ตอนที่ 12 ผู้ใดเล่าจะไร้ค่าไปกว่าข้า?
ตอนที่ 12 ผู้ใดเล่าจะไร้ค่าไปกว่าข้า?
ศิษย์พี่คนนั้นหัวเราะ “ก็ประมาณนั้นแหละ ยิ่งไร้ค่า ศิษย์พี่ฉินอวี้ก็ยิ่งชอบ ครึ่งปีก่อน ข้าโชคดีได้เข้าร่วมทีมของศิษย์พี่ฉินอวี้ ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่ทำความสะอาดเก็บของที่ได้จากภารกิจ ภารกิจเดียวได้เงินมาห้าหมื่นเหรียญทองแดง!”
“ไม่แปลกใจเลยที่คนพวกนี้แย่งกันขนาดนี้!”
ลู่เหรินยิ้มจากนั้นก็ชี้ไปที่คนสองคนที่อยู่ข้างหลังฉินอวี้ แล้วถาม “ศิษย์พี่ สองคนนั้นไร้ค่ามากเลยหรือ? ถึงขนาดศิษย์พี่ฉินอวี้เลือกเข้าทีมโดยตรง!”
“ไม่ใช่แค่ไร้ค่า พวกเขามีสายเลือดระดับสี่แต่กลับไม่พยายามฝึกฝน เข้าสำนักมาปีกว่าแล้ว เพิ่งเปิดช่องจิตได้สองช่อง คนหนึ่งชื่อหวังเถิง อีกคนชื่อจางเชิ่ง ในสำนักเมฆาขจี พวกเขาได้ชื่อว่าเป็นสองคนที่ไร้ค่าที่สุดในหมู่ศิษย์ระดับเริ่มต้น!”
ศิษย์พี่คนนั้นกล่าว
“สองคนที่ไร้ค่าที่สุดในหมู่ศิษย์ระดับเริ่มต้น?”
ลู่เหรินหลุดขำ จากนั้นก็มองไปที่ฉินอวี้
ต้องยอมรับว่าฉินอวี้สวยมาก รูปร่างหน้าตาไม่ด้อยไปกว่าอาจารย์ของเขาเลย แต่กลับหยิ่งยโสราวกับนกยูง ดูเหมือนจะไม่มีใครอยู่ในสายตาของนาง
“สิ่งที่ข้าต้องการคือคนที่ไร้ค่าจริง ๆ ในหมู่พวกเจ้า ใครคิดว่าตัวเองเทียบได้กับสองคนนี้ก็สามารถเข้าร่วมทีมของข้าได้!”
ฉินอวี้ขัดจังหวะเสียงของทุกคน
ทันใดนั้นหลายคนก็มองหน้ากัน
ในการแข่งขันว่าใครไร้ค่า ใครจะเทียบกับสองคนนี้ได้?
หวังเถิงและจางเชิ่ง เป็นที่รู้จักกันดีในสำนักเมฆาขจีว่าเป็นสองคนที่ไร้ค่าที่สุด
ในตอนนั้น ชายหนุ่มหน้าตาเจ้าเล่ห์คนหนึ่งก้าวออกมายิ้มแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ฉินอวี้ ถึงแม้ว่าข้าจะเปิดช่องจิตได้มากกว่าพวกเขาสองคนไร้ค่านั้นหนึ่งช่อง แต่ข้าฝึกฝนวิทยายุทธระดับมนุษย์ขั้นต่ำได้แค่ท่าเดียวเอง!”
“เจ้าฝึกฝนวิทยายุทธระดับมนุษย์ขั้นต่ำได้แค่ท่าเดียว?”
ฉินอวี้รู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อย
ศิษย์อาวุโสเหล่านี้ อย่างน้อยก็เข้าสำนักเมฆาขจีมาหนึ่งปีแล้ว แต่กลับฝึกฝนวิทยายุทธระดับมนุษย์ขั้นต่ำได้เพียงท่าเดียวถือว่าไร้ค่าจริง ๆ
ชายหนุ่มคนนั้นพูดอย่างภาคภูมิใจ “การฝึกฝนมันลำบาก ถ้าไม่ใช่พ่อของข้าขอร้องผู้อาวุโสในสำนักให้เก็บข้าไว้ ข้าคงกลับบ้านไปสืบทอดมรดกตั้งนานแล้ว ครั้งนี้ข้าแค่อยากมาชื่นชมศิษย์พี่ฉินอวี้เท่านั้น!”
“ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะไร้ค่าขนาดนี้ ถือว่าเจ้าแน่ คนไร้ค่าอันดับสามของเขตเมฆาขจีก็ยกให้เจ้าแล้วกัน!”
“น่าโมโห รู้งี้ข้าไม่ฝึกวิทยายุทธเลยดีกว่า!”
นักสู้หลายคนรู้สึกไม่ยอมแพ้
เพราะว่าแค่เข้าร่วมทีมของฉินอวี้ก็จะได้รับส่วนแบ่งจากทรัพย์สินที่ได้จากการทำภารกิจ ซึ่งทรัพย์สินเหล่านั้นสามารถแลกเปลี่ยนเป็นเหรียญทองแดงจำนวนมากได้
ใครจะไม่อยากได้เงินง่าย ๆ เล่า?
ยิ่งไปกว่านั้น ยังได้ฝึกฝนภาคปฏิบัติไปพร้อมกับศิษย์พี่ฉินอวี้ถือเป็นงานสบาย ๆ
ชายหนุ่มหน้าตาเจ้าเล่ห์มองไปรอบ ๆ อย่างภาคภูมิใจ “ขออภัยทุกท่านด้วย ตำแหน่งสุดท้ายก็...”
แต่เขายังพูดไม่ทันจบก็มีเสียงเรียบๆ ดังมาจากฝูงชน “ตำแหน่งนี้ข้าขอแล้ว!”
ลู่เหรินแหวกฝูงชนออกมา เดินเข้าไปกลางวง
ยังมีคนที่คิดว่าตัวเองไร้ค่ากว่านี้อีกหรือ?
ทุกคนต่างตกใจ มองไปที่ลู่เหรินแต่กลับพบว่าไม่คุ้นหน้า
ชายหนุ่มคนนั้นจ้องมองลู่เหรินอย่างไม่พอใจ “เจ้าน่าจะเป็นศิษย์ใหม่ระดับเริ่มต้น เพิ่งจะเริ่มฝึกฝน จะมาแข่งไร้ค่ากับข้าได้ยังไง?”
ลู่เหรินยิ้ม “การแข่งไร้ค่าต้องแข่งกันที่การฝึกฝนด้วยหรือ?”
“แน่นอน ถ้าเจ้าทำได้เหมือนข้า ฝึกฝนวิทยายุทธระดับมนุษย์ขั้นต่ำได้เพียงท่าเดียว ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูด!”
ชายหนุ่มพูดอย่างเย็นชา “เจ้าเพิ่งเริ่มฝึกฝน เจ้ายังไม่ไร้ค่า ข้าไร้ค่าไปแล้ว!”
ความหมายโดยนัยคือตอนนี้เจ้ายังไม่ได้ฝึกฝน ยังไม่ได้ไร้ค่า ข้าฝึกฝนมาปีกว่าแล้วไร้ค่าไปแล้ว ต่อให้ฝึกฝนอย่างหนักก็ไล่ตามเพื่อนร่วมรุ่นไม่ทัน เป็นคนที่ไร้ค่าอย่างแท้จริง
ลู่เหรินยิ้มอย่างมั่นใจเยาะเย้ย “ข้ามีสายเลือดขยะ เจ้าจะมาแข่งไร้ค่ากับข้าหรือ?”
“อะไรนะ? สายเลือดขยะ? เจ้าคือลู่เหรินที่ท่านหญิงศักดิ์สิทธิ์รับเป็นศิษย์งั้นหรือ?”
ชายหนุ่มตกใจ ศิษย์อาวุโสระดับเริ่มต้นที่อยู่รอบ ๆ วงก็ตกใจเช่นกัน
พวกเขาไม่คิดเลยว่า ศิษย์ใหม่ตรงหน้าคนนี้จะเป็นลู่เหริน
คนที่เล่าลือกันว่าเป็นคนที่ไร้ค่าที่สุดในรอบหมื่นปี มีสายเลือดขยะ
จะไปแข่งกันได้ยังไง?
ใครจะไร้ค่าไปกว่าสายเลือดขยะ?
สองคนที่ไร้ค่าที่สุดในหมู่ศิษย์ระดับเริ่มต้น เทียบกับลู่เหรินแล้วก็เป็นแค่เศษฝุ่น!
ฉินอวี้มองรอยยิ้มที่ภาคภูมิใจของลู่เหริน ใบหน้าแสดงความดูถูก ถึงแม้ว่านางจะตั้งทีมกับคนไร้ค่าสามคนเพื่อฝึกฝนทักษะการต่อสู้จริงของตัวเอง
แต่สำหรับนักสู้ที่ไม่ละอายใจ กลับภูมิใจในความไร้ค่าแบบนี้ นางยิ่งดูถูก
“ตำแหน่งสุดท้ายเป็นของเจ้าแล้ว!”
ฉินอวี้พูดอย่างเย็นชา
“ขอบคุณศิษย์พี่ฉินอวี้!”
ลู่เหรินประสานมือคำนับ
ตอนนี้เขาเป็นมือใหม่ ไม่รู้จักใคร ไม่รู้จักสถานที่ ถ้าอยากฝึกฝนภาคปฏิบัติ การเข้าร่วมทีมของฉินอวี้เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
“พรุ่งนี้เช้าเจอกันที่หน้าประตูเขา!”
ฉินอวี้พูดทิ้งท้ายแล้วก็หันหลังเดินจากไป
หวังเถิงเดินมาหน้าลู่เหริน หัวเราะเสียงดัง “ฮ่าฮ่าฮ่า ในที่สุดข้าหวังเถิงก็สามารถสลัดชื่อเสียงว่าเป็นหนึ่งในสองคนที่ไร้ค่าที่สุดได้แล้ว!”
จางเชิ่งที่อยู่ข้าง ๆ พูดอย่างเย็นชา “หวังเถิง ถ้าเจ้าอยากสลัดชื่อเสียงว่าเป็นหนึ่งในสองคนที่ไร้ค่าที่สุด เจ้าต้องชนะข้าให้ได้ก่อน!”
“ได้เลย มาสู้กัน ใครแพ้ก็เป็นหนึ่งในสองคนที่ไร้ค่าที่สุดพร้อมกับศิษย์น้องลู่เหริน!”
หวังเถิงถลกแขนเสื้อขึ้น หน้าแดงก่ำ ทันทีก็เริ่มชกต่อยกับจางเชิ่ง
ศิษย์คนอื่น ๆ ที่เห็นภาพนี้ ต่างรู้สึกพูดไม่ออก
เดิมทีทั้งสองคนได้รับตำแหน่งสองคนที่ไร้ค่าที่สุดก็ยังอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ตอนนี้มีคนที่ไร้ค่ากว่าเข้ามา ทำลายสมดุล ทั้งสองคนต่างอยากจะสลัดชื่อเสียงว่าเป็นหนึ่งในสองคนที่ไร้ค่าที่สุด
ลู่เหรินแสดงให้เห็นถึงสายเลือดขยะของเขา ด้วยข้อได้เปรียบที่เหนือกว่า ทำเขาเข้าร่วมทีมของฉินอวี้ได้สำเร็จทำให้ศิษย์คนอื่น ๆ อิจฉา
แต่ศิษย์อาวุโสระดับเริ่มต้นส่วนใหญ่กลับดูถูกการกระทำของลู่เหรินที่เข้าร่วมทีมของฉินอวี้
การเข้าร่วมทีมของฉินอวี้ ไม่ใช่เรื่องที่น่าภูมิใจแต่เป็นเรื่องน่าอับอาย
การฝึกฝนภาคปฏิบัติมีไว้เพื่อพัฒนาทักษะการต่อสู้จริงของตนเอง ไม่ใช่เพื่อไปอยู่ข้างกายผู้แข็งแกร่งแล้วรับส่วนแบ่งจากทรัพย์สินที่ได้จากการทำภารกิจ
....
ภายในหออาวุโสของสำนักเมฆาขจี
อาวุโสสูงสุดเรียกอวิ๋นชิงเหยามาพบเป็นการส่วนตัวแล้วถามว่า “ท่านอาวุโสอวิ๋น ความคืบหน้าในการฝึกฝนของลู่เหรินเป็นอย่างไรบ้าง?”
อวิ๋นชิงเหยาตอบอย่างไม่มั่นใจ “ก็คืบหน้าไปได้ด้วยดี!”
“ข้าได้ยินผู้อาวุโสเฝ้าหอพูดว่าหลังจากที่ลู่เหรินเปิดช่องจิตสำเร็จ เขาไม่ได้ยืมวิทยายุทธระดับมนุษย์ขั้นสูง แต่กลับไปยืมวิทยายุทธระดับมนุษย์ขั้นต่ำมาสามเล่ม ฝึกได้เดือนเดียวก็เอามาคืนแล้ว มีเรื่องแบบนี้จริงหรือ?”
อาวุโสสูงสุดถามต่อ
อวิ๋นชิงเหยาฟังคำพูดของอาวุโสสูงสุดรู้สึกไม่สบายใจ แต่ก็ยังคงแก้ตัวอย่างไม่เต็มใจ “ศิษย์ของข้าฝึกฝนอย่างหนัก แต่พรสวรรค์ของเขาอ่อนแอเกินไป ไม่สามารถฝึกฝนวิทยายุทธทั้งสามสำเร็จได้จึงล้มเลิกการฝึกฝน!”
“เป็นอย่างนี้นี่เอง!”
อาวุโสสูงสุดพยักหน้าแล้วพูดอย่างสะท้อนใจ “ไม่นึกเลยว่าสายเลือดขยะจะน่ากลัวขนาดนี้ เหลือเวลาอีกไม่ถึงครึ่งเดือน เจ้าแน่ใจหรือว่าจะสามารถทำให้เขาเปิดช่องจิตได้เจ็ดช่อง?”
เขาเชื่อมั่นในพรสวรรค์ของอวิ๋นชิงเหยา แต่ไม่เชื่อในพรสวรรค์ของลู่เหริน สายเลือดขยะ ไม่เคยมีใครประสบความสำเร็จมาก่อน
“ท่านอาวุโสสูงสุด วิชาดาบที่ข้าคิดค้นขึ้นเองมีพลังเทียบเท่าวิทยายุทธระดับมนุษย์ขั้นสูง ข้าจะถ่ายทอดให้เขาด้วยตัวเอง แม้ว่าศิษย์ของข้าจะมีพรสวรรค์ต่ำแค่ไหน ข้าก็จะสอนเขาให้ได้!”
อวิ๋นชิงเหยากล่าวอย่างมั่นใจ
“ความตั้งใจของท่านเจ้าสำนัก ไม่ได้หวังว่าลู่เหรินจะสามารถเอาชนะศิษย์ของสำนักราชวงศ์ได้ แต่ต้องการให้พวกเขารู้ว่าสำนักเมฆาขจีของเราสามารถฝึกฝนคนที่มีสายเลือดขยะได้ อย่าทำให้ท่านเจ้าสำนักผิดหวังล่ะ!”
อาวุโสสูงสุดพูดอย่างจริงจัง แล้วก็จากไป
อวิ๋นชิงเหยาอยู่ที่หออาวุโสคนเดียวพูดกับตัวเองว่า “บางทีลู่เหรินอาจจะพรสวรรค์ต่ำเกินไป จึงล้มเลิกการฝึกฝน ตอนนี้เขาคงกำลังท้อแท้ สิ้นหวัง ต้องการคนมาช่วยดึงเขาขึ้นมา ในฐานะอาจารย์ข้าควรจะช่วยเขาในตอนนี้ ข้าควรเป็นแสงสว่างในความมืดมิดของเขา!”
ยิ่งคิด อวิ๋นชิงเหยายิ่งรู้สึกผิด ในฐานะอาจารย์ของลู่เหริน นางควรจะช่วยเหลือลู่เหรินให้ถึงที่สุด!
สายเลือดขยะ การที่สามารถเปิดช่องจิตได้ก็ยากแล้ว การจะก้าวหน้าต่อไป ย่อมไม่ง่าย
คิดได้ดังนั้น อวิ๋นชิงเหยาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะบินไปยังเรือนพักของลู่เหริน
เมื่อนางมาถึงเรือนพัก กลับพบว่าไม่มีใครอยู่ เมื่อกำลังจะจากไปก็เห็นเซียวหั่วหั่วเดินกลับมา
เซียวหั่วหั่วเห็นอวิ๋นชิงเหยา เขารีบเข้าไปคารวะ “ศิษย์เซียวหั่วหั่ว ขอคารวะท่านหญิงศักดิ์สิทธิ์!”
“ในสำนักเรียกข้าว่าท่านอาวุโสอวิ๋นก็พอ แล้วลู่เหรินล่ะ?”
อวิ๋นชิงเหยาถาม
เซียวหั่วหั่วตอบ “ศิษย์พี่ลู่เหรินไปทำภารกิจกับสองคนที่ไร้ค่าที่สุดในหมู่ศิษย์ระดับเริ่มต้น เข้าร่วมทีมของศิษย์พี่ฉินอวี้แล้วขอรับ!”
“เจ้าว่าอะไรนะ?”อวิ๋นชิงเหยาได้ยินดังนั้นก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
ฉินอวี้นี้นางย่อมรู้จัก นางเป็นศิษย์ระดับเริ่มต้นที่เก่งที่สุดของรุ่นก่อน มีสายเลือดระดับหก
ฉินอวี้ถือตัวว่าตัวเองมีพรสวรรค์สูงส่งจึงรับเฉพาะศิษย์ที่มีพลังต่ำเข้าทีม เพื่อฝึกฝนทักษะการต่อสู้จริงของตนเอง
ถึงแม้ลู่เหรินจะมีสายเลือดขยะ แต่อย่างไรก็เป็นศิษย์ของนาง การที่ไปทำภารกิจกับสองคนที่ไร้ค่าที่สุดในหมู่ศิษย์ระดับเริ่มต้น แถมยังร่วมทีมกับฉินอวี้ นับว่าทำให้อวิ๋นชิงเหยาเสียหน้า!
สายเลือดขยะไม่เป็นไร แต่ต้องมีศักดิ์ศรี
อวิ๋นชิงเหยา… เจ้ารับศิษย์ที่สิ้นหวังเช่นนี้มาได้อย่างไร?
แบบนี้จะเข้าร่วมการประลองได้อย่างไร!!!
_______________________
สองคนนี้จะดีกันกี่โมง...