บทที่ 190 คิดไม่ถึง
จู่ๆ วังวนปราณแท้ในท้องน้อยที่เคยสงบนิ่งก็คล้ายจะเกิดการสั่นไหว พริบตาปราณแท้สายหนึ่งพลันหลั่งไหลออกมาจากร่างเขา
ทันใดนั้น ปราณแท้เบาบางก็พุ่งออกมาจากปลายนิ้วของหลัวเฉิง!
พลังปราณนั้นปรากฏขึ้นเพียงชั่วแล่นก็หายไปทันที ทิ้งไว้เพียงร่องรอยในอากาศคล้ายระลอกคลื่นที่ยากจะสังเกตเห็นได้
“เมื่อครู่นี้มันเกิดอะไรขึ้น?”
เซวียเหินที่ยืนอยู่ข้างหลัวเฉิงหดคอลงด้วยความตกใจ เพียงชั่วครู่เดียว เขาคล้ายจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันทรงพลัง จนทำให้ทั่วทั้งร่างเขาเย็นเยียบ!
“อ๊ะ!”
ผู้อาวุโสหญิงที่ยืนอยู่หัวเรือในชุดกระโปรงเขียวจ้องหลัวเฉิงด้วยแววตาประหลาดใจ “เกาเซี่ยง เมื่อครู่เจ้ารู้สึกหรือไม่?”
ชายวัยกลางคนที่ถูกเรียกว่าเกาเซี่ยงถามว่า “รู้สึกอะไร?”
สตรีในชุดกระโปรงเขียวขมวดคิ้วกล่าวว่า “เมื่อครู่ ข้ารู้สึกเหมือนมีปราณแท้ไหลเวียนออกมาจากตัวของหลัวเฉิง”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เกาเซี่ยงก็หัวเราะ “ฮ่าๆ ฉินเหมย เจ้ากล่าวอะไรรู้ตัวหรือไม่ หรือว่าเจ้ากำลังฝันกลางวันอยู่”
ฉินเหมยมองหลัวเฉิงอีกครั้งม้วนริมฝีปากแดงสดของนางแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “จริงด้วย ข้าคงคิดไปเองกระมัง”
เป็นที่ทราบกันดีว่า เฉพาะผู้ฝึกยุทธ์ในขั้นเขตแดนลึกลับเท่านั้นที่สามารถหลอมรวมปราณแท้เป็นแก่นพลัง มีเพียงการสร้างตำหนักปราณเท่านั้นที่จะสามารถปลดปล่อยปราณแท้ออกมาได้!
แต่ทว่าหลัวเฉิงยังเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์เท่านั้น
ฉินเหมยสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัวแล้วเลิกสนใจหลัวเฉิงทันที
อีกฟากฝั่งหนึ่งของลำเรือ
หลัวเฉิงเปิดตาขึ้น พร้อมกับประกายแสงในแววตา
“ไม่เลว…ไม่เลว! ข้าเริ่มเข้าใจแล้ว!”
หลังจากพิจารณาใคร่ครวญอยู่หลายครั้ง ในที่สุดหลัวเชิงก็เริ่มจับทางเพลงกระบี่ทลายสวรรค์กระบวนท่าที่สามได้สำเร็จ
อีกทั้งยังสามารถกระตุ้นพลังปราณในตันเถียนได้อีกด้วย! เช่นนั้นแล้วหลัวเฉิงจึงมั่นใจมากว่าอีกไม่นานเขาต้องสามารถเชี่ยวชาญเพลงกระบี่ทลายสวรรค์กระบวนท่าที่สามได้แน่นอน!
“ผู้ฝึกยุทธ์ในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ที่สามารถปล่อยปราณกระบี่และปราณหมัดออกมาได้! ฮ่าๆ แค่คิดก็ทำให้ข้าตื่นเต้นมากถึงเพียงนี้แล้ว!”
หลัวเฉิงรู้สึกว่าเลือดในกายเดือดพล่านด้วยความกระตือรือร้น
หากเขาสามารถใช้เพลงกระบี่ทะลายสวรรค์กระบวนท่าที่สามได้อย่างสมบูรณ์ ภายใต้ขั้นเขตแดนลึกลับนี้ เขาจะกลายเป็นผู้ไร้เทียมทาน!
เวลาล่วงเลยเข้าสู่ช่วงเที่ยง
เรือสำเภาทั้งห้าลำทะลวงผ่านมาดเมฆหมอกลงมา แล้วเริ่มลดระดับลงอย่างแช่มช้าเตรียมจะเทียบท่า
ในไม่ช้า ภูเขาและแม่น้ำของสำนักซวนหยวนที่ราวกับสวรรค์ ก็เริ่มมองเห็นได้อย่างชัดเจนขึ้น
ยามนี้หลัวเฉิงเห็นจัตุรัสหยกขาวซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาขึ้นเรือสำเภาครั้งแรก
ในเวลานี้ ทั่วอาณาบริเวณล้วนเต็มไปด้วยฝูงชนหนาแน่น
มีศิษย์ที่เข้ามารอดูความตื่นเต้นอย่างล้นหลาม ทั้งศิษย์บำรุงสำนัก ศิษย์ฝ่ายนอก และแม้แต่ผู้อาวุโสก็มาเช่นเดียวกัน
“หลินหานคง!”
จากที่สูง หลัวเฉิงสังเกตเห็นหลินหานคงในฝูงชนทันที ยามนี้แววตาเขาเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าอย่างชัดเจน
หากมิใช่เพราะเขามีความแข็งแกร่ง เกรงคงไม่รอดจากกลอุบายของหลินหานคง และตายกลายเป็นผีเร่ร่อนอยู่ในเกาะชิงอวิ๋นเป็นแน่!
“เจ้าคงไม่คิดว่าข้าจะกลับมาแบบมีชีวิตใช่หรือไม่! ในเมื่อตอนนี้ข้ายังไม่ตาย เจ้าก็เตรียมตัวตายได้เลย!”
หลัวเฉิงแค่นเสียงหัวเราะเยือกเย็น แล้วมองยังหลินหานคงด้วยแววตาดุจดั่งยมทูตมาเยือน
“อ๊ะ! นั่นมันหลัวเฉิงมิใช่หรือ!”
ศิษย์ฝ่ายนอกคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างหลินหานคงสังเกตเห็นหลัวเฉิงจึงอุทานขึ้นอย่างกะทันหัน
“เจ้ากล่าววาจาล้อเล่นอะไร ชายผู้นั้นไหนเลยจะยังมีชีวิต…”
ระหว่างที่หลินหานคงกำลังสนทนาอย่างสนุกสนานอยู่กับสหายนั้น แต่แล้วเมื่อหันไปมองตามทิศทางของสายตาสหาย รอยยิ้มบนใบหน้าพลันชะงักค้างน้ำเสียงหัวเราะก็ขาดหาย แม้แต่วาจาก็ยังไม่ทันได้กล่าวจบ
“เป็นไปไม่ได้! เหตุใดมันยังมีชีวิตอยู่!”
เมื่อเห็นหลัวเฉิง ใบหน้าของหลินหานคงก็เปลี่ยนเป็นแดงก่ำ บิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธเกลียดระคนหวาดกลัว เขาคิดไม่ถึงเลยว่าหลัวเฉิงจะรอดกลับมาได้!
บูม!
ท่ามกลางสายตาผู้คนที่ยังคงจับจ้อง เรือสำเภาทั้งห้าร่อนลงเทียบท่าในกลางจัตุรัส และแต่ละลำเรือก็ทอดสะพานลงมา
ที่ด้านหน้าสะพานเดินเรือ มีผู้อาวุโสตั้งโต๊ะและเก้าอี้หินเตรียมไว้แล้ว พร้อมกับสมุดหยกสำหรับบันทึกแต้ม
หลังจากศิษย์ที่เข้าร่วมการทดสอบชิงอวิ๋นลงจากสะพานเดินเรือแล้ว พวกเขาต้องยื่นป้ายหยกประจำตัวของตนเพื่อแสดงแต้ม
ศิษย์ที่ได้แต้มสูงสุดหนึ่งร้อยคนแรก ชื่อและแต้มของพวกเขาจะปรากฏบนกระดานประกาศที่จัตุรัสหยกขาวทันที!
ไม่ช้าบรรดาเหล่าศิษย์ที่เข้าร่วมทดสอบก็พากันหลั่งไหลลงจากเรือสำเภา
“โอ้สวรรค์! ศิษย์พี่ซีซุยได้รับแต้มมากถึงพันเจ็ดร้อยห้าสิบแต้ม! นั่นเท่ากับว่าเขาล่าสัตว์อสูรสองดาวไปถึงห้าหรือหกร้อยตัวเลยทีเดียว!! ช่างฝีมือร้ายกาจยิ่งนัก!!”
อีกด้านหนึ่งตรงสะพานเดินเรือลำที่สอง เมื่อศิษย์หนุ่มคนหนึ่งร่างสูงใหญ่บันทึกแต้มของเขา เสียงฮือฮาก็ดังขึ้นไปทั่วอาณาบริเวณ
แต้มของคนส่วนใหญ่เต็มที่จะอยู่ประมาณสามร้อยถึงห้าร้อยแต้ม ส่วนผู้ที่ได้แต้มมากกว่าพันนั้นนับว่าหาได้ยากยิ่งแล้ว แต่ทว่าแต้มพันเจ็ดร้อยห้าสิบนั้นนับว่ายอดเยี่ยมยิ่งกว่า