ตอนที่ 3 ศิษย์เข้าสำนักคนแรก
ตอนที่ 3 ศิษย์เข้าสำนักคนแรก
“ลู่เหริน ในเมื่อเจ้าได้คารวะผู้อาวุโสอวิ๋นเป็นอาจารย์แล้ว เจ้าก็ถือเป็นศิษย์เข้าสำนักของสำนักเมฆขจี จงรออยู่ที่นี่ หลังจากการทดสอบเสร็จสิ้น ข้าจะพาเจ้าทั้งหลายไปยังเขตศิษย์ใหม่!”
อาวุโสจูเที่ยพูดด้วยใบหน้ามืดครึ้ม
การที่สำนักรับศิษย์ที่มีสายเลือดขยะเข้ามา หากเรื่องนี้แพร่ออกไปเกรงว่าจะถูกอีกสามสำนักใหญ่เยาะเย้ยเอาได้
“ขอรับ!”
ลู่เหรินโค้งคำนับเล็กน้อย เขาประคองดาบไฟวิญญาณไว้ในมือและยืนรออยู่ข้างแท่นสูงอย่างอดทน
เหล่าหนุ่มสาวในลานกว้างที่มองดูลู่เหรินต่างรู้สึกหลากหลายอารมณ์ในใจ พวกเขาที่มาสมัครเข้าสำนัก สำนักเมฆขจีล้วนเป็นบุตรหลานจากตระกูลใหญ่ และมีสายเลือดอย่างน้อยขั้นที่สี่
ไม่มีใครคาดคิดว่าสายเลือดขยะคนหนึ่งจะเป็นคนแรกที่ได้คารวะเข้าสำนักและกลายเป็นศิษย์เข้าสำนักคนแรกของสำนักเมฆขจี
“ต่อไปการทดสอบจะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ!”
เมื่อสิ้นเสียงของ อาวุโสจูเที่ยเหล่าหนุ่มสาวก็เริ่มเรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบ มายัง ศิลาทดสอบเพื่อทดสอบสายเลือดของตน
“เซียวหั่วหั่ว สายเลือดขั้นที่สี่!”
“หวังเฟิง สายเลือดขั้นที่สี่!”
“หยางหรง สายเลือดขั้นที่ห้า!”
...
ลู่เหรินมองดูการทดสอบที่ศิลาทดสอบ เขาเห็นว่าเกือบทั้งหมดมีแสงสว่างขึ้นที่ระดับสีแดงสี่ขั้น บางคนถึงขั้นสว่างห้าขั้นทำให้เขาอดรู้สึกอิจฉาไม่ได้
หากเขามีสายเลือดขั้นที่สี่หรือห้า เขาคงไม่ต้องมาที่โลกนี้และใช้ชีวิตด้วยการเป็นเด็กเสิร์ฟเพื่อหาเลี้ยงชีพ
หากครั้งนี้ไม่ได้อวิ๋นชิงเหยารับเป็นศิษย์และกลายเป็นศิษย์เข้าสำนักเมฆขจี เขาก็คงต้องหางานในโรงเตี๊ยมอีกครั้ง แม้จะมีหอคอยก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก
ร่างกายของเขาอ่อนแอเกินไป เปรียบเทียบกับคนทั่วไปก็แทบไม่ต่างจากคนพิการ
การทดสอบดำเนินไปเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม
มีผู้เข้าทดสอบเกือบสามร้อยคน ทุกคนมีสายเลือดขั้นที่สี่ขึ้นไปทั้งหมด ผ่านการทดสอบสำเร็จทุกคน
ในขณะนี้เหล่าหนุ่มสาวทั้งหมดก็ยืนเรียงรายอย่างเป็นระเบียบในลานกว้าง
อาวุโสจูเที่ยมองดูพวกเขาด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความพอใจ พร้อมกับยิ้มอย่างพึงพอใจ
ในการทดสอบเข้าสำนักครั้งนี้ ได้รับสมัครอัจฉริยะที่มีสายเลือดขั้นที่ห้าถึงสิบคน ซึ่งมากกว่าปีที่ผ่าน ๆ มา
“ตั้งแต่นี้ไปพวกเจ้าทุกคนคือศิษย์เข้าสำนักของสำนักเมฆขจี ข้าจะมอบป้ายไม้ระบุตัวตนให้พวกเจ้า ป้ายนี้เป็นสัญลักษณ์ของศิษย์สำนักเมฆขจี และยังสามารถใช้ผ่านเข้าออกสำนักเมฆขจีได้อย่างอิสระ”
ผู้อาวุโสจูเที่ยกล่าวจบ ศิษย์เข้าสำนักสองคนก็เข้ามายกกล่องทองแดงขนาดใหญ่ที่ถูกปิดผนึกมาเปิดออก
เมื่อกล่องทองแดงเปิดออก ภายในมีกองป้ายไม้สีทองเรียงรายอย่างเป็นระเบียบหลายร้อยแผ่น
จากนั้นผู้อาวุโสจูเที่ยก็เริ่มมอบป้ายไม้ระบุตัวตน และจารึกชื่อของศิษย์เหล่านี้ลงบนป้ายด้วยตนเอง
ทุกคนต่างตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เพราะบัดนี้พวกเขาได้กลายเป็นศิษย์ของสำนักเมฆขจี หนึ่งในสี่สำนักใหญ่ของแคว้นหาญเมฆาแล้ว การที่สามารถผ่านการทดสอบนี้เปรียบเสมือนปลาคาร์พที่กระโดดข้ามประตูมังกร การเปิดเผยตัวตนนี้จะนำมาซึ่งความเคารพจากผู้อื่น
เมื่อลู่เหรินรับป้ายไม้ระบุตัวตนมา ป้ายไม้นั้นมีลวดลายแกะสลักเป็นรูปมังกรและหงส์ และมีชื่อ “ลู่เหริน” สลักอยู่บนนั้น เขาเองก็รู้สึกตื่นเต้นไม่แพ้กัน
“ขอบคุณมากแล้วท่านผู้อาวุโส!”
ลู่เหรินประสานมือคารวะแล้วถอยออกไป
หลังจากทุกคนได้รับป้ายไม้ระบุตัวตนแล้ว ผู้อาวุโสจูเที่ยก็นำพวกเขาไปยังเขตศิษย์ใหม่
ที่นั่นมีภูเขาสูงตระหง่านเป็นจำนวนมาก ซึ่งแต่ละยอดภูเขานั้นสูงเสียดฟ้าและกว้างใหญ่ไพศาล
บนยอดภูเขามีป่าไม้โบราณนับไม่ถ้วน เสียงนกร้องและกลิ่นหอมของดอกไม้ทำให้ที่นี่ราวกับเป็นดินแดนแห่งสวรรค์
ระหว่างยอดภูเขาแต่ละยอดเชื่อมต่อกันด้วยสะพานโซ่เหล็ก
ศิษย์ทุกคนเดินตามผู้อาวุโสจูเที่ยไปตามสะพานโซ่เหล็ก มุ่งหน้าไปยังหนึ่งในยอดภูเขาเหล่านั้น
ไม่นานนัก พวกเขาก็มาถึงกลางภูเขา ซึ่งมีการสร้างบ้านพักอย่างประณีตไว้หลายหลัง
“ที่นี่คือหอพักของพวกเจ้า จะมีสองคนต่อหนึ่งบ้านพัก ภายในหอพักมีคู่มือศิษย์ซึ่งระบุสิ่งที่ศิษย์เข้าสำนักสามารถและไม่สามารถทำได้ไว้อย่างชัดเจน”
ผู้อาวุโสจูเที่ยชี้ไปยังบ้านพักหลายหลังที่อยู่เบื้องหน้า
“นอกจากนี้ พรุ่งนี้เช้าพวกเจ้าจะต้องไปยังวิหารยุทธ์เพื่อรับยาตระหนักรู้ และทำพิธีเปิดประตูพลัง!”
“ขอรับ!”
เหล่าศิษย์ต่างขานรับพร้อมกันด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความตื่นเต้น
เมื่อกลายเป็นศิษย์เข้าสำนักแล้ว พวกเขาจะสามารถไปรับยาตระหนักรู้จากวิหารยุทธ์ ได้เดือนละหนึ่งเม็ดเป็นเวลาหนึ่งปี
หากภายในหนึ่งปีไม่สามารถเปิดประตูพลังได้สำเร็จ พวกเขาจะถูกขับออกจากสำนัก
แต่สำหรับศิษย์ที่มีสายเลือดขั้นที่สี่อย่างพวกเขา เพียงแค่รับประทาน ยาตระหนักรู้ หนึ่งหรือสองเม็ดก็สามารถเปิดประตูพลังได้สำเร็จ และกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับเปิดประตูพลัง
หลังจากที่ผู้อาวุโสจูเที่ยออกจากไป เหล่าศิษย์ต่างก็รีบพุ่งเข้าไปยังบ้านพักเพื่อเลือกบ้านของตน
บ้านพักแต่ละหลังมีลักษณะคล้ายกับสี่เหลี่ยมล้อมรอบ มีประตูทางเข้าอยู่ด้านหนึ่ง มีห้องพักสองด้าน และมีสนามฝึกขนาดใหญ่ตรงกลางเพื่อสะดวกในการฝึกฝนวิชายุทธ์
ลู่เหรินเดินเข้ามายังบ้านพักหลังหนึ่งและเลือกห้องพักของตน
ห้องพักนั้นเรียบง่ายมากมีเพียงเตียงหนึ่งตัวและโต๊ะหนึ่งตัว บนโต๊ะมีหนังสือวางอยู่สองเล่ม เล่มหนึ่งคือคู่มือศิษย์ และอีกเล่มหนึ่งคือพื้นฐานวิถีวรยุทธ์
ลู่เหรินเปิดดูอย่างคร่าว ๆ เพื่อทำความเข้าใจกฎของสำนัก แต่กลับสนใจหนังสือ พื้นฐานวิถีวรยุทธ์มากกว่า เนื้อหาในนั้นแนะนำความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการฝึกฝน
เช่นการแบ่งระดับวรยุทธ์จากต่ำไปสูง ได้แก่ ขอบเขตเปิดประตูพลัง ขอบเขตลำธารวิญญาณ ขอบเขตสายธารเมฆา ขอบเขตสมุทรเทวะ และขอบเขตดาราฟ้าเป็นต้น
นักยุทธ์ขอบเขตเปิดประตูพลังหากสามารถเปิดวิญญาณเจ็ดช่อง จะสามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตลำธารวิญญาณได้
ขณะที่ลู่เหรินกำลังอ่านอย่างเพลิดเพลิน เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นจากภายนอก
เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาวัยประมาณสิบห้าถึงสิบหกปี รูปร่างผอมบางเดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ศิษย์พี่มีธุระอะไรหรือ?”
ลู่เหรินกล่าวถาม
“ศิษย์น้องลู่เหริน ข้าจะไม่อ้อมค้อมแล้ว ข้ามีนามว่าเซียวหั่วหั่ว ข้ามาหาเจ้าก็เพื่อมาคุยเรื่อการค้าเล็กน้อย”
เด็กหนุ่มผอมบางพูดตรง ๆ
“การค้าหรือ? ระหว่างเรามีการค้าอะไรที่ต้องคุยกัน?”
ลู่เหรินสับสน
“ศิษย์น้องลู่เหริน พรุ่งนี้เราจะต้องไปยังวิหารยุทธ์เพื่อรับยาตระหนักรู้ และทำพิธีเปิดประตูพลัง ข้าขอถามเจ้าตรง ๆ ว่ายาตระหนักรู้ของเจ้าสามารถขายให้ข้าได้หรือไม่?”
เซียวหั่วหั่วกล่าวถึงวัตถุประสงค์อย่างตรงไปตรงมา
“ขาย?”
ลู่เหรินอึ้งไปทันที
“ศิษย์น้องลู่เหริน เจ้าอย่าได้โกรธที่ข้าพูดตรงไปหน่อย เจ้ามีสายเลือดขยะต่อให้ทานยาตระหนักรู้ไปมากแค่ไหนก็ไม่มีทางเปิดประตูพลังได้สำเร็จ แทนที่จะปล่อยให้เสียเปล่า สู้ขายให้ข้าดีกว่า!”
เซียวหั่วหั่วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ลู่เหรินไม่ได้ตอบตกลงในทันที แต่กลับถามว่า “ด้วยพรสวรรค์ของพวกเจ้า ไม่นานก็สามารถเปิดประตูพลังได้สำเร็จไม่ใช่หรือ?”
“การฝึกฝนวรยุทธ์นั้นสำคัญที่การแข่งกับเวลา ข้าเองก็ไม่มั่นใจนักว่าจะสามารถเปิดประตูพลังได้สำเร็จในครั้งเดียว หากเจ้ายอมขายยาตระหนักรู้ให้ข้า พรุ่งนี้ข้าก็จะสามารถเปิดประตูพลังได้และกลายเป็นนักยุทธ์!”
ดวงตาของเซียวหั่วหั่วเปล่งประกายด้วยความมุ่งมั่น
การได้เป็นนักยุทธ์เร็วกว่าคนอื่นวันหนึ่งก็ถือว่าเป็นการนำหน้าไปอีกก้าวใหญ่
ลู่เหรินเริ่มรู้สึกสนใจจึงถามว่า “เสนอราคาเท่าไหร่?”
เซียวหั่วหั่วยื่นนิ้วสองนิ้วออกมาแล้วกล่าวว่า “ยาตระหนักรู้ในสำนักมีราคาอยู่ที่ประมาณหนึ่งหมื่นห้าพันเหรียญทองแดง ข้าจะให้เจ้าสองหมื่นเหรียญทองแดง!”
“สองหมื่น?”
ลู่เหรินตกตะลึง
เหรียญทองแดงเป็นสกุลเงินของแคว้นหาญเมฆา ซึ่งมีอำนาจซื้อใกล้เคียงกับสกุลเงินในชาติก่อนของเขา
คนธรรมดาทั่วไปหากหาเงินได้สามพันเหรียญทองแดงต่อเดือนก็ถือว่าเป็นรายได้ที่ดีแล้ว
แต่เซียวหั่วหั่วคนนี้กลับเสนอเงินให้เขาถึงสองหมื่นเหรียญทองแดง
ต้องเข้าใจว่าเขาใช้เวลาทั้งปีในการเป็นเด็กเสิร์ฟในโรงเตี๊ยมและโรงแรม ได้เพียงหนึ่งพันห้าร้อยเหรียญทองแดงต่อเดือนซึ่งเพียงพอแค่ให้ตัวเองได้กินข้าวเท่านั้น
เมื่อเห็นลู่เหรินแสดงความประหลาดใจ เซียวหั่วหั่วยิ้มอย่างภูมิใจ จากการแต่งกายของลู่เหรินดูออกชัดเจนว่าเขาไม่ใช่บุตรหลานของตระกูลใหญ่
สองหมื่นเหรียญทองแดงถือเป็นเงินจำนวนมากสำหรับลู่เหริน
ยิ่งไปกว่านั้นด้วยสายเลือดขยะของลู่เหรินเองก็ไม่จำเป็นต้องใช้ยาตระหนักรู้
อย่างไรก็ตาม ลู่เหรินกลับส่ายหน้าและปฏิเสธว่า “ไม่ขาย!”
“ไม่ขาย?”
เซียวหั่วหั่วเผยสีหน้าประหลาดใจแล้วถามว่า “ถ้าเจ้าไม่ขาย แล้วจะเก็บไว้ทำไม?”
ลู่เหรินยิ้มเล็กน้อยและตอบว่า “ศิษย์พี่เซียว ในเมื่อท่านต้องการยาตระหนักรู้ของข้า ศิษย์พี่คนอื่นก็คงต้องการเช่นกัน พรุ่งนี้ข้าจะนำออกมาประมูล ใครให้ราคาสูงสุดก็เอาไป”
ในตอนนี้สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดคือเงิน จึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะขายให้เซียวหั่วหั่ว ด้วยราคาสองหมื่นเหรียญทองแดงเพียงเท่านั้น
เซียวหั่วหั่วได้ยินดังนั้นแทบจะกระอักเลือดออกมา ถ้ารู้ว่าลู่เหรินเจ้าเล่ห์เช่นนี้ เขาคงไม่มาคุยเรื่องนี้กับลู่เหรินเป็นการส่วนตัวแน่!