ตอนที่แล้วตอนที่ 4 : พวกมันมีอยู่จริง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 6 : กฎการกำกับของเฉินหลิง

ตอนที่ 5 : โลกสีเทา


“จุดตัดของโลกสีเทา?”

คำนี้อยู่ในความทรงจำของเฉินหลิง เจ้าของเดิมน่าจะเคยได้ยินมันจากที่ไหนสักแห่ง

“อย่าบอกนะว่าลืมเรื่องโลกสีเทาไปแล้ว” หมอหลินยืนขึ้น เทเลือดจากกาน้ำชาทิ้งในท่อระบายน้ำ แล้วพูดช้าๆ

“ก่อนเกิดภัยพิบัติ มีคนตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า จักรวาล มีช่องว่างเวลาคู่ขนานจำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งเกิดขึ้นจากการกำเนิดของจักรวาลยุคแรกสุด มันแผ่ขยายไปทุกทิศทุกทาง เหมือนกับแสงที่ปล่อยออกมาหลังจากจุดเทียน และไม่เคยตัดกัน”

"แต่หลังจากเหตุการณ์ดาวตกสีแดงผ่านไป ทุกอย่างก็วุ่นวาย"

"มิติเวลาเกิดความผันผวน โลกสีเทาที่ไม่มีใครรู้จักและแปลกประหลาดก็เริ่มซ้อนทับกับโลกแห่งความเป็นจริง"

หมอหลินล้างถ้วยชากับกาน้ำชาเสร็จ  เขาเทน้ำเปล่าใส่แล้วแต่ไม่ใส่ใบชาลงไป เขากลับวางมันลงบนโต๊ะ

แรงสั่นจากบางอย่างทำให้เกิดคลื่นน้ำในกาน้ำชา

จากนั้นหมอหลินฉีกกระดาษออก แล้วติดไว้เหนือคลื่นน้ำในกาน้ำชา คลื่นน้ำเริ่มโดนกระดาษจนเปียก และค่อยๆ ทะลุพื้นผิวกระดาษทั้งหมด มีคราบน้ำเล็กๆ กระจายไม่เท่ากัน

“ในตอนแรก พื้นที่เกิดจุดตัดมีเพียงพื้นที่เล็กๆ  แต่เมื่อเวลาผ่านไป พื้นที่ต่างๆ ก็เกิดจุดตัดมากขึ้นเรื่อยๆ วัตถุและสิ่งมีชีวิตจากโลกนั้นเริ่มปรากฏขึ้นในโลกของเรา และแม้แต่แหล่งที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่ เดิมทีเป็นของมนุษย์มันถูกครอบครองโดยโลกนั้น...ตอนนี้มีเพียงเก้า 'ดินแดน' เท่านั้นที่มีเชื้อเพลิงทำให้ยังคงปกป้องมนุษย์ให้ดำรงอยู่”

"เพราะท้องฟ้าในโลกนั้นเป็นสีเทา เราจึงเรียกมันว่า 'โลกสีเทา'"

"เมื่อโลกสีเทา มันตัดกับความเป็นจริง มันจะเกิดเหตุการณ์แปลกๆ ที่อยู่นอกเหนือการรับรู้  บางครั้งสัตว์ประหลาดในโลกสีเทาจะปรากฏขึ้น ซึ่งเราเรียกมันว่า 'ภัยพิบัติ' "

"โดยทั่วไปแล้ว เมื่อต้องเผชิญกับจุดตัดของโลกสีเทา" หรือถูกโจมตีจากภัยพิบัติ ผู้รอดชีวิต 80% จะมีอาการทางจิต และส่วนใหญ่จะไม่หายดี..."

"ผมสงสัยว่าสถานการณ์ปัจจุบันของคุณเกี่ยวข้องกับ 'โลกสีเทา' "

"คิดดูดีๆ คุณเคยพบจุดตัดของโลกสีเทามั้ย?”

เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของหมอหลิน เฉินหลิงพยายามอย่างหนักเพื่อค้นหาความทรงจำของเจ้าของเดิม แต่สุดท้ายเขาก็ไม่พบสิ่งใดเลย... ไม่ว่าเขาจะพยายามแค่ไหน แต่เขาก็จำสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไม่ได้เลย

“ผมไม่รู้” เขาพูดอย่างขมขื่น

หมอหลินคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงหยิบจดหมายออกมาจากลิ้นชัก และเริ่มเขียนอย่างรวดเร็ว

“สถานการณ์ของคุณไม่ง่ายเหมือนการเจ็บป่วยทางจิต... ผมเป็นเพียงคนธรรมดาและไม่สามารถรักษาคุณได้”

"แต่ผมรู้จักคนที่สามารถช่วยรักษาผลกระทบจากการปนเปื้อนโลกสีเทาได้ และเขาก็เป็น "หมอ" ตัวจริง"

หลังจากได้ยินสิ่งนี้ ดวงตาของเฉินหลิงก็สว่างขึ้น "ผมควรไปหาเขาที่ไหน"

"เขาอาศัยอยู่ในเมืองออโรร่า แต่เขาชอบเดินทางไปคลินิกต่างเพื่อรักษาคนไข้ ผมได้ยินมาว่าถ้ามีโรครักษาไม่หายต้องไปพบเขา เขาคือคนที่ครอบครองเส้นทางสู่การเป็นเทพเจ้า...

พูดง่ายๆ ก็คือ คุณมอบจดหมายนี้ให้กับผู้คุมกฎที่ประตูเมืองออโรร่า ทิ้งชื่อและที่อยู่ของคุณไว้ แล้วพวกเขาจะจัดการให้คุณได้พบ "หมอ" ภายในสามวัน"

“ขอบคุณ!”

เฉินหลิงพูดอย่างจริงใจขณะที่เขาหยิบซองจดหมาย

ในความเป็นจริง เมื่อเขาเห็นเม็ดเกลือละลายบนถนน เฉินหลิงก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ สิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาดูเหมือนจะไม่สามารถอธิบายได้ด้วยโรคภัยไข้เจ็บ

เหตุผลที่เขาเลือกมาคลินิกเล็กๆ แห่งนี้  หนึ่งเพราะเดินได้ครึ่งทางแล้ว สองคือเขาไม่รู้จริงๆ ว่าจะมีที่ไหนที่ช่วยเขาได้

ฟังจากที่หมอหลินพูด ดูเหมือนว่า "หมอ" คนนี้จะมีบางอย่างที่พิเศษ และเขายังพูดถึงเส้นทางสู่การเป็นเทพเจ้า...

เป็นไปได้ไหม ที่โลกนี้มีระบบฝึกฝนมนุษย์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วย?

มิฉะนั้น ตามที่หมอหลินพูดไว้ มนุษยชาติทุกคนควรจะตาย เมื่อสิ่งที่เรียกว่าภัยพิบัติหลุดออกมาจากโลกสีเทา

เฉินหลิงยังรู้สึกว่าวิทยาการ ด้านวิทยาศาสตร์ที่บิดเบี้ยวของโลกนี้ อาจเกี่ยวข้องกับภัยพิบัติด้วย

“ไม่เป็นไร ฝากทักทายน้องชายคุณแทนผมด้วยนะ” หมอหลินยิ้มเล็กน้อย

“เขายังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลในพื้นที่เขตสอง... ครั้งต่อไปที่ผมไปเยี่ยม ผมจะพาเขามาหาคุณ”

เฉินหลิงยืนขึ้นพร้อมกล่าวคำอำลาหมอหลิน จากนั้นเปิดประตูและเดินจากไป

ขณะที่ร่างนั้นค่อยๆ หายไป ท่ามกลางท้องฟ้าที่มีแสงออโรร่า ดวงตาของหมอหลินพลันหรี่ลงเล็กน้อย

“นักแสดงงั้นเหรอ...”

.

.

.....

.

“ครั้งแรกที่ฉันเห็นหน้าจอในฝัน ความคาดหวังของผู้ชมอยู่ที่ 29%”

“พอฉันพยายามหลบหนีก็เพิ่มขึ้นถึง 30%”

“ระหว่างเดินมาที่นี่กลับมาเป็น 27%...”

"เมื่อกี้นี้หมอหลินโดนแกล้ง เพิ่มขึ้นเป็น 29%"

"สมมุติว่า 'ผู้ชม' อยู่ในตัวเขาจริงๆ และตัวเลขเหล่านี้ ไม่ใช่ภาพหลอน แต่สิ่งที่ส่งผลต่อความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นและลดลง มันคืออะไรกันแน่?”

ท่ามกลางลมหนาว เฉินหลิงถูกห่อหุ้มด้วยเสื้อคลุมผ้าฝ้ายหนา ๆ และคิดอย่างจริงจังขณะเดินกลับบ้าน

.

เวที ผู้ชม ความคาดหวัง...

.

ทุกครั้งที่ความคาดหวังเพิ่มขึ้น ดูเหมือนว่าจะมีเหตุการณ์ตามมาด้วย เหตุการณ์เหล่านี้จะถือเป็น "โครงเรื่อง" บนเวทีได้หรือเปล่า?

ยิ่งเหตุการณ์รอบตัวน่าสนใจมากขึ้นเท่าใด "โครงเรื่อง" ก็ดึงดูดผู้ชมได้มากขึ้นเท่านั้น ซึ่งส่งผลให้มีความคาดหวังเพิ่มมากขึ้น?

กล่าวคือถ้าบนหน้าจอขึ้นว่า ความคาดหวังของผู้ชมน้อยกว่า 20% จะไม่รับประกันความปลอดภัยส่วนบุคคลของนักแสดง...

เฉินหลิงไม่รู้ว่าอันตรายคืออะไร แต่ตัดสินจากข้อเท็จจริงที่ว่า "ผู้ชม" สามารถแทรกแซงในโลกความเป็นจริงได้ในระดับหนึ่ง

เขาอาจจะไม่ปลอดภัย เขาจะกลายเป็นเครื่องมือให้พวกมันระบายความโกรธ และถูกหลอกให้ตายด้วยกลอุบาย!

เฉินหลิงรู้สึกว่าความคิดของเขาถูกต้อง แต่หากเขาต้องการพิสูจน์ว่าสิ่งที่เขาคิดถูกต้องหรือไม่ เขายังคงต้องลงมือปฏิบัติจริง

“บางที ฉันควรพยายามออกแบบ 'โครงเรื่อง' นี้อย่างจริงจัง”

เฉินหลิงพึมพำกับตัวเอง

“อาหลิงเอ้ย กินข้าวเช้าหรือยัง?”

เฉินหลิงหันกลับมาและเห็นลุงคนหนึ่งที่มีผ้าพันรอบหัว เขากำลังพัดเตาอยู่ในร้านอาหารเช้าบนถนน เขาตะโกนเรียกเฉินหลิงอย่างกระตือรือร้น

ทันทีที่เฉินหลิงเห็นอีกฝ่าย ทันใดนั้นความคิดก็แวบขึ้นมาในใจของเขา

“ยังครับลุงจ้าว” เฉินหลิงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยแล้วเดินไปที่ร้าน

“มาๆ มาเอานมถั่วเหลืองกับแป้งทอดนี่ฉันให้ เมื่อคืนฝนตกหนักอากาศชื้นมากเลย มันค่อนข้างยุ่งยากกว่าจะอุ่นอาหารเช้าได้” ลุงจ้าวเดินมาพร้อมกับชามนมถั่วเหลืองอุ่นๆ

“ขอบคุณครับลุงจ้าว”

เฉินหลิงเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋า หยิบเหรียญทองแดงออกมาสามเหรียญ แล้วมอบให้ลุงจ้าว แต่เหรียญกลับถูกผลักกลับมา

“ลุงชวนนายกินข้าวนะ ยังให้นายจ่ายเงินอีกเหรอ?”

“อย่าเลยครับ ลุงจ้าวแม้ว่าเราจะเป็นเพื่อนบ้านกันมามากว่าสิบปีแล้ว แต่ของที่ต้องจ่ายก็ต้องจ่าย”

“เจ้าเด็กน้อย ฉันไม่ต้องการเงินของนาย ถ้านายมีเวลาว่างก็ช่วยเสี่ยวอี่ของฉันทำการบ้าน ฉันจะให้อาหารเช้านายทุกวัน” ลุงจ้าว ยิ้มพร้อมโชว์ฟันเหลืองซี่ใหญ่ของเขา

“เขาเรียนจบแล้วไม่ใช่เหรอ เขาอยากเรียนต่ออีกเหรอครับ”

“ด้วยคะแนนที่เขามียังไม่สามารถสมัครงานได้ ฉันวางแผนที่จะให้เขาเรียนซ้ำ จะให้เขาทำงานแปลกๆ ทุกวัน ไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ?”

"โอ้..."

"อาหลิงนายน่ะ ทั้งฉลาดทั้งกตัญญู ถ้าเสี่ยวอี่ได้เข้าสอบเป็นผู้คุมกฎเหมือนนายได้ ฉันก็คงหัวเราะได้กระทั่งตอนหลับ"

ลุงจ้าวถอนหายใจยาว “น่าเสียดาย เด็กคนนี้ไม่ได้เรื่องเลย”

มือที่จับตะเกียบชะงักเล็กน้อย หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเฉินหลิงก็พูดว่า

“ลุงจ้าว... คุณรู้มั้ยว่า ทำไมจ้าวอี่ถึงเรียนหนังสือได้แย่ขนาดนี้”

“อะ ทำไมเหรอ?”

เฉินหลิงกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็อ้ำอึ้งอยู่นาน เขาส่ายหัว “ลืมมันเถอะ ลุงจ้าวแค่แกล้งทำเป็นว่าผมไม่ได้พูดถึงมัน...ผมสัญญากับเขาว่าจะเก็บเป็นความลับ”

"อย่าทำแบบนี้สิ!"

หัวใจของลุงจ้าวร้อนรนรีบเพิ่มไข่ตุ๋นให้ เฉินหลิงเกาหัวอย่างกังวล

"อาหลิง ฉันรู้ว่านายเป็นเพื่อนที่ดีของเสี่ยวอี่แต่มีบางเรื่อง...ในฐานะพ่อ ฉันต้องรู้เรื่องนี้สักหน่อยใช่มั้ย ฉันเลี้ยงเสี่ยวอี่มาด้วยตัวเอง และฉันก็ต้องตื่นแต่เช้าทุกวัน หาเงินให้เขาไปโรงเรียน เพื่อที่เขาจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้นในอนาคต...

ถ้านายรู้อะไรบางอย่างต้องบอกฉัน! เราทุกคนต่างก็ทำเพื่อตัวเขานะ..."

เมื่อเห็นลุงจ้าวถามด้วยความกระตือรือร้น เฉินหลิงก็รู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อย เขาลังเลพักหนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจได้

"ลุงจ้าวคุณพูดถูก ในฐานะเพื่อนผมทนไม่ได้จริงๆ ที่จะเห็นจ้าวอี่หลงผิดแบบนั้น..."

"หลงผิด? เกิดอะไรขึ้นกับเขา?"

"เขามีความรัก"

"หืม?" ลุงจ้าวตกตะลึง "เจ้าเด็กคนนี้ยังพอมีเสน่ห์อยู่สินะ?"

เฉินหลิงกัดแป้งทอดโดยหน้าไม่เปลี่ยนสี แล้วพูดออกมาสามคำ

"กับผู้ชาย"

.

.

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด