ตอนที่แล้วตอนที่ 20: ผาไม้ดำ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 22: ไปถึงระดับสูงสุด

ตอนที่ 21: แก้แค้น


ตอนที่ 21: แก้แค้น

เหตุการณ์สำคัญของสำนักขนนกร่วงโรยเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เริ่มจากเส้นปราณปฐพีแห่งต้าเซี่ยกำลังจะเปิด แล้วทางสำนักจะให้กำเนิดอัจฉริยะสองคนผู้สร้างขอบเขตสร้างรากฐานวิถีปฐพี

จากนั้นอวิ๋นหนิงซวงออกจากการเก็บตัวแล้วตบหน้าจ้าวเจ๋อหลิน

เรื่องแรกเฉลิมฉลองด้วยความยินดี ขณะเรื่องหลังสร้างความตกตะลึง

พวกเขาต่างเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสขอบเขตปราณทอง เหตุใดเซียนหนิงซวงถึงทำร้ายจ้าวเจ๋อหลิน? แม้เป็นการตบเพียงครั้งเดียวแต่ก็ทำให้อับอายขายขี้หน้า

หลังจากนั้นตามคำบอกเล่าของผู้รู้ของสำนัก สาเหตุที่เซียนหนิงซวงตบจ้าวเจ๋อหลินเป็นเพราะศิษย์รับใช้คนหนึ่ง… ส่วนเหตุผลน่ะหรือ ต่างฝ่ายต่างตีความต่างกันออกไป

แน่นอนว่าเรื่องนี้ยังไม่น่าตกตะลึงเท่าไหร่ สิ่งที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่าคือผู้อาวุโสซุนเฉียนซึ่งเป็นเจ้ายอดเขาขีดสุดเดินทางไปยอดเขาตะวันลาลับเพื่อขอคำอธิบายเกี่ยวกับจ้าวเจ๋อหลินผู้เป็นศิษย์ของเขา แต่กลับถูกผู้อาวุโสเฮ่อหงชิวผู้เป็นเจ้ายอดเขาตะวันลาลับตบหน้ากลับมา… สุดท้ายมีชะตากรรมเดียวกันกับศิษย์ของตัวเอง

ในวันนั้น มือขนาดใหญ่พลันปรากฏขึ้นจากยอดเขาตะวันลาลับ มันปกคลุมท้องนภาและแผ่ขยายไปทั่วสารทิศ ศิษย์ส่วนใหญ่ของสำนักขนนกร่วงโรยต่างตกตะลึง

นี่คือพลังของขอบเขตปราณทอง

หลังจากเหตุการณ์นี้ก็ไม่มีใครกล้าพูดถึงเรื่องของอวิ๋นหนิงซวงอีก ถึงอย่างไรทุกคนไม่ได้มีระดับการฝึกฝนอย่างผู้อาวุโสซุนเฉียน อีกทั้งไม่สามารถทนต่อการตบจากผู้ฝึกตนขอบเขตปราณทองขั้นท้ายได้

ทุกอย่างเป็นปกติจนกระทั่งถึงวันที่เส้นปราณปฐพีแห่งต้าเซี่ยเปิดขึ้นในอีกสามเดือนต่อมา

อวิ๋นหนิงซวงกับหลู่เฟิงผู้เป็นศิษย์อัจฉริยะแห่งยอดเขาขนนกโบยบินมุ่งหน้าสู่เขตปกครองหนานหลีแห่งต้าเซี่ยพร้อมกัน

วันนี้ยังเป็นวันที่หวังฝูทะลวงถึงขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสี่

“ในที่สุดก็ทะลวงได้แล้ว”

หวังฝูนั่งขัดสมาธิบนผาไม้ดำ เมื่อลืมตาขึ้นก็มลำแสงสองสายพุ่งออกมาเป็นระยะสองจั้ง “วิชาปฐพีปึกแผ่น” โคจรพลังวิญญาณในปริมาณที่เข้มข้นกว่าแต่ก่อนหลายเท่า ส่วนระยะของจิตเทวะเพิ่มขึ้นจากหนึ่งจั้งเป็นสองจั้ง หากขยายออกไปในทิศทางเดียวกันก็จะสามารถไปถึงได้หกจั้ง หากมีอาวุธวิเศษย่อมสามารถควบคุมมันได้ภายในระยะหกจั้ง

“ขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสี่ ในที่สุดก็กลายเป็นศิษย์ทางการได้แล้ว”

หลังจากหวังฝูบังเกิดความยินดีจึงค่อยเผยสีหน้าจริงจัง “แต่ก่อนจะกลายเป็นศิษย์ทางการ เราต้องเชี่ยวชาญวิชาปฐพีหลบลี้ก่อนแล้วค่อยไปหุบเขาร้อยหญ้า…”

เขายังจำไม่มีวันลืมถึงความอับอายที่จูเจิ้นกับจางเหิงทำกับตนเองเอาไว้

หากไม่ได้แก้แค้นย่อมไม่ใช่สุภาพบุรุษ แน่นอนว่าหวังฝูไม่ได้มองตัวเองเป็นสุภาพบุรุษ เขาเป็นเพียงผู้ฝึกตนตัวน้อยที่เพิ่งย่างก้าวเข้าสู่โลกแห่งการฝึกตนเป็นเซียน

ที่ขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสี่ พลังวิญญาณย่อมเข้มข้นกว่าเดิมหลายเท่า ทำให้สามารถฝึกฝนวิชาปฐพีหลบลี้ได้อย่างรวดเร็ว แล้วพลังวิญญาณสีน้ำตาลอมเหลืองจึงปกคลุมทั่วทั้งร่างกายจนลอยล่องไปทั่วทั้งปฐพีได้ แม้จะไปมาอย่างอิสระไม่ได้ แต่ก็นับว่าเร็วกว่าการเดินบนพื้นซึ่งมากพอจะย่นระยะเวลาได้สิบห้านาที  ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือต้องโผล่ขึ้นพื้นผิวเพื่อทำการหายใจหลังจากผ่านไประยะหนึ่ง

หลังจากใช้เวลาสามถึงสี่วันในการฝึกฝนวิชาปฐพีหลบลี้จนชำนาญ หวังฝูจึงใช้ประโยชน์จากความมืดเพื่อหลบหนีไปพร้อมกับมีดตัดไม้

หุบเขาร้อยหญ้าอยู่ที่ปลายทางอีกด้านของยอดเขาเหมันต์น้อย หวังฝูใช้วิชาปฐพีหลบลี้เพื่อหลบเลี่ยงสถานที่ทั้งหลายที่ผู้คนอาจจะปรากฏตัวตามทาง แล้วในที่สุดจึงมาถึงหุบเขาร้อยหญ้าในช่วงเที่ยงคืน

เขาตรงไปยังที่พักของจูเจิ้นกับจางเหิง

“จูเจิ้นอยู่ขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสาม เพราะงั้นน่าจะมีความระแวดระวังมากกว่า จัดการมันก่อนแล้วกัน ต่อให้จางเหิงระวังตัว แต่ขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสองคงไม่สามารถสร้างปัญหาใหญ่หลวงได้หรอก”

หวังฝูมองบ้านไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่ไกลออกไปพลางหรี่ตา จากนั้นใช้วิชาปฐพีหลบลี้ก่อนทั่วร่างจะหลอมรวมเข้ากับพื้นดินอย่างรวดเร็ว

หลังจากดำดิ่งลงไปในใต้ดินของบ้านไม้จึงพบกับจูเจิ้นผู้กำลังนอนหลับอย่างสบายบนเตียงอย่างรวดเร็วผ่านจิตเทวะ

“หลังอยู่หรือ? ประหยัดเวลาไปได้เยอะ”

หวังฝูยิ้มหยันขณะถ่ายทอดพลังวิญญาณเข้าสู่มีดตัดไม้ แล้วมีดตัดไม้ดำจึงทอประกายเย็นเยือกออกมาราวกับพร้อมจะตัดต้นไม้ การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างราบรื่นก่อนคมมีดจะปาดผ่านคอของจูเจิ้นอย่างแม่นยำ โลหิตทะลักออกมาพร้อมกับศีรษะที่กลิ้งมาอยู่ข้างเตียง

จูเจิ้นไม่มีเวลาแม้แต่จะลืมตา

“แกโชคดีมาก หม้อใบน้อย ดูดกลืนพลังวิญญาณจากมันซะ”

หวังฝูระงับอาการคลื่นไส้ขณะหยิบหม้อขนาดเล็กออกมาเพื่อปลดปล่อยพลังดูดกลืน แล้วเลือดเนื้อทั้งหมดของจูเจิ้น รวมถึงพลังวิญญาณที่อยู่ในศีรษะจึงไหลหลั่งเข้าสู่หม้ออย่างรวดเร็ว เหลือไว้เพียงร่างเหี่ยวแห้งไร้หัวที่กองอยู่บนเตียงชุ่มโลหิต ส่วนศีรษะบนพื้นอยู่ในสภาพแห้งเหี่ยวเกินกว่าจะจำได้ว่าเป็นใคร

สำหรับการสังหารครั้งที่สอง นอกจากความรู้สึกคลื่นไส้เล็กน้อยแล้ว หวังฝูก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด เขามองร่างของจูเจิ้นเป็นครั้งสุดท้ายขณะพึมพำเสียงต่ำ “ในโลกแห่งการฝึกตนเป็นเซียน ผู้อ่อนแอย่อมเป็นเหยื่อผู้แข็งแกร่ง ในเมื่อเป็นศัตรูกันแล้ว ข้าจึงต้องลงมือกำจัดปัญหาก่อนเพื่อป้องกันไม่ให้มาก่อปัญหาอีกในอนาคต”

“รายต่อไป จางเหิง”

เขามาและไปอย่างเงียบงัน ไม่หลงเหลือร่องรอยในห้องของจูเจิ้นแม้แต่น้อย มันแสดงให้เห็นถึงความวิเศษของวิชาปฐพีหลบลี้

ผ่านไปสักพัก จิตเทวะของหวังฝูผู้อยู่ใต้ดินก็พบจางเหิงอย่างรวดเร็ว เทียบกับจูเจิ้นผู้หลับเร็วแล้ว ยามนี้จางเหิงยังคงทำการฝึกฝนอยู่ เขานั่งขัดสมาธิบนเบาะขณะพลังวิญญาณพลุ่งพล่านอยู่รอบข้างราวกับกำลังจะทะลวงได้ทุกเมื่อ

“ทะลวงหรือ? เหอะเหอะ…”

หวังฝูหัวเราะอย่างเย็นชาขณะครึ่งหนึ่งของร่างกายปรากฏขึ้นที่ด้านหลังจางเหิงอย่างเงียบงัน แล้วมีดตัดไม้แทงเข้าที่หัวใจของเขาอย่างรวดเร็วโดยไม่มีสิ่งใดขวางกั้น เมื่อคมมีดถูกชักกลับ โลหิตจึงทะลักออกมาในทันที

สีแดงที่น่าหลงใหลชโลมไปทั่วพื้น

พรวด!

หลังจากโลหิตทะลักออกจากปาก จางเหิงจึงมองโลหิตที่ไหลออกจกาหัวใจด้วยความไม่อยากเชื่อ แล้วดวงตาจึงเต็มไปด้วยความไม่ยินยอมเป็นอย่างยิ่ง

เขากำลังจะทะลวงถึงขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสามแล้ว ทำไม ทำไมถึงมีมีด…

“ใครน่ะ?”

พลังชีวิตจางหาย ร่างกายโงนเงน จากนั้นจึงกระแทกกับพื้นอย่างแรง

ทันทีที่ความตายใกล้คืบคลาน ใบหน้าอันคุ้นเคยที่ทำให้เขาเกลียดชังจึงปรากฏขึ้นจนแทบจะทำให้คลุ้มคลั่งและสั่นสะท้านไปทั่วร่าง ทว่าความมืดกลับเข้าครอบงำพร้อมกับกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างในพริบตา

“ฟู่! ทีนี้ก็ตายหมดแล้ว”

“วิชาปฐพีหลบลี้นี้เหมาะกับการลอบสังหารเหลือเกิน แต่ถ้าเจอกับผู้ฝึกตนที่มีจิตเทวะย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำสำเร็จ อืม… วิชาปกปิดลมหายใจน่าจะช่วยชดเชยข้อเสียนี้ได้”

“สามัญสำนึกพื้นฐานของการฝึกตนเป็นเซียน” กล่าวถึงวิชาจำนวนมากเอาไว้ ซึ่งวิชาปกปิดลมหายใจคือหนึ่งในนั้น หน้าที่ของมันคือปกปิดพลังวิญญาณของผู้ฝึกตน

หวังฝูถอนหายใจด้วยความโล่งอกขณะใช้หม้อขนาดเล็กเพื่อกลืนกินพลังวิญญาณของจางเหิงเหมือนก่อนหน้า จากนั้นจึงจากไปอย่างเงียบงัน

วันรุ่งขึ้น

ซุนเสียนกับเถียนจื้อตั้งใจจะมาหาเรือกับจูเจิ้น แต่เคาะประตูอยู่พักใหญ่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับ พวกเขามองหน้ากันแล้วลังเลสักพักก่อนจะเปิดประตูเข้าไป

“ศิษย์พี่จู…”

“เวรเอ๊ย…”

“กลิ่นเลือดฉุนชะมัด… นี่มันอะไรกัน…”

“หัว นี่มันหัว…”

ทั้งสองหวาดกลัวจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง จากนั้นจึงคลานออกจากบ้านของจูเจิ้นพร้อมกับจับรั้วเอาไว้แล้วอาเจียนออกมา ทั้งสองเกินกว่าจะรับไหวหลังจากเจอเหตุการณ์ใหญ่โตเช่นนี้เข้าไป หลังจากสติกลับคืนมาจึงเรียกศิษย์คนอื่นในหุบเขาร้อยหญ้ามาทันที

หากมีปัญหาก็ต้องสู้ไปด้วยกัน

ทั้งสองถึงขั้นคิดจะไปตามจางเหิง แต่เคาะประตูอยู่นานกลับไม่มีใครออกมา เมื่อมีประสบการณ์ก่อนหน้าเป็นบทเรียน ทั้งสองจึงมองหน้ากันก่อนจะถอยออกมาอย่างเงียบงัน

จนกระทั่งทั่วพื้นที่รายล้อมไปด้วยผู้คน พวกเขาจึงเข้าไปในบ้านทีละคนเพื่อดูสภาพอันน่าสังเวชของจูเจิ้น ซึ่งรอบบ้านของจูเจิ้นกลายเป็นสถานที่สกปรกซึ่งเต็มไปด้วยคราบอาเจียนทุกหนแห่ง

บ้านของจางเหิงถูกเปิดออกเช่นกัน แล้วทุกคนก็เกิดอาการคลื่นไส้… แต่กลับไม่มีอะไรให้อาเจียนอีกแล้ว

จูเจิ้นกับจางเหิงต่างมีประสบการณ์การฝึกฝนซึ่งต่างจากหวงเจิงที่ถูกเมินอย่างไม่ใยดี หลังจากยืนยันร่างได้แล้วก็ทำการรายงานทันที โดยซุนเสียน เถียนจื้อ รวมถึงศิษย์ขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสองหลายคนต่างรีบไปหาเฝิงต้าฟู่ผู้เป็นเจ้ายอดเขาเหมันต์น้อย

แต่ผลที่ได้กลับไม่ได้ดีนัก…

เฝิงต้าฟู่ไม่ได้อยู่ที่นี่

พวกเขาทำได้เพียงเดินเตร่อย่างกระวนกระวายใจอยู่หน้าลานกว้างบนยอดเขาเหมันต์น้อย

ส่วนเฝิงต้าฟู่ ตอนนี้เขาอยู่ไหนน่ะหรือ?

ตอนนี้เขากำลังมุ่งหน้าไปที่ผาไม้ดำด้วยความกระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด