บทที่ 189 ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
เหนือทะเลเมฆา เรือสำเภาทั้งห้าลำราวกับสัตว์อสูรยักษ์ที่ล่องลอยอยู่ท่ามกลางท้องนภา ทุกคราที่ใบเรือโบกสะบัด มันจะทะยานไปไกลหลายลี้!
หลัวเฉิงยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ มองเกาะชิงอวิ๋นที่ค่อยๆ เรือนหายไปจากสายตา จิตใจเขายามนี้เคล้าไปด้วยความรู้สึกมากมาย
ในเวลาเพียงหนึ่งวัน แต่กลับสามารถบันดาลให้เกิดเหตุการณ์มากมาย…
แม้บนดาดฟ้าเรือจะมีผู้คนมากมาย แต่รอบกายหลัวเฉิงกลับไร้ผู้ใดยืนเคียง ทุกคนต่างมองมาที่หลัวเฉิงด้วยสายตาประหลาดใจ บ้างก็เสียงกระซิบกระซาบ
เนื่องจากทุกคนรู้แล้วว่าในการทดสอบชิงอวิ๋นครั้งนี้ มีคนตั้งค่าหัวฆ่าหลัวเฉิงโดยเสนอการเลื่อนขั้นเป็นศิษย์ฝ่ายนอก
ก่อนที่หลัวเฉิงจะกลับขึ้นเรือมา คนส่วนใหญ่คิดว่าเขาคงตายไปแล้วบนเกาะชิงอวิ๋น
ทว่าผลกลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม ไม่เพียงหลัวเฉิงยังมีชีวิตอยู่! แต่ยังไร้ซึ่งริ้วรอยบาดแผลแม้แต่น้อย!
ผลลัพธ์นี้ทำให้ทุกคนต่างก็ประหลาดใจอย่างมาก
หลัวเฉิงแว่วยินเสียงผู้คนสนทนารอบตัวและอดไม่ได้ที่จะยิ้มแหยๆ
หากคนเหล่านี้รู้ว่าเขาได้ฆ่าคนที่คาดว่าจะได้ครองตำแหน่งหนึ่งในสิบอันดับแรกไปถึงสามคน ไม่รู้ว่าพวกเขาจะมีสีหน้าเช่นไร!
ในขณะนั้นเอง
“หลัวเฉิง!”
มีคนหนึ่งแหวกฝูงชนและตรงเข้ามาหาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
เมื่อหลัวเฉิงเห็นว่าเป็นเซวียเหิน จึงแย้มยิ้มกล่าวว่า “ที่แท้เจ้าอยู่บนเรือลำหมายเลขห้าเช่นเดียวกัน”
เซวียเหินพยักหน้ากล่าวว่า “ตอนที่กู่หลิงเฟิงและหยวนจื่อหลานลงมาจากยอดเขา มันก็เกิดการไล่ล่าอย่างวุ่นวายพาลให้มีผู้คนตายเป็นจำนวนมาก แต่ข้ากลับไม่เห็นเจ้า เลยเข้าใจผิดคิดว่าเจ้า....”
จู่ๆ น้ำเสียงเขาก็ชะงักขาดไปครู่ จากนั้นพลันหัวเราะเบาๆ “เจ้าปลอดภัยก็ดีแล้ว”
หลัวเฉิงยิ้มเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเรื่องที่เกิดบนยอดเขาจะยังมิถูกแพร่งพรายออกไป แต่นั่นก็ไม่น่าแปลกใจเท่าใดนัก เพราะทั้งกู่หลิงเฟิงและหยวนจื่อหลานต่างก็เป็นที่จับตาในการทดสอบครั้งนี้
ทั้งพวกเขายังสามารถเก็บผลหยวนหลิงได้อีกด้วย ความสนใจของทุกคนย่อมไปหยุดอยู่ที่สองคนนี้เท่านั้น คนไร้ชื่อเสียงเรียงนามเยี่ยงเขาย่อมเป็นธรรมดาที่จะถูกมองข้าม
“หลัวเฉิง ข้าเพิ่งได้ยินข่าวมาเรื่องหนึ่ง ซึ่งมันอาจจะเกี่ยวพันกับเจ้า!”
เซวียเหินพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาคล้ายเป็นเรื่องลับ
“เรื่องอันใดหรือ?”
“การต่อสู้ระหว่างอวิ๋นเหมิงลี่และหยวนชิงอิงได้ผลสรุปแล้ว!”
หลัวเฉิงเลิกคิ้วแสดงสีหน้าจริงจัง “ใครเป็นผู้ชนะ?”
“ศิษย์พี่อวิ๋นเหมิงลี่! ยามนี้นางได้เลื่อนขั้นเป็นศิษย์แท้จริงแล้ว!” เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ เซวียเหินมองหลัวเฉิงด้วยความอิจฉาอย่างที่สุด
จากนั้นกล่าวเสริม “ศิษย์แท้จริง! พวกเขาเหล่านี้คือบุคคลที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุด สามารถตัดสินความเป็นตายได้! เพียงแค่กระทืบเท้า บรรดาเหล่ากษัตริย์ทั่วทั้งอาณาจักรเยว่ต้องสะเทือน! ช่างเป็นผู้ที่น่ากลัวยิ่งนัก!”
“ข้าทราบมาว่า อวิ๋นเหมิงลี่อายุเพียงสิบเจ็ดสิบแปดปี อายุมากกว่าข้าเพียงสองสามปีเท่านั้น แต่ตอนนี้นางกลับได้เป็นศิษย์แท้จริงแล้ว ข้ายังต้องดิ้นรนเพื่อจะเลื่อนขั้นเป็นศิษย์ฝ่ายนอกอยู่เลย... เป็นคนเฉกเช่นเดียวกันแต่ไยจึงแตกต่างกันเช่นนี้”
เซวียเหินกล่าวแล้ว จู่ๆ ใบหน้าก็เศร้าสลดพร้อมกับเสียงเงียบหายไปครู่ จากนั้นกล่าวกับหลัวเฉิงอีกครั้ง
“ได้ยินมาว่าเจ้าคือคนที่อวิ๋นเหมิงลี่แนะนำให้เข้ามาในสำนัก ตอนนี้อวิ๋นเหมิงลี่เลื่อนขั้นเป็นศิษย์แท้จริงแล้ว สถานะของเจ้าก็คงจะยกระดับขึ้นตามไปด้วย! มีภูเขาใหญ่ขนาดนี้เป็นที่พึ่ง อย่าว่าแต่ศิษย์ฝ่ายนอกเลย ต่อให้เป็นศิษย์ฝ่ายในเจ้าก็คงเป็นได้ไม่ยากเย็นนัก!”
“ฮ่าๆ หากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งแล้วไซร้ ต่อให้กลายเป็นศิษย์แท้จริง ไหนเลยจะได้รับความยำเกรง ท้ายที่สุดก็เป็นได้เพียงแค่ตัวตลกเท่านั้น” หลัวเฉิงส่ายศีรษะกลางกล่าวชี้แนะ
จากนั้นจึงเหลียวมองทะเลเมฆที่กำลังเคลื่อนไหวพาดผ่านไปอย่างรวดเร็ว จู่ๆก็กล่าวขึ้นอีกครั้ง
“ยิ่งไปกว่านั้น ข้ากับอวิ๋นเหมิงลี่ก็แค่พบกันเพียงไม่กี่ครั้ง มิได้สนิทกันเป็นการส่วนตัว ไหนเลยจะกล้าเรียกว่ามีภูเขาใหญ่เป็นที่พึ่งกัน”
วาจานี้มิใช่เป็นการปลอบใจ แต่สิ่งที่หลัวเฉิงกล่าวไปเมื่อครู่นั้นล้วนเป็นเรื่องจริง
ท้ายที่สุดแล้ว เขากับอวิ๋นเหมิงลี่เพียงพบกันโดยบังเอิญเท่านั้น ตอนนี้นางเป็นถึงศิษย์แท้จริง นางจะยังจำเขาได้หรือไม่ตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจด้วยซ้ำ ไหนเลยจะกล้าทำตัวเป็นจิ้งจอกอวดอ้างบารมีเสือกัน
แต่อย่างไรเสียเรื่องนั้นก็หาใช่สำคัญ โดยปกติแล้วหลัวเฉิงเองก็ไม่เคยคิดจะพึ่งพาอาศัยบารมีผู้อื่นเช่นกัน
“กล่าวได้ดี พึ่งพาความแข็งแกร่งตนนั้นจึงจะเป็นเรื่องสำคัญกว่า มีเพียงตนเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งแห่งตน”
เซวียเหินพยักหน้าเห็นด้วยกับวาจาของหลัวเฉิง เมื่อเขาย้อนนึกถึงตอนที่ตนเกือบเอาชีวิตไม่รอดบนเกาะชิงอวิ๋น ในใจก็ยิ่งตระหนักได้ว่าความแข็งแกร่งตนเองเท่านั้นที่พึ่งพาได้
“ยังมีเวลาอีกเล็กน้อยก่อนจะถึงสำนัก ข้าจะฝึกฝนอีกหน่อย” ว่าแล้วหลัวเฉิงก็นั่งขัดสมาธิลง
ทั้งวันทั้งคืนที่ผ่านมานี้ เขาต่อสู้จนแทบมิได้หยุดพัก หลายสิ่งอย่างยังไม่ได้แยกย่อยและทำความเข้าใจให้แตกฉาน
หลัวเฉิงต้องการใช้เวลาที่เหลือระลึกความทรงจำให้ชัดเจน เพื่อแยกย่อยประสบการณ์การต่อสู้ในครั้งนี้
โดยเฉพาะเพลงกระบี่ที่เขาฟาดฟันเข้าใส่งูยักษ์เกล็ดดำบนยอดเขา หากเขาสามารถร่ายรำออกกระบวนท่ากระบี่นั้นได้อีกครั้ง ความแข็งแกร่งของเขาย่อมก้าวหน้าอย่างทวี!
เมื่อหลัวเฉิงปิดเปลือกตาลง นึกถึงทุกรายละเอียดการต่อสู้ที่ผ่านมา แน่นอนว่าเขาจะไม่ยอมปล่อยให้ประสบการณ์ใดหลุดมือไปเป็นแน่
เวลาเดินผ่านไปอย่างช้าๆ
เมื่อหลัวเฉิงคิดทบทวนและไตร่ตรองครั้งแล้วครั้งเล่า ความรู้สึกที่แปลกประหลาดมากมายก็พลันผุดขึ้นในใจ
พัฟ!