บทที่ 276 โรคหลงตัวเองกำเริบอีกแล้ว!
[แปลโดยแฟนเพจ BamแปลNiyay มาติดตามในแฟนเพจเพื่อติดตามข่าวสารได้นะ]
[Thai-novel ลงไวกว่าที่อื่นทุกที่ 5 ตอน แต่จะราคาแพงที่สุด]
[หลังแปลจบจะมีการแก้ไขคำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง ถ้าอ่านแบบเถื่อนจะไม่มีการกลับมาแก้ให้นะครับ]
บทที่ 276 โรคหลงตัวเองกำเริบอีกแล้ว!
หลินเป่ยฟานเชิญชายชราเข้านคร
ขณะที่พวกเขาเดิน ชายชรามองไปรอบ ๆ อย่างสงสัยและอุทานว่า “นี่หรือคือนครเต๋อเทียนในนครหลวงอู๋อันยิ่งใหญ่ ข้ามาที่นี่เมื่อยี่สิบปีก่อน ยังมิได้คึกคักและมีชีวิตชีวาถึงเพียงนี้ การเปลี่ยนแปลงช่างใหญ่หลวงนัก!”
หลินเป่ยฟานยิ้ม "ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณเย่เซียง! นับตั้งแต่เย่เซียงเข้ารับตำแหน่งที่นี่ เขาปราบปรามคนชั่ว กวาดล้างอาชญากรรม และปรับปรุงความปลอดภัยสาธารณะ ความปลอดภัยยิ่งดี ถนนก็ยิ่งเจริญรุ่งเรือง!"
“อย่างนั้นหรือ เจ้าเด็กนั้นมีความสามารถเช่นนั้นหรือ” ชายชราดูเหมือนจะไม่ค่อยเชื่อ
เขารู้ดีว่าศิษย์ของตัวเองมีความสามารถอะไร ส่งเขาไปก่ออาชญากรรมอาจจะได้ผล แต่บริหารนคร...
อย่ามาล้อเล่น!
ขณะที่ทั้งสองกำลังเดิน พวกเขายังดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนมาก ซึ่งดูค่อนข้างหวาดกลัว ท้ายที่สุดแล้ว ชายชราผู้นี้ก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันด้วยลมปราณที่ดุร้าย ท่าทางสง่าผ่าเผยที่ดูเหมือนจะรับมือได้ยาก
เพื่อให้ทุกคนคลายความกังวล หลินเป่ยฟานพูดเสียงดัง “พี่น้องชาวนครที่รัก ข้าขอแนะนำคน ๆ หนึ่งให้ท่านรู้จัก! ผู้อาวุโสที่ยืนอยู่ข้างๆ ข้าไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเซียนหอก อาจารย์ของจอมยุทธ์เย่เซียงผู้โด่งดัง เขาเป็นพวกเดียวกับเรา ดังนั้นไม่ต้องกลัวหรือเกร็งไป!”
“งั้นท่านก็คืออาจารย์ของจอมยุทธ์เย่เซียง!”
ด้วยการประกาศนี้ ทุกคนก็ผ่อนคลาย
ในสายตาของสาธารณชน เย่เซียงเป็นจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ต่อสู้กับความชั่วร้าย ปราบปรามอาชญากรรม และปกป้องราษฎร การจะสร้างคนอย่างเย่เซียง อาจารย์ของเขาคงไม่ใช่คนไม่ดี!
ผู้คนมารวมตัวกันและยกนิ้วโป้งชมเชย
“เป็นอาจารย์ของเย่เซียงนี่เอง มิน่าล่ะถึงได้แผ่รังสีแห่งความชอบธรรม!”
"ท่านอาจารย์เซียนหอก ท่านได้อบรมสั่งสอนศิษย์ที่ดี เป็นผู้รักชาติและผู้ช่วยให้รอดของราษฎร!"
"ตั้งแต่ศิษย์ท่านมาที่นี่ ชีวิตพวกเราดีขึ้นมาก!"
"ขอบคุณมาก ท่านอาจารย์เซียนหอก!"
…
ชายชราฟังแล้วรู้สึกยินดีมาก “อย่างนั้นหรือ ไอ้เด็กเหลือขอนั่นทำอะไรได้มากมายขนาดนั้นเชียวหรือ”
"แน่นอน! ท่านอาจารย์เซียนหอก พวกเราจะโกหกท่านหรือ"
"ลองถามดูสิ ใครบ้างไม่รู้จักเย่เซียง ศัตรูตัวร้ายของเหล่าร้าย ใครไม่ชื่นชมจอมยุทธ์ที่ต่อสู้กับคนชั่ว"
"จอมยุทธ์เย่เซียงคือเทพผู้พิทักษ์แห่งนครของเรา!"
…
ชายชรายิ่งฟังก็ยิ่งมีความสุข ศิษย์ของเขาเองก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถ ทำให้เขาภาคภูมิใจ
เมื่อมองดูเย่เซียงที่ฟกช้ำบวมหลังเขา ใบหน้าของชายชราก็อ่อนลงด้วยความเมตตาและพอใจ “เจ้าเด็กดื้อ ในที่สุดเจ้าก็มีสติและไม่ก่อปัญหาให้ข้าแล้ว! จงพยายามทำงานให้ดีต่อไปในอนาคต เข้าใจไหม”
"ขอรับ อาจารย์!" เย่เซียงตอบอย่างมีความสุข การได้รับการยอมรับจากอาจารย์ของเขาทำให้เขามีความสุขมากกว่าใคร ๆ
เมื่อมาถึงเรือนของหลินเป่ยฟาน หลี่ซือซือผู้เป็นภรรยา ได้เตรียมอาหารและเครื่องดื่มไว้คอยต้อนรับเซียนหอกที่มาแต่ไกลแล้ว
อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้ามาในคฤหาสน์ สายตาของชายชราก็ถูกดึงไปที่หลวงจีนชราจิงไท่ เขารู้สึกว่าหลวงจีนชรารูปนี้เป็นปรมาจารย์
เขาจับหอกแน่นขึ้น ดวงตาของเขาเริ่มร้อนขึ้นเล็กน้อยและเต็มไปด้วยจิตวิญญาณจอมยุทธ์ “ข้ารู้สึกว่าท่านเป็นปรมาจารย์! ท่านจะแลกเปลี่ยนประสบการณ์การต่อสู้กันอย่างฉันมิตรสักหน่อยได้หรือไม่?”
ใบหน้าของหลวงจีนชราสงบนิ่ง ขณะที่ท่านประสานมือ “อมิตาภพุทธ โยมประเมินอาตมาสูงเกินไป! อาตมาเป็นเพียงพระต่ำต้อย เพียงมุ่งสู่หนทางแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า อาตมาไม่ได้ให้ความสำคัญกับวรยุทธ์ โปรดหาคนอื่นเถิด”
"หลวงจีนผู้นี้ ท่านอย่าได้ล้อเล่นกับข้า!" ชายชราหัวเราะเสียงดัง "หากท่านมิได้ใส่ใจในวิถีกำลังภายใน เหตุใดพลังฝีมือของท่านจึงล้ำลึกถึงเพียงนี้ การบรรลุถึงขั้นนี้ต้องใช้ความเพียรหลายสิบปี!"
"อามิตาพุทธ โยมชราภาพมากแล้ว สายตาของท่านคงมืดมัวแล้ว อาตมาเป็นเพียงภิกษุที่มีความรู้ด้านวิทยายุทธ์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ปีกลาย อาจารย์ของข้าได้ถ่ายทอดแก่นแท้แห่งพุทธธรรม อาตมาจึงเกิดปัญญาญาณยิ่งใหญ่ บรรลุถึงขั้นปรมาจารย์"
ชายชรามองหลวงจีนด้วยความตื่นตะลึง "ท่านเพิ่งบรรลุขั้นปรมาจารย์เมื่อปีที่แล้ว? เป็นไปไม่ได้! ท่วงท่าของท่านราวกับผู้ที่ฝึกฝนมาเนิ่นนาน จนถึงขั้นบรรลุวิถีแห่งธรรมชาติ!"
"อามิตาพุทธ อาตมาไม่กล่าวเท็จ" หลวงจีนชรากล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ในที่สุดชายชราก็เชื่อและเอ่ยถามด้วยความกระตือรือร้น "แล้วอาจารย์ของท่านคือผู้ใด? เพียงหนึ่งปี ท่านก็ก้าวหน้าถึงเพียงนี้ อาจารย์ของท่านต้องเป็นผู้ทรงภูมิอันล้ำลึก! ท่านพอจะแนะนำข้าได้หรือไม่?"
"ไกลสุดขอบฟ้า แต่ใกล้เพียงปลายจมูก" หลวงจีนชรากล่าวพลางชี้นิ้วไปยังหลินเป่ยฟาน
ชายชราตกใจอีกครั้ง "หา? หลินเป่ยฟาน? ท่านเจ้านครหลวง?"
"ถูกต้องแล้ว อามิตาพุทธ!" หลวงจีนชราประนมมือ
ชายชราจ้องมองหลินเป่ยฟานอย่างพินิจ ขมวดคิ้ว "หลินเป่ยฟาน? เจ้าเป็นอาจารย์ของหลวงจีนผู้นี้จริงหรือ? แต่เจ้าดูเหมือน... ไร้ซึ่งพลังฝีมือ"
หลินเป่ยฟานยิ้มบาง ๆ "ข้าเป็นอาจารย์ของจิงไท่จริง แต่ในเรื่องของพุทธธรรม มิใช่วิถีกำลังภายใน ข้ามิได้ถ่ายทอดวิทยายุทธ์ใด ๆ ให้เขา"
"แล้วเหตุใดเขาถึง..."
"สิ่งที่จิงไท่ได้ตระหนักนั้นมาจากคำสอนของข้าเกี่ยวกับพุทธธรรม โปรดลองรับฟังดู..."
หลินเป่ยฟานประสานมือราวกับนักพรตที่กำลังเทศนา "พระพุทธศาสนาคือวิถีหนึ่ง วรยุทธ์ก็เป็นวิถีหนึ่ง ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นวิถี! มหาเต๋าเรียบง่าย วิถีแห่งเต๋าเป็นไปตามธรรมชาติ และเต๋าอยู่ทุกหนทุกแห่ง!"
หลวงจีนชราเกิดปัญญาอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง "คำกล่าวของท่านอาจารย์ลึกซึ้งยิ่งนัก อมิตาภพุทธ!"
"ใช่แล้ว อมิตาภพุทธ!"
แม้แต่ชายชราเซียนหอกก็เข้าใจ "พระพุทธศาสนาเป็นวิถีหนึ่ง วรยุทธ์ก็มีวิถีของมัน ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นวิถี! เจ้าพูดถูก คำพูดของเจ้าช่างมหัศจรรย์นัก!"
คำพูดนี้ดูเหมือนจะสลายเมฆหมอกและเผยให้เห็นท้องฟ้าที่แจ่มใส ทำให้เขามองเห็นโอกาสที่จะก้าวหน้า!
เมื่อมองหลินเป่ยฟานอีกครั้ง สายตาของชายชราเปลี่ยนไปทันที "ข้าเชื่อแล้วว่าเจ้าเป็นอาจารย์ของเจ้าหัวโล้นนี่จริงๆ สมควรเป็นอาจารย์ของเขา! ถึงแม้เจ้าจะไม่รู้วิทยายุทธ์ แต่เจ้ากลับเข้าใจวิถีแห่งวิทยายุทธ์!"
"จริงหรือ? ทำไมมันฟังดูประหลาดชอบกล..." เย่เซียงครุ่นคิด
แต่เขาก็ถูกชายชราดุและตีด้วยไม้ "เจ้าเด็กน้อย ถ้าเจ้าไม่เข้าใจ ก็หุบปากเสียอย่าขายหน้า! นี่เป็นคำพูดที่ลึกซึ้งในด้านวิทยายุทธ์ เจ้าจะเข้าใจความหมายได้เมื่อเจ้าเป็นปรมาจารย์แล้ว!"
เย่เซียงถอนหายใจ ศีรษะบวมจากการถูกตี เขานั่งยองๆ อยู่มุมหนึ่ง ในใจได้แต่ร้องไห้เงียบๆ
แม้แต่หลินเป่ยฟานก็รู้สึกเห็นใจเล็กน้อย ช่างเป็นเด็กที่น่าสงสาร ถูกทุบตีอยู่เสมอ ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะวิ่งหนีเมื่อเห็นอาจารย์ของเขา
ขณะที่เขากำลังจะปลอบใจ เย่เซียงก็ถูกชายชราลากตัวไป "คุณชายหลิน อย่าไปสนใจเขาเลย เขาจะหายดีเองเมื่อถึงเวลา เรามาคุยกันเรื่องวิทยายุทธ์ต่อเถอะ"
"วิทยายุทธ์มีมากมายหลายแขนง ท่านอยากจะคุยเรื่องอะไร?"
ชายชราครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้ววางหอกศักดิ์สิทธิ์ไว้ข้างหน้า "ลองดูหอกของข้าสิ ท่านคิดเห็นว่าอย่างไร?"
หลินเป่ยฟานแย้มยิ้มบาง "ท่านผู้อาวุโส พูดตามตรง หอกของท่านยังธรรมดาสามัญนัก..."
ชายชราโกรธขึ้นมา "อะไรนะ? เจ้าว่าหอกของข้าธรรมดา?"
"ข้ารู้จักหอกหนึ่ง..." หลินเป่ยฟานเริ่มบรรยายถึงระดับความสำเร็จต่างๆ เช่น หอกคม หอกอ่อน หอกหนัก หอกไม้ และไร้หอก โดยใช้คำศัพท์ต่างกันเพื่อสื่อความหมายเดียวกัน
(ใช่ เขาพูดเหลวไหลอีกแล้ว ฮ่าๆ)
ชายชราตกตะลึง ตบต้นขาอย่างตื่นเต้น "หอกคม หอกอ่อน หอกหนัก... พูดได้ยอดเยี่ยม! ข้าศึกษาเรื่องหอกมานาน แต่ความเข้าใจของข้ายังไม่ลึกซึ้งเท่าเจ้า ข้าละอายใจจริงๆ!"
หลินเป่ยฟานพูด "ท่านผู้อาวุโส..."
ชายชราโบกมืออย่างรวดเร็ว "อย่าเรียกข้าว่าท่านผู้อาวุโส ข้าไม่คู่ควรเป็นผู้อาวุโสของเจ้า หากเจ้าเห็นข้าเป็นที่นับถือ ก็เรียกข้าว่า 'พี่ชาย' ข้าจะเรียกเจ้าว่า 'น้องชาย' แทน ถือว่าเราเป็นสหายกันได้หรือไม่?"
หลินเป่ยฟานส่ายหัว "ดูเหมือนจะไม่เหมาะสม มันไม่เหมาะ"
ชายชราโกรธขึ้นมา "ทำไมไม่เหมาะ? มีอะไรผิด? มันเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับข้าที่ได้รับคำแนะนำจากเจ้า ถ้าข้ายังเป็นผู้อาวุโสของเจ้าต่อไป จิตสำนึกของข้ามันจะรบกวนข้า! ดังนั้น เจ้าต้องเรียกข้าว่า 'พี่ชาย' แม้ว่าเจ้าจะไม่ต้องการ เจ้าก็ยังต้องเรียก!"
หลินเป่ยฟานเรียกทันที "พี่เซียนหอก!"
ชายชราตอบกลับทันที "น้องหลิน!"
ทั้งสองหัวเราะออกมา "ฮ่าฮ่าฮ่า!"
กัวเส้าซวนที่ยืนอยู่ข้างๆ ขมวดคิ้ว "ฉากนี้เหตุใดถึงดูคุ้นๆ กัน?"
โม่หรูซวงกระซิบ "ศิษย์น้อง เจ้าลืมแล้วหรือ? ก่อนหน้านี้ เซียนดาบและเซียนกระบี่ชื่นชมความสามารถด้านวิทยายุทธ์ของนายท่าน จึงบังคับให้เขาเป็นสหายสนิท!"
กัวเส้าซวนเข้าใจทันที "ไม่แปลกใจเลย!"
"คุณชายช่างพิเศษยิ่งนัก! เหล่าปรมาจารย์ล้วนต้องยอมรับในความสามารถและสติปัญญาของท่าน!" โม่หรูซวงทอดสายตาชื่นชมหลินเป่ยฟาน
ทันใดนั้น ชายชราเอ่ยเรียกเย่เซียง "เจ้า มาหาข้า!"
"ท่านอาจารย์ มีอันใดให้รับใช้ขอรับ?" เย่เซียงเดินเข้ามาพลางกุมศีรษะ
สีหน้าชายชราเคร่งขรึม "เจ้าจงฟังให้ดี เจ้าเด็กน้อย! หลินเป่ยฟานผู้นี้ บัดนี้เป็นสหายร่วมสาบานของข้า และเป็นผู้อาวุโสของเจ้า! ต่อไปเมื่อพบเจอ จงแสดงความเคารพ เชื่อฟังคำสั่งทุกประการ ปฏิบัติต่อเขาเยี่ยงอาจารย์ หากเจ้าขัดขืน ข้าจะหักขาเจ้าเสีย!"
"โอ้ ไม่นะ!" เย่เซียงหน้าถอดสี ก่อนท่านอาจารย์จะมาถึง หลินเป่ยฟานก็ควบคุมเขาอยู่หมัดแล้ว บัดนี้ท่านอาจารย์มาพบและรู้จักกัน อำนาจของหลินเป่ยฟานเหนือเขายิ่งจะเพิ่มพูนขึ้นไปอีกหรือ? เย่เซียงรู้สึกโลกหมุน มืดแปดด้าน สิ้นหวังอย่างที่สุด
หลินเป่ยฟานยิ้มอย่างผู้มีชัย "น้องเย่เซียง ต่อไปนี้ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย!"
จากนั้น เพื่อเป็นการต้อนรับ 'สหาย' ปรมาจารย์ผู้มาจากแดนไกล หลินเป่ยฟานจึงจัดงานเลี้ยงใหญ่ พร้อมตระเตรียมน้ำเมามากมาย
ข่าวนี้ลอยล่องไปถึงพระราชวัง องค์จักรพรรดินีทรงสดับแล้วแย้มสรวล ส่ายพระพักตร์เบาๆ "หลินเป่ยฟานผู้นี้ ช่างมีใจรักสหายยิ่งนัก! พบเจอปรมาจารย์เมื่อใด เป็นต้องชวนสนทนา ผูกมิตรได้ทุกครา ไม่เคยพลาดเลย สวรรค์ นี่มันวิชาอะไรกัน!"
ปรมาจารย์เซียนหอกผู้นี้ บัดนี้เป็นสหายร่วมสาบานของหลินเป่ยฟาน แล้วยังเป็นอาจารย์ของเย่เซียงอีก อาจกล่าวได้ว่าครึ่งหนึ่งของปรมาจารย์ผู้นี้อยู่ข้างอู๋อันแล้ว ตราบใดที่หลินเป่ยฟานและเย่เซียงยังอยู่ในอู๋อัน ปรมาจารย์ผู้นี้ก็จะอยู่เคียงข้างอู๋อันเช่นกัน
องค์จักรพรรดินีทรงปลาบปลื้มยิ่งนักกับเรื่องนี้ "นำสุรา 'สิบหลี่หอม' ล้ำค่าสองไหจากคลังของเราไปมอบที่เรือนหลิน!"
"พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!" ขันทีชรารับด้วยความเคารพ
ภายในเรือนหลิน ชายชรากำลังร่ำสุราอย่างสำราญ ใบหน้าแดงระเรื่อด้วยฤทธิ์สุรา "สุราเลิศรสเช่นนี้ ต้องดื่มกับสหายร่วมสำนักจึงจะอร่อย! ครานี้ได้พบกับเจ้าผู้เป็นน้องชาย คุ้มค่าจริงๆ!"
"หากถูกใจ ก็จงดื่มอีก! ชนจอก!" หลินเป่ยฟานยกจอกขึ้น
"ชนจอก!" ชายชราชนจอกกลับ
หลังจากดื่มจอกนี้เสร็จ ชายชราก็กล่าวต่อ "การที่ข้าออกจากการหลีกเร้นครานี้ มีเหตุผลสำคัญสองประการ"
"สองเหตุผลอะไรงั้นหรือ?" หลินเป่ยฟานเอ่ยถาม