ตอนที่ 3 : ภัยพิบัติ
ม่านตาของเฉินหลิงหดตัวลงทันที!
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขากะพริบตา ตัวอักษรเปื้อนเลือดบนพื้นก็หายไปทันทีราวกับว่าพวกมันไม่เคยปรากฏมาก่อน
ภาพหลอน?
เฉินหลิงยืนอยู่ที่นั่นอย่างว่างเปล่า ดูเหมือนประโยคนั้นจะฝังเข้าไปในจิตใจของเขายากที่จะลืมได้
.
.
[เรากำลังจับตาดูคุณอยู่]
.
.
เฉินหลิงส่ายหัวไปมาอย่างแรง!
ในห้องนั่งเล่นที่ว่างเปล่า ดูเหมือนจะมีดวงตาสีแดงก่ำมองไม่เห็นคู่หนึ่งกำลังจ้องมองเขาอยู่ ความรู้สึกของการถูกจ้องมองนี้เหมือนกับในฝันร้ายทุกประการ
เขาตัวแข็งอยู่กับที่เป็นเวลานาน ก่อนเริ่มบังคับตนเองให้หายใจเข้าลึกๆ
“บางทีฉันอาจจะเหนื่อยเกินไป อาจเพราะนอนดึกเพื่อเตรียมสอบผู้คุมกฎเมื่อไม่กี่วันก่อน ดังนั้นจิตใจเลยตึงเครียดเกินไป…”
“แต่นี่เป็นผลงานของเจ้าของร่างเดิม ซึ่งมันไม่มีอะไรเกี่ยวกับฉันเลย... เป็นไปได้ไหมว่ามันมีบางอย่างผิดพลาด หรือเพราะวิญญาณสองดวงหลอมรวมกัน? แล้วเกิดความเสียหายทางจิต?”
“ฉันเคยได้ยินมาว่าโรคจิตเภทขั้นรุนแรง มักมีอาการประสาทหลอน…”
เฉินหลิง หยุดความกลัวภายในใจของเขาชั่วคราว พยายามอธิบายทุกอย่างด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ขณะนั้นความรู้สึกหิวโหยอันรุนแรงพลันแล่นเข้ามากะทันหัน
เขาหยิบไส้กรอกย่างชิ้นหนึ่งจากเขียง แล้วโยนมันเข้าปากจากนั้นเคี้ยวสองสามครั้ง ก่อนจะกลืนมันลงท้องไป ทำให้เขารู้สึกสบายท้องขึ้นมาบ้าง
“บางที ฉันอาจต้องพบจิตแพทย์”
เฉินหลิงตกใจมากจนไม่กล้าล้างหน้าด้วยซ้ำ เขารีบสวมเสื้อคลุมผ้าฝ้ายสีดำแล้วผลักประตูออกไป
ถึงกระนั้น อากาศเย็นที่ผ่านเข้ามาจากด้านหลังประตูยังคงทำให้เฉินหลิงตัวสั่น
นี่เป็นการติดต่อกับคนโลกนี้อย่างเป็นทางการครั้งแรก ในขณะที่เขามีสติสมบูรณ์จริงๆ
เฉินหลิงหายใจเข้าลึก ๆ พร้อมที่จะเผชิญกับสิ่งที่ไม่รู้จัก และความยากลำบากทั้งหมด
แต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าโดยบังเอิญ เขาก็อดไม่ได้ที่จะพ่นคำว่า "แม่ง!" ออกมา
แสงแรกยามเช้าส่องมาจากทิศตะวันออก ปรากฏริบบิ้นสีฟ้าเส้นหนึ่ง ซึ่งเหมือนความฝัน มันลอยอยู่เหนือเมืองเล็กๆ ราวกับมันอยู่ใกล้แค่เอื้อมแต่ก็ไกลเกินเอื้อม
ออโรร่า
แสงออโรร่าในตอนกลางวัน...
เฉินหลิงยืนอยู่ที่ประตูบ้านของเขา จ้องมองแสงออโรร่าบนท้องฟ้าเป็นเวลานาน และพึมพำกับตนเอง
"โลกนี้นี่มันอะไรกัน...?"
.
.
.......
.
"ให้ตายเถอะ ทำไมถนนสายนี้ถึงได้เดินยากเย็นนักนะ?"
"อากาศหนาวเกินไปแล้ว เมื่อคืนฝนตกหนัก ถนนบนภูเขาจับตัวเป็นน้ำแข็ง เดินระวังหน่อยล่ะ"
"เดินมาตลอดทั้งคืน ในที่สุดฟ้าก็สว่างแล้ว" เฉินถานเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผากแล้วพูดต่อว่า “เราใกล้จะถึงหรือยัง?”
“หลุมศพหมู่อยู่ข้างหน้า...น่าจะถึงเร็วๆ นี้”
คนทั้งสองปีนขึ้นไปบนภูเขา ในที่สุดก็เห็นสุสานอยู่ไม่ไกล หลุมศพเหล่านี้มีทั้งเก่าทั้งใหม่ ส่วนใหญ่ไม่มีป้ายจารึก บ้างก็มีป้ายกับทรัพย์สินคนตายวางทิ้งไว้บนเนินดินอย่างไม่ใส่ใจ
แต่หลังจากฝนตกหนักเมื่อคืน เนินดินจำนวนมากก็ถูกพัดพาออกไป ท่อนไม้และสิ่งของอื่น ๆ กระจัดกระจายไปทั่ว ทำให้ที่นี่ดูเละเทะมาก
สิ่งที่ทั้งสองคนไม่คาดคิดก็คือ บริเวณหลุมศพจำนวนมาก ตอนนี้ถูกปิดกั้นด้วยเส้นเตือนสีเหลือง คนหลายสิบคนกำลังเดินผ่านพื้นที่ที่ถูกปิดกั้น ใบหน้าของพวกเขาดูเคร่งขรึมเล็กน้อย
“ผู้คุมกฎ?”
เมื่อเห็นเสื้อผ้าสีดำแดงที่สะดุดตาของคนเหล่านี้ ดวงตาของเฉินถานก็เบิกกว้าง “ทำไมพวกเขาถึงมาที่นี่!”
“หรือพวกเขาจะพบแล้ว?” ใบหน้าของหลี่ซิ่วชุนซีดเผือด “จะเป็น...อาหลิงหรือเปล่า เป็นเขาหรือเปล่า?...หรือว่าเขาไปหาผู้คุมกฎ เขายังไม่ตาย?”
สองสามีภรรยาคิดว่าพวกเขาฆ่าเฉินหลิงแล้ว แต่เฉินหลิงกลับเดินกลับบ้านด้วยตัวเองในวันรุ่งขึ้น และต่อมาผู้คุมกฎก็ปรากฏตัวขึ้นที่สถานที่ฝังศพ... แทบอธิบายเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย
“ไม่ถูกสิ...” เฉินถานจ้องไปยังคนเหล่านั้นอย่างตั้งใจ “ผู้คุมกฎในเขตสามถึงแม้จะเป็นคดีอาญาก็จะส่งคนออกไปมากที่สุด แค่สามคนเท่านั้น! มีเพียงเหตุผลเดียวที่ส่งคนมามากกว่าสิบคนพร้อมกันคือ...”
"ภัยพิบัติ...หลุดออกมา?"
ดูเหมือนนางหลี่ครุ่นคิดอะไรบางอย่างได้ เหงื่อเย็นพลันไหลเปียกโชกแผ่นหลัง!
“เป็นไปได้ไหมว่าสัตว์ประหลาดในห้องนอนคือ...”
“ไปกันเถอะ!!” เฉินถานคว้าข้อมือภรรยา แล้วหันหลังเดินออกไปจากบริเวณนี้
แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงเย็นชาซึ่งอยู่ไม่ไกลดังขึ้น
“หยุด!”
คนทั้งสองตัวแข็งทื่อทันที
ผู้คุมกฎเดินเข้ามาช้าๆ เขาอ้อมเนินดินน้อยใหญ่ไปหาคนทั้งสองพร้อมหรี่ตามอง
“คุณเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่”
“ฉัน...ฉัน...” นางหลี่พูดตะกุกตะกักแต่ก็พูดไม่ออก
“พวกเรามาเซ่นไหว้ลูกชาย” เฉินถานพยายามพูดอย่างใจเย็นที่สุด “เขาถูกฝังอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันครบรอบการเสียชีวิตของเขา”
“แล้วทำไมคุณถึงวิ่งหนี?”
“...เพราะเรากลัว”
“กลัวเหรอ?”
“การที่ผู้คุมกฎถูกส่งมาเป็นจำนวนมากในคราวเดียว นั่นต้องเป็นเพราะค้นพบจุดตัดของโลกสีเทาที่นี่ใช่มั้ยครับ?” เฉินถานกลืนน้ำลาย “บางทีอาจมีภัยพิบัติหลุดออกมา… เรากลัวจะถูกลูกหลงจากการต่อสู้”
"โอ้ คุณรู้ไม่น้อยนี่? " ผู้คุมกฎเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ
เฉินถานฝืนยิ้มบางๆ
“ท่านผู้คุมกฎ” นางหลี่ถามอย่างระมัดระวัง “มีภัยพิบัติหลุดออกมาจากโลกสีเทาจริงเหรอคะ?”
“นี่เป็นความลับ”
ผู้คุมกฎตอบอย่างใจเย็น “วันนี้พวกคุณน่าจะเยี่ยมลูกชายไม่ได้แล้ว กลับไปเถอะ...สิ่งที่คุณเห็นที่นี่ ห้ามหลุดออกไปข้างนอก คุณเข้าใจกฎข้อนี้ใช่มั้ย?”
“เข้าใจครับ/เข้าใจค่ะ”
“ไปเถอะ”
หลังจากได้ยินสองคำนี้ ในที่สุดเฉินถานก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาหันหลังกลับและจากไปในทันที
“เดี๋ยวก่อน”
หัวใจของพวกเขาเต้นแรง
“ทิ้งชื่อและที่อยู่ของพวกคุณไว้” ผู้คุมกฎหยิบปากกากับกระดาษออกมา “กรุณาเข้าใจข้อกำหนดของกฎการรักษาความลับ”
“เฉินถาน หลี่ซิ่วชุน บ้านเลขที่ 128 ถนนหานซวง เขต 3”
จดบันทึกเสร็จ ผู้คุมกฎก็อนุญาตให้ทั้งสองคนไป จากนั้นเขายกเส้นปิดกั้นสีเหลืองขึ้น เดินไปหาชายคนหนึ่งในชุดคลุมสีดำ แล้วยื่นเอกสารให้
“พี่เหมิง ถามชัดแล้ว พวกเขามาเยี่ยมลูกชาย”
หานเหมิงคาบบุหรี่มวนไว้ในปาก และสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
เขาเหลือบมองเอกสารอย่างสบายๆ พูดอย่างใจเย็น
"ส่งคนตามไป พวกเขามีปัญหา"
"...หือ?"
“ถนนหานซวงอยู่ห่างจากที่นี่อย่างน้อย 10 กิโลเมตร ถ้ามาถึงเวลานี้ ออกเดินทางอย่างช้าสุดประมาณสี่โมงเช้า...ตอนนั้นฝนยังไม่หยุดตกเลย คนปกติใครมันจะฝ่าพายุฝนออกมาข้างนอก เพื่อจะเซ่นไหว้คนตายงั้นเหรอ?”
"นี่คือหลุมศพหมู่ เป็นที่ฝังศพคนไม่มีญาติ หรือคนที่เสียชีวิตในต่างประเทศ ในฐานะพ่อแม่ ทำไมพวกเขาถึงฝังลูกไว้ที่นี่”
ผู้คุมกฎตกตะลึง จู่ๆ เขาก็ตบหัวตนเอง “ใช่แล้ว! ทำไมผมถึงคิดไม่ได้นะ?”
“...เสี่ยวฉิน นายผ่านการทดสอบมาได้ยังไง?”
ผู้คุมกฎที่รู้จักกันในชื่อเสี่ยวฉิน หัวเราะแห้งๆ และเปลี่ยนหัวข้อ "พี่เหมิง มีภัยพิบัติหลุดออกมาจากโลกสีเทาเมื่อคืนนี้หรือเปล่า?"
หานเหมิงไม่ตอบ แต่หยิบเครื่องมือขนาดเท่าฝ่ามือออกมาจากกระเป๋าด้านในเสื้อคลุมของเขา ตรงกลางอุปกรณ์มีเข็มชี้ ซึ่งมีลักษณะคล้ายเข็มทิศ และมีสีต่างกันแสดงถึงบริเวณต่างๆ ของมาตราส่วนอย่างชัดเจน
“นี่คือตัวชี้วัดระดับภัยพิบัติเหรอ?” เจียงฉินมองดูเครื่องมืออย่างสงสัย ยื่นมือออกไปแตะมัน และถูกตบหลังมืออย่างแรง
“สิ่งนี้มีค่ามาก เมื่อนายได้รับการเลื่อนตำแหน่งในสักวันหนึ่ง นายจะได้สัมผัสมันจนเป็นเรื่องธรรมดาแน่นอน”
เจียงฉินลูบหลังมือของเขาอย่างขมขื่น “สิ่งนี้ใช้ยังไง”
“นี่คือเครื่องตรวจจับ ระดับอันตรายของ 'ภัยพิบัติ' เมื่อเปิดเครื่องแล้วบริเวณที่ตัวชี้ ชี้ไปจะบ่งบอกระดับของ 'ภัยพิบัติ' ซึ่งเกิดขึ้นในบริเวณใกล้เคียง หากเป็นเพียงจุดตัดธรรมดาของโลกสีเทา และไม่มี 'ภัยพิบัติ' เข้ามาใกล้ โลกแห่งความเป็นจริง มันจะไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ
ยิ่งระดับภัยพิบัติสูงเท่าไหร่ ตัวชี้วัดก็จะยิ่งสั่นมากขึ้นเท่านั้น”
เจียงฉินพยักหน้าและพูดด้วยความกังวล
"พี่เหมิง... ไม่น่าจะมี 'ภัยพิบัติ' หลุดออกมาใช่มั้ย"
"ถ้าเกิดมีภัยพิบัติเกิดขึ้นจริง ๆ เมื่อวานนี้ เขตสองกับสามก็คงจะวุ่นวายแล้ว"
"นั่นก็ดีแล้ว"
"แต่เพื่อความปลอดภัย ยังไงเราก็ต้องตรวจสอบให้เรียบร้อย"
ขณะที่เขาพูด เขาก็เปิดเครื่องชี้วัดภัยพิบัติ เมื่อผู้คุมกฎคนอื่นๆ เห็นสิ่งนี้ ก็เข้ามามุงดูด้วยความสงสัย
.
หนึ่งวินาที สองวินาที สามวินาที...
.
ตัวชี้วัดภัยพิบัติยังไม่ตอบสนอง
.
เมื่อหานเหมิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก ตัวชี้บนเข็มทิศก็สั่นอย่างรุนแรง!
ตัวชี้กวาดไปทั่วบริเวณที่มีสีต่างกัน และเสียงเอี๊ยดดังมาจากภายในเครื่อง
ทันใดนั้น ม่านตาของหานเหมิงพลันหดลง เขาเผลอปล่อยตัวชี้วัดภัยพิบัติโดยไม่รู้ตัว!
.
บูม--!
.
ชิ้นส่วนจำนวนนับไม่ถ้วนแตกกระจายกลางอากาศ และชิ้นส่วนตัวชี้อันแหลมคมกระเด็นบาดแก้มของหานเหมิง ทิ้งคราบเลือดสีแดงไว้!
.
ตัวชี้วัดภัยพิบัติ...ระเบิด
.
.