MDB ตอนที่ 479 คุณสมบัติอย่างเป็นทางการ
ในบรรดาผู้คุมสอบทั้งสิบคน ท่านชายจงถือเป็นผู้มีประสบการณ์มากที่สุด และมีสถานะสูงสุด เป็นเรื่องธรรมดาที่คำถามของเขาจะถูกเก็บไว้เป็นคำถามสุดท้าย
อย่างไรก็ตาม ท่านชายจงเพียงแต่พูดด้วยรอยยิ้มว่า
“ทุกคนได้ทดสอบหลินผู้ประเมินในด้านต่าง ๆ ไปหมดแล้ว ดูเหมือนว่าข้าจะไม่มีอะไรเหลือให้ถามเขาอีกต่อไปแล้ว สิ่งที่เหลือคือการทดสอบการวิวัฒนาการ”
ในฐานะผู้ประเมิน การเลื่อนระดับสัตว์วิเศษเป็นทักษะที่มีน้ำหนักมากที่สุดอย่างชัดเจน และยังเป็นงานที่ยากที่สุดอีกด้วย
สำหรับผู้ประเมินระดับสี่ พวกเขาคาดว่าจะมีอัตราความสำเร็จร้อยเปอร์เซ็นต์ในการเลื่อนสัตว์วิเศษระดับสามไปเป็นระดับสี่ อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถพูดแบบเดียวกันได้กับสัตว์วิเศษระดับสี่ไปเป็นระดับห้า
ผู้คุมสอบทุกคนมีประสบการณ์ในการเลื่อนสัตว์วิเศษระดับสี่ไปเป็นระดับห้าอยู่แล้ว และส่วนใหญ่สามารถเลื่อนระดับสำเร็จในทุก ๆ ครั้ง
แน่นอนว่าต้องใช้เวลาพอสมควรสำหรับสิ่งนี้
หลินจินตั้งตัวตรงขึ้น เพราะดูเหมือนว่าท่านชายจงกำลังจะทดสอบเขาในหัวข้อที่ยากที่สุด นั่นคือการวิวัฒนาการ
แต่ทุกคนต้องประหลาดใจกับสิ่งที่ท่านชายจงพูดว่า
“ข้าจะไม่ทดสอบเจ้าในเรื่องการวิวัฒนาการ!”
คนอื่น ๆ ต่างก็ตกตะลึง หลินจินก็ตกตะลึงเช่นกัน
เขาจะไม่ทดสอบหลินจินในเรื่องวิวัฒนาการงั้นเหรอ
แล้วเขาจะประเมินอะไรล่ะ?
จากนั้น ท่านชายจงก็พูดต่อ
“เมื่อไม่นานนี้ ข้าคิดอยู่ว่าผู้ประเมินระดับสี่ไม่ควรแค่มีทักษะที่เชี่ยวชาญเท่านั้น แต่พวกเขาควรมีความรู้เพียงพอที่จะสอนคนอื่นอีกด้วย ข้าจึงอยากให้ผู้ประเมินหลินทำหน้าที่เป็นอาจารย์ที่สถาบันเกลียวสวรรค์เป็นเวลาสามเดือน ถ้าเจ้าสามารถผลิตผู้ประเมินระดับสามได้ ข้าจะยอมรับเจ้าเป็นผู้ประเมินระดับสี่”
หลินจินตกตะลึง
มีข่าวลือว่าท่านชายจงเกลียดจงชังการเล่นตามกฎ และวันนี้ หลินจินได้เห็นด้วยตาตัวเอง
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ การให้การศึกษาเพื่อนมนุษย์เป็นงานที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาต้องผลิตผู้ประเมินระดับสาม แม้ว่ามันจะฟังดูตรงไปตรงมา แต่ไม่ใช่ว่านักเรียนทุกคนจะก้าวหน้าได้ตามที่อาจารย์ต้องการ
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากท่านชายจงพูดไปแล้ว ก็ไม่มีใครกล้าคัดค้านเขา และพวกเขาก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะทำเช่นนั้น
“แน่นอนว่าเกี่ยวกับการลงคะแนนที่เราจะจัดขึ้นในภายหลัง หากผู้ประเมินหลินผ่านการประเมิน เจ้าจะยังคงถือเป็นผู้ประเมินระดับสี่อย่างเป็นทางการ แม้ว่าเจ้าจะไม่รับคำท้าของข้าก็ไม่เป็นไร ข้าจะงดลงคะแนนเสียง ไม่ว่าข้าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตาม”
ท่านชายจงกล่าว
'ทำอย่างนี้ก็ได้เหรอ?'
หลินจินรู้สึกประหลาดใจ
แท้จริงแล้ว การสูญเสียหนึ่งเสียงจากกลุ่มผู้ลงคะแนนสิบคน มันไม่มีอิทธิพลเพียงพอที่จะเปลี่ยนชะตากรรมของหลินจิน
หลินจินคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้สักครู่ก่อนจะพยักหน้า
“ไม่ว่าผลการลงคะแนนจะออกมาเป็นอย่างไร ข้าก็เต็มใจที่จะทำหน้าที่เป็นอาจารย์ที่สถาบันเกลียวสวรรค์ในอีกสามเดือนข้างหน้าขอรับ”
เขาวางแผนที่จะอยู่ที่เมืองเกลียวสวรรค์เป็นระยะเวลาหนึ่งอยู่แล้ว เพราะเขาต้องไปโน้มน้าวจักรพรรดิของอาณาจักรเกลียวสวรรค์ เพื่อขอยืมดูอักษรภาพโบราณของเต้าจวิน ซึ่งเขาคงไม่สามารถทำได้ภายในไม่กี่วัน
ด้วยเหตุนี้ การอยู่ที่นี่เป็นเวลาสามเดือนจึงดูสมเหตุสมผล
ที่สำคัญกว่านั้น เขาจะสามารถทิ้งความประทับใจที่ดีให้กับท่านชายจงได้โดยการยอมรับคำท้าของเขา
การผูกมิตรกับผู้ทรงอิทธิพลของชุมชนผู้ประเมิน มันจะต้องช่วยเขาในเรื่องต่าง ๆ ด้วยสิทธิพิเศษของอีกฝ่ายอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าสิทธิพิเศษนั้นจะมาในรูปแบบไหนก็ตาม
แต่ก่อนจะถึงขั้นนั้น ผู้คุมสอบทั้งสิบคนจะต้องยกมือขึ้นเพื่อแสดงการอนุมัติจากพวกเขา หากเขาได้จำนวนเสียงที่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง เขาอาจจะต้องพับเสื่อและกลับบ้าน
แม้ว่าเขาจะผ่านการประเมินของท่านชายจงในภายหลังมันก็ไร้ประโยชน์
ในทางกลับกัน หากเขาได้รับการอนุมัติจากผู้คุมสอบส่วนใหญ่ เขาจะได้รับคุณสมบัติระดับสี่
ในแง่หนึ่ง ความคิดเห็นของท่านชายจงมีความสำคัญพอ ๆ กัน แต่มันไม่ใช่กุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ
เมื่อการลงคะแนนเริ่มขึ้น ผู้ประเมินหยานเป็นคนแรกที่ยกมือขึ้น เห็นได้ชัดว่าเขาเห็นด้วยกับหลินจินอย่างมาก ต่อมา ผู้ประเมินคนอื่น ๆ อีกสองสามคนก็ยกมือขึ้นเพื่อแสดงการอนุมัติ
โดยรวมแล้ว ผู้ประเมินห้าคนยกมือขึ้นแล้ว โดยไม่รวมท่านชายจง ผู้ประเมินระดับสี่ส่วนใหญ่แสดงการสนับสนุนหลินจิน
ในบรรดาผู้ที่ไม่ได้ยกมือขึ้น หยางหมิงก็เป็นหนึ่งในนั้นอย่างไม่น่าแปลกใจ
ทันใดนั้น ผู้คุมสอบอีกคนก็ยกมือขึ้น ด้วยเหตุนี้ จึงมีผู้ประเมินระดับสี่หกคนที่ยอมรับหลินจิน
ไม่ว่าคำตัดสินขั้นสุดท้ายของท่านชายจงจะเป็นอย่างไร หลินจินก็ผ่านการประเมินระดับสี่ได้สำเร็จ และเขาก็ได้รับคุณสมบัติอย่างเป็นทางการ
เอกสิทธิ์อย่างหนึ่งที่สำนักงานใหญ่ของสมาคมประเมินสัตว์วิเศษของอาณาจักงเกลียวสวรรค์มีก็คือ พวกเขาไม่ได้อยู่ภายใต้เขตอำนาจของจักรพรรดิ
พวกเขามีอำนาจในการตัดสินผู้ประเมินจากประเทศอื่น ๆ ด้วยความเป็นอิสระ และมีอำนาจในการปกครองตนเองในระดับที่มากพอสมควร
นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมสำนักงานใหญ่ของพวกเขาจึงสามารถสถาปนาตัวเองเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับผู้ประเมินที่ปกครองทวีปยูไนเต็ดได้
“ขอแสดงความยินดีด้วย ผู้ประเมินหลิน!”
ผู้ประเมินหยานกล่าว ผู้คุมสอบคนอื่น ๆ ที่เห็นด้วยกับหลินจินก็เข้ามาแสดงความยินดีกับเขาเช่นกัน
ด้วยมาตรฐานระดับสี่ เกณฑ์เดียวที่ประทับใจพวกเขาคือความแข็งแกร่ง
ซึ่งหลินจินสามารถเอาชนะบททดสอบที่ยากลำบากทั้งหมดได้ และความสามารถที่เขาแสดงออกมาก็ทำให้พวกเขาทุกคนประหลาดใจ
แม้ว่าบางคนจะไม่เต็มใจที่จะยอมรับผลลัพธ์เพราะความอิจฉา แต่คนส่วนใหญ่ก็เปิดใจยอมรับความจริงที่ว่าชายหนุ่มผู้นี้อาจจะแซงหน้าพวกเขาได้ในอนาคตอันใกล้
แน่นอนว่ายังมีผู้ประเมินบางคนที่จากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ เช่น ผู้ประเมินหยางหมิง
อาจเป็นเพราะลักษณะนิสัยที่แปลกประหลาดของพวกเขา หรือเพราะพวกเขาไม่ชอบหลินจิน ซึ่งสิ่งนี้ปรากฏชัดเมื่อเขาปฏิเสธที่จะยกมือขึ้น อย่างไรก็ตาม นั่นจะไม่เปลี่ยนผลลัพธ์ของการประเมินครั้งนี้
หลินจินผ่านการทดสอบแล้ว!
แม้ว่าเขาจะรู้แล้วว่าด้วยความสามารถ มันจะช่วยให้เขาผ่านการประเมินได้ แต่หลินจินก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นอยู่ดี
ท้ายที่สุดแล้ว นั่นบ่งชี้ว่าทักษะของเขาได้รับการยอมรับจากชนชั้นสูงของชุมชนผู้ประเมินสัตว์วิเศษ
ทางสำนักงานใหญ่ของสมาคมผู้ประเมินสัตว์วิเศษของอาณาจักรเกลียวสวรรค์ตอบสนองอย่างรวดเร็ว เพราะเพียงไม่กี่วินาทีต่อมา พวกเขาได้ทำการส่งปลอกแขนสี่ห่วงมาให้เขา
สิ่งของดังกล่าวนั้นยากที่จะตีขึ้นรูป ต้องมีทักษะฝีมืออันเป็นเอกลักษณ์จึงรังสรรค์พวกมันออกมาได้ ด้วยเหตุนี้ มันจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะผลิตเลียนแบบออกมาขายในตลาดมืด
หลินจินถอดปลอกแขนสามห่วงออกเพื่อใส่อันใหม่ ชั่วขณะหนึ่ง เขาสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในออร่าของเขา
แน่นอนว่ามันอาจเป็นเพียงสิ่งที่เขาจินตนาการไปเอง
แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาจะต้องสร้างความวุ่นวายภายนอกอย่างแน่นอนด้วยปลอกแขนสี่ห่วงนี้ แม้แต่ในเมืองเกลียวสวรรค์ จำนวนผู้ประเมินระดับสี่ก็มีราว ๆ ยี่สิบคนเท่านั้น
“ท่านชายจงกลับไปแล้ว เขาบอกว่าเจ้าสามารถไปที่สถาบันเกลียวสวรรค์ได้ทุกเมื่อที่ต้องการ” ผู้ประเมินหยานกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลินจินตอบรับด้วยความรู้สึกขอบคุณและความเคารพต่ออีกฝ่าย
เขาซาบซึ้งใจอย่างยิ่งต่อผู้ประเมินหยานที่เสนอความช่วยเหลือมาโดยตลอดการประเมิน ถ้าไม่มีเขา หลินจินอาจต้องทุ่มเทความพยายามมากกว่านี้
จากนั้น ผู้ประเมินหยานเสนอที่จะไปสถาบันเกลียวสวรรค์กับหลินจิน แต่หลินจินไม่ต้องการรบกวนเขามากไปกว่านี้ ด้วยเหตุนี้ ผู้ประเมินหยานจึงตัดสินใจขอตัว
ก่อนจากไป เขากล่าวเสริมว่า
“เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่ผู้ประเมินหลินมาที่เมืองเกลียวสวรรค์ หากเจ้าต้องการความช่วยเหลือใด ๆ โปรดอย่าลังเลที่จะมาบอกกล่าวกับข้า”
เมื่อพูดจบ เขาก็จากไป
“ช่างเป็นผู้ชายที่ใจดีจริง ๆ” หลินจินพึมพำกับตัวเอง
จากนั้น เขาก็ไปหาเจียงเทียนเหอเพื่อแจ้งผลการประเมินของเขา
ท้ายที่สุดแล้ว ชายคนนั้นคือคนที่ช่วยหลินจินจัดเตรียมการประเมิน
เมื่อพวกเขาพบกัน เจียงเทียนเหอก็ทราบสถานะใหม่ของหลินจินแล้ว ดังนั้นคราวนี้เขาจึงพูดจาสุภาพกว่าเดิมมาก
ท้ายที่สุดแล้ว หลินจินเป็นผู้ประเมินระดับสี่เต็มตัว เขาจึงสูงกว่าเจียงเทียนเหอหนึ่งระดับเต็ม ๆ
เมื่อได้ยินว่าหลินจินจะต้องอยู่ที่เมืองเกลียวสวรรค์อีกสามเดือน เจียงเทียนเหอจึงเข้าใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป เพราะจะไม่เหมาะสมหากหลินจินจะพักอาศัยในโรงเตี๊ยมเป็นเวลานานเช่นนี้
“ผู้ประเมินหลิน ให้ข้าดูแลที่พักให้เจ้าเถอะ มันไม่ใช่ธุระที่ผู้ประเมินระดับสี่จะต้องกังวล”
เจียงเทียนเหอตัดสินใจรับหน้าที่หาที่พักใหม่ให้หลินจิน
หลินจินขอบคุณเขาและบอกให้เขาจัดการได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน