ตอนที่ 21: แก้แค้น
ตอนที่ 21: แก้แค้น
เหตุการณ์สำคัญของสำนักขนนกร่วงโรยเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เริ่มจากเส้นปราณปฐพีแห่งต้าเซี่ยกำลังจะเปิด แล้วทางสำนักจะให้กำเนิดอัจฉริยะสองคนผู้สร้างขอบเขตสร้างรากฐานวิถีปฐพี
จากนั้นอวิ๋นหนิงซวงออกจากการเก็บตัวแล้วตบหน้าจ้าวเจ๋อหลิน
เรื่องแรกเฉลิมฉลองด้วยความยินดี ขณะเรื่องหลังสร้างความตกตะลึง
พวกเขาต่างเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสขอบเขตปราณทอง เหตุใดเซียนหนิงซวงถึงทำร้ายจ้าวเจ๋อหลิน? แม้เป็นการตบเพียงครั้งเดียวแต่ก็ทำให้อับอายขายขี้หน้า
หลังจากนั้นตามคำบอกเล่าของผู้รู้ของสำนัก สาเหตุที่เซียนหนิงซวงตบจ้าวเจ๋อหลินเป็นเพราะศิษย์รับใช้คนหนึ่ง… ส่วนเหตุผลน่ะหรือ ต่างฝ่ายต่างตีความต่างกันออกไป
แน่นอนว่าเรื่องนี้ยังไม่น่าตกตะลึงเท่าไหร่ สิ่งที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่าคือผู้อาวุโสซุนเฉียนซึ่งเป็นเจ้ายอดเขาขีดสุดเดินทางไปยอดเขาตะวันลาลับเพื่อขอคำอธิบายเกี่ยวกับจ้าวเจ๋อหลินผู้เป็นศิษย์ของเขา แต่กลับถูกผู้อาวุโสเฮ่อหงชิวผู้เป็นเจ้ายอดเขาตะวันลาลับตบหน้ากลับมา… สุดท้ายมีชะตากรรมเดียวกันกับศิษย์ของตัวเอง
ในวันนั้น มือขนาดใหญ่พลันปรากฏขึ้นจากยอดเขาตะวันลาลับ มันปกคลุมท้องนภาและแผ่ขยายไปทั่วสารทิศ ศิษย์ส่วนใหญ่ของสำนักขนนกร่วงโรยต่างตกตะลึง
นี่คือพลังของขอบเขตปราณทอง
หลังจากเหตุการณ์นี้ก็ไม่มีใครกล้าพูดถึงเรื่องของอวิ๋นหนิงซวงอีก ถึงอย่างไรทุกคนไม่ได้มีระดับการฝึกฝนอย่างผู้อาวุโสซุนเฉียน อีกทั้งไม่สามารถทนต่อการตบจากผู้ฝึกตนขอบเขตปราณทองขั้นท้ายได้
ทุกอย่างเป็นปกติจนกระทั่งถึงวันที่เส้นปราณปฐพีแห่งต้าเซี่ยเปิดขึ้นในอีกสามเดือนต่อมา
อวิ๋นหนิงซวงกับหลู่เฟิงผู้เป็นศิษย์อัจฉริยะแห่งยอดเขาขนนกโบยบินมุ่งหน้าสู่เขตปกครองหนานหลีแห่งต้าเซี่ยพร้อมกัน
วันนี้ยังเป็นวันที่หวังฝูทะลวงถึงขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสี่
“ในที่สุดก็ทะลวงได้แล้ว”
หวังฝูนั่งขัดสมาธิบนผาไม้ดำ เมื่อลืมตาขึ้นก็มลำแสงสองสายพุ่งออกมาเป็นระยะสองจั้ง “วิชาปฐพีปึกแผ่น” โคจรพลังวิญญาณในปริมาณที่เข้มข้นกว่าแต่ก่อนหลายเท่า ส่วนระยะของจิตเทวะเพิ่มขึ้นจากหนึ่งจั้งเป็นสองจั้ง หากขยายออกไปในทิศทางเดียวกันก็จะสามารถไปถึงได้หกจั้ง หากมีอาวุธวิเศษย่อมสามารถควบคุมมันได้ภายในระยะหกจั้ง
“ขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสี่ ในที่สุดก็กลายเป็นศิษย์ทางการได้แล้ว”
หลังจากหวังฝูบังเกิดความยินดีจึงค่อยเผยสีหน้าจริงจัง “แต่ก่อนจะกลายเป็นศิษย์ทางการ เราต้องเชี่ยวชาญวิชาปฐพีหลบลี้ก่อนแล้วค่อยไปหุบเขาร้อยหญ้า…”
เขายังจำไม่มีวันลืมถึงความอับอายที่จูเจิ้นกับจางเหิงทำกับตนเองเอาไว้
หากไม่ได้แก้แค้นย่อมไม่ใช่สุภาพบุรุษ แน่นอนว่าหวังฝูไม่ได้มองตัวเองเป็นสุภาพบุรุษ เขาเป็นเพียงผู้ฝึกตนตัวน้อยที่เพิ่งย่างก้าวเข้าสู่โลกแห่งการฝึกตนเป็นเซียน
ที่ขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสี่ พลังวิญญาณย่อมเข้มข้นกว่าเดิมหลายเท่า ทำให้สามารถฝึกฝนวิชาปฐพีหลบลี้ได้อย่างรวดเร็ว แล้วพลังวิญญาณสีน้ำตาลอมเหลืองจึงปกคลุมทั่วทั้งร่างกายจนลอยล่องไปทั่วทั้งปฐพีได้ แม้จะไปมาอย่างอิสระไม่ได้ แต่ก็นับว่าเร็วกว่าการเดินบนพื้นซึ่งมากพอจะย่นระยะเวลาได้สิบห้านาที ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือต้องโผล่ขึ้นพื้นผิวเพื่อทำการหายใจหลังจากผ่านไประยะหนึ่ง
หลังจากใช้เวลาสามถึงสี่วันในการฝึกฝนวิชาปฐพีหลบลี้จนชำนาญ หวังฝูจึงใช้ประโยชน์จากความมืดเพื่อหลบหนีไปพร้อมกับมีดตัดไม้
หุบเขาร้อยหญ้าอยู่ที่ปลายทางอีกด้านของยอดเขาเหมันต์น้อย หวังฝูใช้วิชาปฐพีหลบลี้เพื่อหลบเลี่ยงสถานที่ทั้งหลายที่ผู้คนอาจจะปรากฏตัวตามทาง แล้วในที่สุดจึงมาถึงหุบเขาร้อยหญ้าในช่วงเที่ยงคืน
เขาตรงไปยังที่พักของจูเจิ้นกับจางเหิง
“จูเจิ้นอยู่ขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสาม เพราะงั้นน่าจะมีความระแวดระวังมากกว่า จัดการมันก่อนแล้วกัน ต่อให้จางเหิงระวังตัว แต่ขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสองคงไม่สามารถสร้างปัญหาใหญ่หลวงได้หรอก”
หวังฝูมองบ้านไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่ไกลออกไปพลางหรี่ตา จากนั้นใช้วิชาปฐพีหลบลี้ก่อนทั่วร่างจะหลอมรวมเข้ากับพื้นดินอย่างรวดเร็ว
หลังจากดำดิ่งลงไปในใต้ดินของบ้านไม้จึงพบกับจูเจิ้นผู้กำลังนอนหลับอย่างสบายบนเตียงอย่างรวดเร็วผ่านจิตเทวะ
“หลังอยู่หรือ? ประหยัดเวลาไปได้เยอะ”
หวังฝูยิ้มหยันขณะถ่ายทอดพลังวิญญาณเข้าสู่มีดตัดไม้ แล้วมีดตัดไม้ดำจึงทอประกายเย็นเยือกออกมาราวกับพร้อมจะตัดต้นไม้ การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างราบรื่นก่อนคมมีดจะปาดผ่านคอของจูเจิ้นอย่างแม่นยำ โลหิตทะลักออกมาพร้อมกับศีรษะที่กลิ้งมาอยู่ข้างเตียง
จูเจิ้นไม่มีเวลาแม้แต่จะลืมตา
“แกโชคดีมาก หม้อใบน้อย ดูดกลืนพลังวิญญาณจากมันซะ”
หวังฝูระงับอาการคลื่นไส้ขณะหยิบหม้อขนาดเล็กออกมาเพื่อปลดปล่อยพลังดูดกลืน แล้วเลือดเนื้อทั้งหมดของจูเจิ้น รวมถึงพลังวิญญาณที่อยู่ในศีรษะจึงไหลหลั่งเข้าสู่หม้ออย่างรวดเร็ว เหลือไว้เพียงร่างเหี่ยวแห้งไร้หัวที่กองอยู่บนเตียงชุ่มโลหิต ส่วนศีรษะบนพื้นอยู่ในสภาพแห้งเหี่ยวเกินกว่าจะจำได้ว่าเป็นใคร
สำหรับการสังหารครั้งที่สอง นอกจากความรู้สึกคลื่นไส้เล็กน้อยแล้ว หวังฝูก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด เขามองร่างของจูเจิ้นเป็นครั้งสุดท้ายขณะพึมพำเสียงต่ำ “ในโลกแห่งการฝึกตนเป็นเซียน ผู้อ่อนแอย่อมเป็นเหยื่อผู้แข็งแกร่ง ในเมื่อเป็นศัตรูกันแล้ว ข้าจึงต้องลงมือกำจัดปัญหาก่อนเพื่อป้องกันไม่ให้มาก่อปัญหาอีกในอนาคต”
“รายต่อไป จางเหิง”
เขามาและไปอย่างเงียบงัน ไม่หลงเหลือร่องรอยในห้องของจูเจิ้นแม้แต่น้อย มันแสดงให้เห็นถึงความวิเศษของวิชาปฐพีหลบลี้
ผ่านไปสักพัก จิตเทวะของหวังฝูผู้อยู่ใต้ดินก็พบจางเหิงอย่างรวดเร็ว เทียบกับจูเจิ้นผู้หลับเร็วแล้ว ยามนี้จางเหิงยังคงทำการฝึกฝนอยู่ เขานั่งขัดสมาธิบนเบาะขณะพลังวิญญาณพลุ่งพล่านอยู่รอบข้างราวกับกำลังจะทะลวงได้ทุกเมื่อ
“ทะลวงหรือ? เหอะเหอะ…”
หวังฝูหัวเราะอย่างเย็นชาขณะครึ่งหนึ่งของร่างกายปรากฏขึ้นที่ด้านหลังจางเหิงอย่างเงียบงัน แล้วมีดตัดไม้แทงเข้าที่หัวใจของเขาอย่างรวดเร็วโดยไม่มีสิ่งใดขวางกั้น เมื่อคมมีดถูกชักกลับ โลหิตจึงทะลักออกมาในทันที
สีแดงที่น่าหลงใหลชโลมไปทั่วพื้น
พรวด!
หลังจากโลหิตทะลักออกจากปาก จางเหิงจึงมองโลหิตที่ไหลออกจกาหัวใจด้วยความไม่อยากเชื่อ แล้วดวงตาจึงเต็มไปด้วยความไม่ยินยอมเป็นอย่างยิ่ง
เขากำลังจะทะลวงถึงขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสามแล้ว ทำไม ทำไมถึงมีมีด…
“ใครน่ะ?”
พลังชีวิตจางหาย ร่างกายโงนเงน จากนั้นจึงกระแทกกับพื้นอย่างแรง
ทันทีที่ความตายใกล้คืบคลาน ใบหน้าอันคุ้นเคยที่ทำให้เขาเกลียดชังจึงปรากฏขึ้นจนแทบจะทำให้คลุ้มคลั่งและสั่นสะท้านไปทั่วร่าง ทว่าความมืดกลับเข้าครอบงำพร้อมกับกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างในพริบตา
“ฟู่! ทีนี้ก็ตายหมดแล้ว”
“วิชาปฐพีหลบลี้นี้เหมาะกับการลอบสังหารเหลือเกิน แต่ถ้าเจอกับผู้ฝึกตนที่มีจิตเทวะย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำสำเร็จ อืม… วิชาปกปิดลมหายใจน่าจะช่วยชดเชยข้อเสียนี้ได้”
“สามัญสำนึกพื้นฐานของการฝึกตนเป็นเซียน” กล่าวถึงวิชาจำนวนมากเอาไว้ ซึ่งวิชาปกปิดลมหายใจคือหนึ่งในนั้น หน้าที่ของมันคือปกปิดพลังวิญญาณของผู้ฝึกตน
หวังฝูถอนหายใจด้วยความโล่งอกขณะใช้หม้อขนาดเล็กเพื่อกลืนกินพลังวิญญาณของจางเหิงเหมือนก่อนหน้า จากนั้นจึงจากไปอย่างเงียบงัน
วันรุ่งขึ้น
ซุนเสียนกับเถียนจื้อตั้งใจจะมาหาเรือกับจูเจิ้น แต่เคาะประตูอยู่พักใหญ่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับ พวกเขามองหน้ากันแล้วลังเลสักพักก่อนจะเปิดประตูเข้าไป
“ศิษย์พี่จู…”
“เวรเอ๊ย…”
“กลิ่นเลือดฉุนชะมัด… นี่มันอะไรกัน…”
“หัว นี่มันหัว…”
ทั้งสองหวาดกลัวจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง จากนั้นจึงคลานออกจากบ้านของจูเจิ้นพร้อมกับจับรั้วเอาไว้แล้วอาเจียนออกมา ทั้งสองเกินกว่าจะรับไหวหลังจากเจอเหตุการณ์ใหญ่โตเช่นนี้เข้าไป หลังจากสติกลับคืนมาจึงเรียกศิษย์คนอื่นในหุบเขาร้อยหญ้ามาทันที
หากมีปัญหาก็ต้องสู้ไปด้วยกัน
ทั้งสองถึงขั้นคิดจะไปตามจางเหิง แต่เคาะประตูอยู่นานกลับไม่มีใครออกมา เมื่อมีประสบการณ์ก่อนหน้าเป็นบทเรียน ทั้งสองจึงมองหน้ากันก่อนจะถอยออกมาอย่างเงียบงัน
จนกระทั่งทั่วพื้นที่รายล้อมไปด้วยผู้คน พวกเขาจึงเข้าไปในบ้านทีละคนเพื่อดูสภาพอันน่าสังเวชของจูเจิ้น ซึ่งรอบบ้านของจูเจิ้นกลายเป็นสถานที่สกปรกซึ่งเต็มไปด้วยคราบอาเจียนทุกหนแห่ง
บ้านของจางเหิงถูกเปิดออกเช่นกัน แล้วทุกคนก็เกิดอาการคลื่นไส้… แต่กลับไม่มีอะไรให้อาเจียนอีกแล้ว
จูเจิ้นกับจางเหิงต่างมีประสบการณ์การฝึกฝนซึ่งต่างจากหวงเจิงที่ถูกเมินอย่างไม่ใยดี หลังจากยืนยันร่างได้แล้วก็ทำการรายงานทันที โดยซุนเสียน เถียนจื้อ รวมถึงศิษย์ขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสองหลายคนต่างรีบไปหาเฝิงต้าฟู่ผู้เป็นเจ้ายอดเขาเหมันต์น้อย
แต่ผลที่ได้กลับไม่ได้ดีนัก…
เฝิงต้าฟู่ไม่ได้อยู่ที่นี่
พวกเขาทำได้เพียงเดินเตร่อย่างกระวนกระวายใจอยู่หน้าลานกว้างบนยอดเขาเหมันต์น้อย
ส่วนเฝิงต้าฟู่ ตอนนี้เขาอยู่ไหนน่ะหรือ?
ตอนนี้เขากำลังมุ่งหน้าไปที่ผาไม้ดำด้วยความกระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง
…