ตอนที่แล้วบทที่ 609 บุตรศักดิ์สิทธิ์หลี่ผู้ขยันขันแข็ง!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 611 ใครบอกว่าข้าเลอะเลือน?

(ฟรี) บทที่ 610 มิตรภาพลูกผู้ชาย แผนการของพระศรีอริยเมตไตรย!


“เจ้าว่าอะไร?!”

ปัง!

ประตูวิหารถูกกระแทกปิดอย่างแรง และแสงก็ดับลงทันที ภายในความมืด ดวงตาที่ยิ้มแย้มเหมือนพระจันทร์เสี้ยวของพระศรีอริยเมตไตรยจ้องมองไปที่เหมิงเย่

“ผู้ตรวจการถูกสวะจากโลกเบื้องล่างฆ่าตาย? เจ้ามีหลักฐานสำหรับเรื่องนั้นไหม?”

รอยยิ้มของเขายังคงมีความเมตตา แต่น้ำเสียงเปลี่ยนไปเล็กน้อย

ราวกับมีเสียงมากมายปะปนกัน และยังได้ยินเสียงทารกร้องไห้เบาๆ

เหมิงเย่ตัวสั่น เหงื่อเย็นไหลอาบขมับ และเขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “เรียนองค์เหนือหัว อู๋ฮวนและผู้น้อยเป็นสหายเก่ากัน เมื่อไม่กี่วันก่อน หยกวิญญาณของเขาจู่ๆก็แตกออก เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น และวันนั้นก็เป็นวันที่เขาปฏิบัติหน้าที่!”

“ผู้น้อยเลยสงสัยว่า...”

“สงสัย?” พระศรีอริยเมตไตรยเยาะเย้ยและขัดจังหวะ “นั่นหมายความว่าเจ้าไม่มีหลักฐาน?”

เหมิงเย่กลืนน้ำลาย ประสานมือเข้าด้วยกันก่อนจะกล่าวว่า “นอกจากอู๋ฮวนแล้ว ยังมีผู้ตรวจการอีกหลายคนที่หายตัวไปอย่างลึกลับ และพวกมันทั้งหมดเกิดขึ้นในขณะที่เฝ้าระวังโลกเบื้องล่าง! ท่านชินระโปรดพิจารณนาด้วย!”

“ข้าดูด้วยตัวเองจะดีกว่า”

พระศรีอริยเมตไตรยยกมือขึ้นและดูดเหมิงเย่เข้ามา โดยบีบเขาด้วยสองนิ้วเหมือนบีบมด

ก่อนที่เหมิงเย่จะทันได้ดิ้นรน ควันก็ลอยขึ้นมาเหนือศีรษะ และพระศรีอริยเมตไตรยก็สูดเข้าไป

เหมิงเย่สั่นสะท้านไปทั้งตัว ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีขาว และร่างกายของเขาก็เหี่ยวเฉาอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ร่วงลงกับพื้นเหมือนโคลน ลมหายใจแผ่วเบาราวกับเทียนในสายลม

ดูเหมือนว่าจะมีเพียงลมหายใจสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่

พระศรีอริยเมตไตรยไม่เพียงแต่ปล้นความทรงจำของเหมิงเย่เท่านั้น แต่ยังดูดเอาแก่นแท้ออกมาด้วย ซึ่งทำให้ความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายลดลง และเส้นทางการบ่มเพาะในอนาคตก็ถูกตัดขาดโดยสิ้นเชิง!

แต่ถึงกระนั้น เหมิงเย่ก็ยังไม่กล้าแสดงอารมณ์เชิงลบใดๆ เขาลุกขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้นอย่างยากลำบาก สีหน้าของเขาแสดงความเคารพเช่นเคย

เขารู้อยู่ในใจว่าตราบใดที่แสดงร่องรอยของความขุ่นเคือง เขาจะไม่สามารถเดินออกจากประตูนี้ได้อย่างแน่นอน!

พระศรีอริยเมตไตรยเปิดปากแล้วกล่าวอย่างขบขัน “ไม่น่าแปลกใจเลยที่เจ้าเอาใจใส่ขนาดนี้ ปรากฎว่าเจ้ากับอู๋ฮวนเป็น... จุ๊ๆๆ ช่างรักกันดีจริงๆ”

เหมิงเย่หน้าแดงและพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “ผู้น้อยหวังว่าท่านจะได้รับความกระจ่างแล้ว”

พระศรีอริยเมตไตรยส่ายหัว “ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีหลักฐานสำคัญที่บ่งชี้ว่าโลกเบื้องล่างมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ หากเทพเข้าไปแทรกแซงโดยตรง มันจะดึงดูดความไม่พอใจจากชินระตนอื่นอย่างแน่นอน และหากมันไปถึงหูของท่าน...”

ดวงตาของพระศรีอริยเมตไตรยเปล่งประกายแวววาว

โลกเบื้องล่างไม่เพียงแค่เป็นเค้กก้อนใหญ่เท่านั้น แต่ยังเป็นดาบสังหารอีกด้วย

หากพวกเขาไม่จับมันให้ดี ดาบเล่มนี้อาจจะตัดหัวใครบางคนได้ทุกเมื่อ!

เมื่อได้ยินเช่นนี้สีหน้าของเหมิงเย่ก็หม่นหมอง เขาล้มลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง

“เป็นไปได้ไหมว่าอู๋ฮวนต้องตกตายอย่างเปล่าประโยชน์?”

แม้จะทุ่มไปสุดตัว แต่กลับได้รับผลลัพธ์เช่นนี้ ใบหน้าแก่ๆของเขาจึงเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

พระศรีอริยเมตไตรยเหลือบมองเขาแล้วถอนหายใจ “ลืมมันซะ ใครใช้ให้เทพองค์นี้ใจอ่อนเกินไป? เจ้าสามารถรับสิ่งนี้ไปได้”

ด้วยการโบกมือ กระจกทรงกลมรูปดวงอาทิตย์ก็ลอยออกไป

เหมิงเย่ตกตะลึง “นี่คือ...”

“กระจกบรรพโกลาหล มันเป็นสมบัติวิเศษที่ใช้ในการตรวจสอบโลกเบื้องล่าง มันไม่เพียงตรวจจับภาพลวงตาได้เท่านั้น แต่ยังมีความสามารถในการติดตามย้อนกลับด้วย แค่ว่ามันใช้ได้เพียงหนึ่งชั่วยามต่อวัน”

“กระจกบรรพโกลาหล?!”

เมื่อได้ยินคำพูดของพระศรีอริยเมตไตรย ดวงตาของเหมิงเย่ก็สว่างขึ้นอีกครั้งราวกับคนจมน้ำที่คว้าจับฟางได้

เขากอดสมบัติวิเศษไว้ในอ้อมแขนและกระแทกศีรษะลงกับพื้นอย่างแรง

“ขอบพระคุณท่านชินระ องค์เหนือหัวทรงมีเมตตา!”

เขาลืมไปโดยสิ้นเชิงว่าแก่นแท้ของเขาถูกอีกฝ่ายดูดซับไปจนหมด

พระศรีอริยเมตไตรยโบกมือแล้วกล่าวว่า “ไปเถิด หากพบสิ่งใดก็รายงานเทพองค์นี้ด้วย”

ประตูวิหารเปิดออก และแสงสว่างก็กลับมาสู่ห้องโถงใหญ่

“ขอรับ ผู้น้อยขอตัวก่อน!”

เหมิงเย่วิ่งออกไปอย่างตื่นเต้นพร้อมกับกระจกบรรพโกลาหลในมือ

วิหารกลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง

พระศรีอริยเมตไตรยยิ้มอย่างใจดี แต่ด้านหลังศีรษะของเขาบิดเบี้ยว และรอยยิ้มดุร้ายก็ปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ

ใบหน้านั้นเหมือนกับเขา แต่ดวงตาสีแดงเต็มไปด้วยความเผด็จการ และเสียงก็เฉียบแหลม “เจ้ามอบกระจกบรรพโกลาหลให้เขา ไม่กลัวว่าจะถูกจ้าวพิภพตำหนิหรือ?”

ใบหน้าของพระศรีอริยเมตไตรยยังคงเปี่ยมด้วยความเมตตา เขาส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “นั่นเป็นเพียงส่วนเล็กๆของกระจก ตราบใดที่เทพองค์นี้ไม่พูด ท่านจ้าวพิภพจะรู้ได้อย่างไร?”

ใบหน้านั้นขมวดคิ้วและพูดว่า “เจ้าคงไม่ได้เชื่อเรื่องไร้สาระของเขาจริงๆใช่ไหม? ผู้ตรวจการไม่ได้รับผลจากค่ายกล ปศุสัตว์ในโลกเบื้องล่างจะสังหารพวกมันได้ยังไง?”

“ถ้าใช่แล้วยังไง? ถ้าไม่ใช่แล้วยังไง?” พระศรีอริยเมตไตรยยิ้มและกล่าว “มีผู้ตรวจการมากมายและพวกมันก็ไม่ต่างจากมด หากอยากตายก็ตายไป เทพองค์นี้มอบกระจกบรรพโกลาหลให้มันใช้ด้วยจุดประสงค์อื่น”

ใบหน้านั้นขมวดคิ้วลึก “เจ้าหมายถึง...”

“พันธนาการมังกรค่อยๆอ่อนกำลังลงแล้ว และวิญญาณมังกรที่แท้จริงก็ย่อมสูญเสียการควบคุมเช่นกัน” รอยยิ้มของพระศรีอริยเมตไตรยสดใสขึ้น “ชินระทุกคนล้วนจับจ้องมาที่เค้กยักษ์ก้อนนี้ ก่อนที่ค่ายกลจะกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง เทพองค์นี้จะต้องคว้าโอกาสไว้!”

ใบหน้านั้นตอบสนองทันที “เจ้าต้องการปล้นโชคลาภของโลกเบื้องล่าง?”

พระศรีอริยเมตไตรยยิ้มและไม่พูดอะไร

ใบหน้านั้นเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดเบาๆ “เจ้ายังคงชั่วร้ายเหมือนเคย”

พระศรีอริยเมตไตรยส่ายหัว “เจ้าจะไปรู้อะไร เทพองค์นี้มีสติปัญญาอันยิ่งใหญ่! ไม่อย่างนั้นทำไมเจ้าถึงต้องมาอยู่กับข้า?”

“ฮึ่ม!” ใบหน้านั้นถูกกระตุ้นอย่างเห็นได้ชัด และด้วยการสูดจมูกอย่างเย็นชา มันก็จมลงไปในด้านหลังศีรษะอีกครั้ง

พระศรีอริยเมตไตรยยิ้มแย้ม แต่ดวงตาของเขาเย็นชาราวกับเข็ม

“ถึงเวลาแล้วที่เทพองค์นี้จะเป็นชินระอันดับหนึ่ง!”

***

ดินแดนรกร้างโลหิต

ชางหลานเยว่ยืนอยู่บนยอดเขา มองไปยังลำธารโลหิตด้วยใบหน้าเศร้าหมอง “พี่ใหญ่เข้าไปนานมากแล้ว แต่ไม่มีการเคลื่อนไหวเลย มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า?”

ชางหลานอู่จี๋ส่ายหัว “ด้วยพลังของพี่ใหญ่ แม้ว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้น เราก็คงช่วยอะไรไม่ได้มาก”

“นอกจากนี้พี่ใหญ่ก็ตายไปแล้ว จะมีอะไรเกิดขึ้นอีก? เป็นไปได้ไหมที่เขาจะตายอีกครั้ง?”

“นั่นดูสมเหตุสมผล…” ชางหลานเยว่กล่าวแล้วขมวดคิ้ว “แต่สภาพของพี่ใหญ่ก็แปลกเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเป็นเพียงเศษเสี้ยวจิตวิญญาณ ทำไมเขาถึงมีความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะคงอยู่? เป็นไปได้ไหมว่าเขาพบวิธีย้อนกลับหยินและหยาง?”

ชางหลานอู่จี๋ถอนหายใจ “ข้าก็หวังเช่นนั้นเหมือนกัน แต่เจ้าและข้าก็รู้อยู่ในใจว่านี่แทบเป็นไปไม่ได้เลย”

เมื่อไปถึงระดับของเทพมังกร เจ้าได้ก้าวข้ามขอบเขตของชีวิตและความตายไปแล้ว

ไม่ว่าอาการบาดเจ็บจะร้ายแรงเพียงใด แม้ว่าร่างกายและวิญญาณจะถูกทำลายในเวลาเดียวกัน แต่ร่างอันศักดิ์สิทธิ์ก็ยังสามารถควบแน่นได้อีกครั้ง

สำหรับเขา ความตายเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่

แต่ก็มีข้อยกเว้นอยู่ประการหนึ่ง

‘การลบล้าง’

เมื่ออดีตและอนาคตถูกลบออก เหตุและผลทั้งหมดก็ย่อมถูกตัดขาด และนั่นจะเป็นการสูญเสียความหมายของการดำรงอยู่

นี่คือการลบล้างแหล่งกำเนิด และไม่มีสิ่งมีชีวิตใดสามารถต้านทานมันได้

การสามารถรักษาเศษเสี้ยวเจตจำนงไว้แสดงให้เห็นถึงพลังของเทพมังกรอย่างเต็มที่

“เจ้าคิดว่าสิ่งที่พี่ใหญ่พูดเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า...”

“บุตรสาวของเขา นางแต่งงานกับมนุษย์จริงๆ?”

ชางหลานอู่จี๋ขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่ายังไม่สามารถยอมรับความจริงอันโหดร้ายนี้ได้

/////