ตอนที่ 11 ที่แท้ก็กำลังแข่งกันว่าใครไร้ค่ากว่า
ตอนที่ 11 ที่แท้ก็กำลังแข่งกันว่าใครไร้ค่ากว่า
“โลกใบนี้กำปั้นก็คือเหตุผลที่แท้จริงสินะ!”
กลับมาถึงห้องพัก ลู่เหรินครุ่นคิด
ถ้าหากความแข็งแกร่งของเขาไม่สู้เซียวหั่วหั่ว เรื่องดาบไฟวิญญาณคงยังถูกปิดบังอยู่
“ท่านอาจารย์รู้ว่าข้าขายดาบไฟวิญญาณของนาง คงตำหนิข้าแน่ ไม่เป็นไร… เอาไว้เพิ่มความแข็งแกร่งก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”
“คืนตำราวิทยายุทธไปก่อนดีกว่า!”
ลู่เหรินถือคัมภีร์สามเล่มในมือออกจากเรือน
เมื่อมาถึงหอกระบวนท่า ผู้อาวุโสเฝ้าหอจำลู่เหรินได้ทันทีรีบถามว่า “ลู่เหริน เจ้าฝึกวิทยายุทธเป็นอย่างไรบ้างในช่วงหนึ่งเดือนนี้?”
“ก็งั้น ๆ ข้ามาคืนคัมภีร์!”
ลู่เหรินยิ้มแล้วส่งมอบคัมภีร์ทั้งสามเล่มคืน
ผู้อาวุโสเฝ้าหอมองคัมภีร์สามเล่มตรงหน้า คาดเดาว่าลู่เหรินคงจะล้มเลิกการฝึกฝนวิทยายุทธแล้ว เพราะคนที่มีสายเลือดไร้ค่า ไม่มีพรสวรรค์ในการฝึกฝน การที่สามารถเปิดช่องจิตแรกได้ก็ถือเป็นบุญญาวาสนาแล้ว
การจะฝึกวิทยายุทธ หากไม่ฝึกฝนอย่างหนักเป็นเวลาสามถึงห้าปี คงยากที่จะบรรลุระดับเริ่มต้น
“ข้าเคยบอกแล้วว่าสามารถนำวิทยายุทธสามเล่มนี้มาคืนเมื่อไหร่ก็ได้ ทำไมไม่พยายามต่อไปอีกล่ะ?”
ผู้อาวุโสเฝ้าหอถามอย่างสงสัย
ลู่เหรินยิ้มอย่างใจเย็น “ข้าพยายามฝึกฝนอย่างเต็มที่แล้ว!”
เขาฝึกฝนอย่างหนักมาแปดสิบสองปี ในเรื่องความพยายามใครจะเทียบเขาได้?
“นี่เจ้าพยายามแล้วหรือ?”
ผู้อาวุโสเฝ้าหอโกรธเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า “ข้าเห็นแก่หน้าท่านอาวุโสอวิ๋น และเจ้าก็มีสายเลือดไร้ค่า ข้าจึงเปิดช่องทางพิเศษให้เจ้า แต่เจ้ากลับฝึกฝนเพียงเดือนเดียวก็เอาวิทยายุทธมาคืนแล้ว พรสวรรค์ของเจ้าแย่นัก หากถ้าไม่พยายามอีกหน่อย ไม่ช้าก็เร็วคงถูกไล่ออกจากสำนัก!”
“แต่ข้าฝึกวิทยายุทธทั้งสามสำเร็จแล้ว!”
ลู่เหรินตอบกลับแล้วก็เดินจากไปอย่างไม่แยแส
ถ้าหากให้ผู้อาวุโสเฝ้าหอรู้ว่าเขาไม่เพียงแต่ฝึกวิทยายุทธทั้งสามสำเร็จ แต่ยังมีสองท่าที่ระดับสัมบูรณ์ และหนึ่งท่าที่ระดับสูง ไม่รู้ว่าท่านจะคิดอย่างไร
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเปิดช่องจิตวิญญาณได้ถึงหกช่อง
หลังจากลู่เหรินจากไป ผู้อาวุโสเฝ้าหอก็ได้แต่ส่ายหัว รู้สึกผิดหวังในตัวลู่เหริน เขาได้รับพรจากเซียนเปิดช่องจิตกลายเป็นนักสู้ได้ แต่กลับไม่รู้จักทะนุถนอม
“ท่านอาวุโสชิว ลู่เหรินมาทำอะไรที่หอกระบวนท่า?”
ในเวลานั้นอวิ๋นชิงเหยาเดินเข้ามา
เพราะเรื่องของลู่เหริน อารมณ์ของนางก็ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว จึงแวะมาที่หอกระบวนท่าเพื่อยืมตำราดาบสองสามเล่ม หวังจะปรับปรุงวิชาดาบที่นางคิดค้นขึ้น แต่ไม่คาดคิดว่าจะมาเจอลู่เหริน
แต่นางก็จงใจหลีกเลี่ยงลู่เหริน ไม่อยากมีปฏิสัมพันธ์กับเขามากนัก
“ที่แท้ก็เป็นท่านอาวุโสอวิ๋น!”
ผู้อาวุโสเฝ้าหอโกรธขึ้นมาทันทีพร้อมตำหนิว่า “ศิษย์ของท่าน ไม่มีความทะเยอทะยาน ในที่สุดก็เปิดช่องจิตได้ก็ควรจะตั้งใจฝึกฝน แต่เขายืมวิทยายุทธสามเล่มจากข้าไป ฝึกเพียงเดือนเดียวก็เอามาคืนแล้ว!”
“ฝึกเพียงเดือนเดียว?”
อวิ๋นชิงเหยาตกตะลึง จากนั้นก็กล่าวด้วยความเสียดาย “สายเลือดของเขาไร้ค่า ตอนนี้เปิดช่องจิตได้แล้ว ถ้าตั้งใจฝึกฝนวิทยายุทธก็อาจจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตลำธารวิญญาณได้”
คิดถึงตรงนี้ อวิ๋นชิงเหยาก็ถอนหายใจยาวเศร้าใจแทนลู่เหริน
เดิมทีตั้งใจจะสั่งสอนลู่เหรินให้ดี แต่ด้วยจิตใจเช่นนี้คงยากที่จะประสบความสำเร็จ
....
ลู่เหรินกลับมาถึงเรือนรับรอง ในใจก็คิดถึงเรื่องหาเงิน เดิมทีตั้งใจจะใช้ดาบไฟวิญญาณทำกำไรก้อนใหญ่ ต่อไปทุกเดือนก็จะได้แปดหมื่นแปดเหรียญทองแดง เท่ากับเวลาฝึกตนยี่สิบกว่าปี
ตอนนี้ช่องทางหาเงินนี้ถูกตัดขาดไปแล้วก็ต้องหาทางอื่นในการหาเงิน
“ถ้าให้ข้าฝึกฝนต่อไปอีกยี่สิบกว่าปี ข้าก็น่าจะสามารถฝึกฝนพยัคฆ์ก้าวพริบตาจนถึงระดับสัมบูรณ์ และเปิดช่องจิตที่เจ็ดได้!”
ลู่เหรินอยากจะเปิดช่องจิตวิญญาณที่เจ็ดอย่างใจจดใจจ่อ จากนั้นก็จะทะลวงขอบเขตลำธารวิญญาณ!
เท่าที่เขารู้ ศิษย์ระดับเริ่มต้นทั่วไป แม้จะมีพรสวรรค์ก็ต้องใช้เวลาสามถึงห้าเดือนจึงจะมีโอกาสทะลวงไปยังขอบเขตลำธารวิญญาณ จากนั้นจึงผ่านการทดสอบ และกลายเป็นศิษย์ชั้นนอก
ศิษย์ระดับเริ่มต้นมีความเสี่ยงที่จะถูกไล่ออกจากสำนัก แต่ศิษย์ชั้นนอกไม่เหมือนกัน แม้ว่าการฝึกตนจะยากที่จะก้าวหน้าก็ยังคงเป็นศิษย์ชั้นนอก
ดังนั้นลู่เหรินจึงอยากจะทะลวงไปยังขอบเขตลำธารวิญญาณโดยเร็ว
แต่จะทำอาหารอร่อยได้อย่างไรถ้าไม่มีข้าวสาร!
เขาต้องการเงิน เงินจำนวนมาก
อย่างน้อยก็ต้องมีเงินกว่าแสนเหรียญทองแดงจึงจะมีโอกาสฝึกฝนพยัคฆ์ก้าวพริบตาจนถึงระดับสัมบูรณ์
“การฝึกฝนภาคปฏิบัติ?”
ลู่เหรินนึกถึงคำอธิบายใน “คู่มือศิษย์” ขึ้นมาทันที
ศิษย์ระดับเริ่มต้นที่เปิดช่องจิตได้หกช่องขึ้นไป สามารถรับภารกิจเพื่อรับคะแนนสะสมได้ เมื่อมีคะแนนสะสมก็สามารถไปยืมวิทยายุทธระดับมนุษย์ขั้นสูงที่หอกระบวนท่า และซื้อทรัพยากรฝึกตนบางอย่างภายในสำนักได้
อย่างไรก็ตาม การทำภารกิจมีความเสี่ยงโดยเฉพาะศิษย์ระดับเริ่มต้นที่เพิ่งเข้าสำนัก มีพลังน้อยและขาดประสบการณ์ ทำได้เพียงเข้าร่วมทีมของศิษย์รุ่นพี่ ถือเป็นการฝึกฝนภาคปฏิบัติ และรับส่วนแบ่งจากทรัพย์สินที่ได้จากการทำภารกิจ
แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำภารกิจก็คือการฝึกฝนตนเอง
ต่อให้ฝึกฝนวิทยายุทธเก่งกาจแค่ไหน ถ้าไม่เคยผ่านการต่อสู้จริงก็ไม่มีความหมาย กลายเป็นคนมีพลัง แต่ต่อสู้ไม่ได้
“ตอนนี้ข้าฝึกวิทยายุทธสองท่าจนถึงระดับสัมบูรณ์แล้ว ส่วนพยัคฆ์ก้าวพริบตาก็ฝึกถึงระดับสูง ถึงเวลาต้องใช้การต่อสู้จริงเพื่อทดสอบความแข็งแกร่งของตัวเองแล้ว!”
เมื่อคิดได้ดังนี้ ลู่เหรินก็เดินไปตามสะพานโซ่มุ่งหน้าไปยังยอดเขาอีกแห่งหนึ่ง
เขตพื้นที่สำหรับศิษย์ชั้นนอกของสำนักเมฆขจี มีสามยอดเขา
ยอดเขาแห่งหนึ่งมีเพียงเรือนพักของศิษย์และโรงอาหาร อีกยอดเขามีวิหารยุทธ์และหอกระบวนท่าต่าง ๆ ส่วนยอดเขาที่เหลือมีโถงอุทิศตน
เมื่อลู่เหรินมาถึงลานกว้างหน้าโถงอุทิศตน เขาก็เห็นศิษย์จำนวนมากรวมตัวกันอยู่ที่ลานกว้าง ศิษย์หลายคนจับกลุ่มกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ แต่ละคนมีพลังที่แข็งแกร่ง
“คนพวกนี้น่าจะเป็นศิษย์อาวุโสของศิษย์ชั้นนอกใช่หรือไม่?”
ลู่เหรินคาดเดาในใจ
ศิษย์ชั้นนอกอย่างพวกเขาที่เปิดช่องจิตได้แล้ว ถ้าภายในสามปีไม่สามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตลำธารวิญญาณได้ก็จะถูกขับไล่ออกจากสำนัก
ในเวลานั้นที่มุมหนึ่งของลานกว้าง มีศิษย์จำนวนมากรวมตัวกันเป็นวงกลม
ตรงกลางวงกลมมีหญิงสาวร่างเล็กบอบบาง ใบหน้างดงาม สวมชุดฝึกสีเขียวทำให้เห็นทรวงอกที่อวบอิ่ม รูปร่างน่ามอง
ข้างกายหญิงสาวมีชายหนุ่มสองคนยืนอยู่ ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“ศิษย์พี่ฉินอวี้ รับข้าเข้าร่วมทีมด้วยเถอะ ข้ารับรองว่าจะเชื่อฟัง ทำหน้าที่ตะโกนเชียร์ศิษย์พี่ก็พอ!”
“ศิษย์พี่ฉินอวี้ ท่านก็รู้ถึงพรสวรรค์ของข้า ข้าเป็นศิษย์ระดับเริ่มต้นมาสองปีแล้ว เปิดช่องจิตได้แค่สามช่องเอง!”
“รับข้าเข้าทีมเถอะ ข้านอนเฉย ๆ ก็ได้!”
ทันทีที่เบียดเข้าไปในวง ลู่เหรินก็ได้ยินเสียงเถียงกัน
ลู่เหรินรู้สึกสงสัยจึงถามศิษย์พี่ข้างๆ ว่า “ศิษย์พี่ นางเป็นใครหรือ?”
ศิษย์พี่คนนั้นเหลือบมองลู่เหริน “เจ้าเป็นศิษย์ใหม่ระดับเริ่มต้นสินะ? แม้แต่ศิษย์พี่ฉินอวี้ก็ยังไม่รู้จัก?”
“ข้าเป็นศิษย์ใหม่ระดับเริ่มต้นจริง ๆ ศิษย์พี่ฉินอวี้คือใครหรือ?”
ลู่เหรินยิ้มแล้วถาม
“ศิษย์พี่ฉินอวี้เป็นอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาศิษย์ระดับเริ่มต้น!”
ศิษย์พี่คนนั้นตอบ
ลู่เหรินถามอย่างสงสัย “ถ้านางเป็นอัจฉริยะ ไม่น่าจะได้เป็นศิษย์ชั้นนอกไปนานแล้วหรือ?”
“เจ้ารู้อะไร? ศิษย์พี่ฉินอวี้สามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตลำธารวิญญาณได้นานแล้ว แต่เพื่อที่จะทำลายขีดจำกัด นางต้องการเปิดช่องจิตที่แปด!”
หลังจากพูดจบ ศิษย์พี่คนนั้นเผยสีหน้าชื่นชม
“ช่องจิตที่แปด!”
ลู่เหรินตกตะลึง ผู้ฝึกตนมีช่องจิตในร่างกายแค่เจ็ดช่องไม่ใช่หรือ?
“ใช่แล้ว!”
ศิษย์พี่คนนั้นพยักหน้า “ครั้งนี้ศิษย์พี่ฉินอวี้ตั้งใจจะพาศิษย์ที่มีพลังต่ำสามคนไปฝึกฝนภาคปฏิบัติ เพื่อฝึกฝนทักษะการต่อสู้จริง ตอนนี้ศิษย์พี่ฉินอวี้รับคนเข้าทีมไปแล้วสองคน ยังขาดอีกหนึ่งคน!”
“ทำไมต้องพาศิษย์ที่มีพลังต่ำสามคนไปด้วย?”
ลู่เหรินถามอย่างสงสัย
ศิษย์พี่คนนั้นตอบว่า “เมื่อศิษย์ระดับเริ่มต้นรับภารกิจต้องจัดทีมสี่คน ด้วยความแข็งแกร่งของศิษย์พี่ฉินอวี้ ถ้าพาคนที่มีพลังสูงสามคนไปด้วยก็จะไม่มีความท้าทายน่ะสิ”
“เข้าใจแล้ว!”
ลู่เหรินพยักหน้าเบา ๆ แล้วพูดอย่างกระจ่างว่า “ที่แท้พวกศิษย์พวกนี้กำลังแข่งกันว่าผู้ใดไร้ค่ากว่ากันนี่เอง!”