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งสำนักแล้ว”
“เป็นไปได้อย่างไร ต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดเป็นแน่” หวังฝูไม่เชื่อขณะรีบเอ่ยคำ “ศิษย์พี่เฝิงอย่าเข้าใจผิดซ้ำสอง ไม่งั้นอย่ามากล่าวโทษข้าทีหลัง”
“แค่กแค่ก…” เฝิงต้าฟู่ไอสองครั้งเพื่อปกปิดความเขินอาย “ไม่ต้องห่วง คราวนี้ข้าไม่ทำผิดพลาดซ้ำสองหรอก เจ้าถือว่าเป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องและได้รับการสนับสนุนจากศิษย์พี่หญิงอวิ๋นผู้กำลังจะสร้างรากฐาน โอ้ไม่… หลังจากเซียนหนิงซวงกลับมาจากเขตปกครองหนานหลีคงได้เป็นอาจารย์อวิ๋นแล้ว”
“ข้าไม่ได้มีความข้องเกี่ยวกับศิษย์พี่หญิงอวิ๋นจริง เพียงแต่ศิษย์พี่หญิงอวิ๋นพาข้าเข้าสำนักก็เท่านั้น” หวังฝูเอ่ยคำอย่างจนปัญญา
“ไม่มีจริงหรือ?” เมื่อเห็นสีหน้าของหวังฝู เฝิงต้าฟู่อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความสงสัย
“ไม่มีแน่นอน”
“ไม่มีอะไรเลยใช่หรือไม่?”
“…”
“นั่นมันเป็นไปไม่ได้ งั้นบอกข้าหน่อยว่าศิษย์พี่หญิงอวิ๋นส่งเจ้ากลับสำนักอย่างไร” เฝิงต้าฟู่ยังคงยืนกราน
“ท่านสอนวิชาควบคุมวายุให้ข้าก่อน” หวังฝูไม่ยอมตกเป็นฝ่ายเสียผลประโยชน์เช่นกัน
“ได้ ข้าจะมอบให้เจ้าเอง” เฝิงต้าฟู่หยิบแผ่นหยกออกมาจากถุงเก็บของที่อยู่ตรงเอว “นี่ ใช้พลังวิญญาณกระตุ้นมันแล้วแปะไว้ที่หน้าผาก”
หวังฝูทำตามที่บอก แล้วดวงตาจึงทอประกาย
หลังจากผ่านไปหนึ่งถึงสองอึดใจ หวังฝูจึงทราบวิธีฝึกฝนวิชาควบคุมวายุ
หลังจากเปลี่ยนแผ่นหยกแล้ว หวังฝูย่อมอดไม่ได้ที่จะลองของ
เขาสร้างผนึกของวิชาควบคุมวายุพร้อมกระตุ้นพลังวิญญาณ…
“นี่ เจ้าจะทำอะไรน่ะ กลับเข้าเรื่องดีกว่า วิชาควบคุมวายุนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเชี่ยวชาญ เจ้าสามารถทำการฝึกฝนหลังจากนี้… ได้…”
ดวงตาของเฝิงต้าฟู่เบิกกว้างขณะเห็นสายลมแผ่วเบาออกมาจากเท้าของหวังฝู จากนั้นจึงทะยานออกไปมากกว่าสิบจั้ง
“บัดซบเอ๊ย… นี่มันระดับเริ่มต้นหรือ?”
ตอนแรกเขาฝึกฝนนานเท่าไหร่? เจ็ดวัน? ครึ่งเดือน? ดูเหมือนจะหนึ่งเดือน
“อัจฉริยะผู้มีรากฐานวิญญาณผสมห้าธาตุของแท้”
เฝิงต้าฟู่รีบร่ายวิชาควบคุมวายุให้ตัวเองเพื่อไล่ตามไป “ศิษย์น้องหวัง ศิษย์น้องหวัง… เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับศิษย์พี่หญิงอวิ๋นเลย…”
หวังฝูย่อมไม่ผิดสัญญา
ขณะเรียนรู้วิชาควบคุมวายุ เขาก็พูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่ประสบกับอวิ๋นหนิงซวงระหว่างทางไปยอดเขาเหมันต์น้อย แน่นอนว่าไม่ได้เปิดเผยความลับระหว่างเดินทาง เฝิงต้าฟู่ฟังด้วยความสนใจยิ่งก่อนจะปิดท้ายด้วยการวิเคราะห์
เขาเอ่ยคำอย่างจริงจัง “ข้าคิดว่าเหตุผลที่ศิษย์พี่หญิงอวิ๋นลงโทษศิษย์พี่จ้าวก็เพราะเจ้า แต่มันไม่ได้ลึกลับเหมือนอย่างที่คนอื่นในสำนักพูดกัน เริ่มจาก…” เขาชูนิ้วขึ้น “เจ้ามาจากหมู่บ้านอู๋ถง ซึ่งหมู่บ้านอู๋ถงมีบุญคุณต่อผู้อาวุโสจู แล้วผู้อาวุโสจูก็มีความสัมพันธ์ยาวนานกับผู้อาวุโสเฮ่อ การที่ศิษย์พี่จ้าวไปรังแกเจ้าก็เท่ากับเป็นการตบหน้าผู้อาวุโสเฮ่อ ศิษย์พี่หญิงอวิ๋นคงเดือดดาลมากจนลุกขึ้นยืนหยัดเพื่ออาจารย์”
“อย่างที่สอง…” เฝิงต้าฟู่มองรอบข้างก่อนจะพบว่าไม่มีใคร จากนั้นจึงโน้มตัวมาใกล้หูของหวังฝูแล้วเอ่ยคำด้วยเสียงที่แผ่วเบายิ่ง “ศิษย์พี่หญิงอวิ๋นไม่เคยสัมผัสมือชายใดมาก่อน เจ้านับว่าเป็นคนแรก ศิษย์พี่หญิงอวิ๋นอาจจะประทับใจในตัวเจ้าเพราะเหตุนี้ก็ได้… ลองคิดดูสิ อัจฉริยะที่ไร้ใครเทียบผู้กำลังจะสร้างรากฐานวิถีปฐพีดันไปถูกศิษย์รับใช้ตัวน้อยสัมผัสเข้า… เหอะเหอะ…”
ขณะมองหน้านิ่วคิ้วขมวดของเฝิงต้าฟู่ หวังฝูจึงรู้สึกว่าชายร่างอ้วนผู้นี้สมควรถูกทุบตีเหลือเกิน แต่น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถทำได้ เพราะงั้นเอาไว้ว่ากันทีหลัง
ทว่าส่วนแรกที่เฝิงต้าฟู่กล่าวถึงนั้นค่อนข้างเข้าเค้าเป็นอย่างมาก
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หวังฝูจึงบังเกิดความยินดีทันที มันไม่ใช่เรื่องอื่นใดนอกจากไอ้สารเลวจ้าวเจ๋อหลินโดนทุบตี
มันช่างน่าพอใจเหลือเกิน
ในที่สุด ทั้งสองคนจึงมาถึงยอดเขาขนนกโบยบินซึ่งมีผู้คนเข้าออกมากมาย ตำหนักถูกสร้างขึ้นฝั่งตรงข้ามกับยอดเขาขนนกโบยบินขณะเชื่อมต่อกันด้วยถนนหินสีน้ำเงิน
เฝิงต้าฟู่บอกหวังฝูว่าอย่าเถลไถลและให้ตามติด ผ่านไปสักพัก ในที่สุดพวกเขาจึงมาถึงตำหนักกิจการทั่วไปของสำนักสายนอก