ตอนที่แล้วตอนที่ 2 สายเลือดขยะ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 4 พื้นที่ลึกลับในหอคอยศักดิ์สิทธิ์

ตอนที่ 3 ศิษย์เข้าสำนักคนแรก


ตอนที่ 3 ศิษย์เข้าสำนักคนแรก

“ลู่เหริน ในเมื่อเจ้าได้คารวะผู้อาวุโสอวิ๋นเป็นอาจารย์แล้ว เจ้าก็ถือเป็นศิษย์เข้าสำนักของสำนักเมฆขจี จงรออยู่ที่นี่ หลังจากการทดสอบเสร็จสิ้น ข้าจะพาเจ้าทั้งหลายไปยังเขตศิษย์ใหม่!”

อาวุโสจูเที่ยพูดด้วยใบหน้ามืดครึ้ม

การที่สำนักรับศิษย์ที่มีสายเลือดขยะเข้ามา หากเรื่องนี้แพร่ออกไปเกรงว่าจะถูกอีกสามสำนักใหญ่เยาะเย้ยเอาได้

“ขอรับ!”

ลู่เหรินโค้งคำนับเล็กน้อย เขาประคองดาบไฟวิญญาณไว้ในมือและยืนรออยู่ข้างแท่นสูงอย่างอดทน

เหล่าหนุ่มสาวในลานกว้างที่มองดูลู่เหรินต่างรู้สึกหลากหลายอารมณ์ในใจ พวกเขาที่มาสมัครเข้าสำนัก สำนักเมฆขจีล้วนเป็นบุตรหลานจากตระกูลใหญ่ และมีสายเลือดอย่างน้อยขั้นที่สี่

ไม่มีใครคาดคิดว่าสายเลือดขยะคนหนึ่งจะเป็นคนแรกที่ได้คารวะเข้าสำนักและกลายเป็นศิษย์เข้าสำนักคนแรกของสำนักเมฆขจี

“ต่อไปการทดสอบจะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ!”

เมื่อสิ้นเสียงของ อาวุโสจูเที่ยเหล่าหนุ่มสาวก็เริ่มเรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบ มายัง ศิลาทดสอบเพื่อทดสอบสายเลือดของตน

“เซียวหั่วหั่ว สายเลือดขั้นที่สี่!”

“หวังเฟิง สายเลือดขั้นที่สี่!”

“หยางหรง สายเลือดขั้นที่ห้า!”

...

ลู่เหรินมองดูการทดสอบที่ศิลาทดสอบ เขาเห็นว่าเกือบทั้งหมดมีแสงสว่างขึ้นที่ระดับสีแดงสี่ขั้น บางคนถึงขั้นสว่างห้าขั้นทำให้เขาอดรู้สึกอิจฉาไม่ได้

หากเขามีสายเลือดขั้นที่สี่หรือห้า เขาคงไม่ต้องมาที่โลกนี้และใช้ชีวิตด้วยการเป็นเด็กเสิร์ฟเพื่อหาเลี้ยงชีพ

หากครั้งนี้ไม่ได้อวิ๋นชิงเหยารับเป็นศิษย์และกลายเป็นศิษย์เข้าสำนักเมฆขจี เขาก็คงต้องหางานในโรงเตี๊ยมอีกครั้ง แม้จะมีหอคอยก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก

ร่างกายของเขาอ่อนแอเกินไป เปรียบเทียบกับคนทั่วไปก็แทบไม่ต่างจากคนพิการ

การทดสอบดำเนินไปเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม

มีผู้เข้าทดสอบเกือบสามร้อยคน ทุกคนมีสายเลือดขั้นที่สี่ขึ้นไปทั้งหมด ผ่านการทดสอบสำเร็จทุกคน

ในขณะนี้เหล่าหนุ่มสาวทั้งหมดก็ยืนเรียงรายอย่างเป็นระเบียบในลานกว้าง

อาวุโสจูเที่ยมองดูพวกเขาด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความพอใจ พร้อมกับยิ้มอย่างพึงพอใจ

ในการทดสอบเข้าสำนักครั้งนี้ ได้รับสมัครอัจฉริยะที่มีสายเลือดขั้นที่ห้าถึงสิบคน ซึ่งมากกว่าปีที่ผ่าน ๆ มา

“ตั้งแต่นี้ไปพวกเจ้าทุกคนคือศิษย์เข้าสำนักของสำนักเมฆขจี ข้าจะมอบป้ายไม้ระบุตัวตนให้พวกเจ้า ป้ายนี้เป็นสัญลักษณ์ของศิษย์สำนักเมฆขจี และยังสามารถใช้ผ่านเข้าออกสำนักเมฆขจีได้อย่างอิสระ”

ผู้อาวุโสจูเที่ยกล่าวจบ ศิษย์เข้าสำนักสองคนก็เข้ามายกกล่องทองแดงขนาดใหญ่ที่ถูกปิดผนึกมาเปิดออก

เมื่อกล่องทองแดงเปิดออก ภายในมีกองป้ายไม้สีทองเรียงรายอย่างเป็นระเบียบหลายร้อยแผ่น

จากนั้นผู้อาวุโสจูเที่ยก็เริ่มมอบป้ายไม้ระบุตัวตน และจารึกชื่อของศิษย์เหล่านี้ลงบนป้ายด้วยตนเอง

ทุกคนต่างตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เพราะบัดนี้พวกเขาได้กลายเป็นศิษย์ของสำนักเมฆขจี หนึ่งในสี่สำนักใหญ่ของแคว้นหาญเมฆาแล้ว การที่สามารถผ่านการทดสอบนี้เปรียบเสมือนปลาคาร์พที่กระโดดข้ามประตูมังกร การเปิดเผยตัวตนนี้จะนำมาซึ่งความเคารพจากผู้อื่น

เมื่อลู่เหรินรับป้ายไม้ระบุตัวตนมา ป้ายไม้นั้นมีลวดลายแกะสลักเป็นรูปมังกรและหงส์ และมีชื่อ “ลู่เหริน” สลักอยู่บนนั้น เขาเองก็รู้สึกตื่นเต้นไม่แพ้กัน

“ขอบคุณมากแล้วท่านผู้อาวุโส!”

ลู่เหรินประสานมือคารวะแล้วถอยออกไป

หลังจากทุกคนได้รับป้ายไม้ระบุตัวตนแล้ว ผู้อาวุโสจูเที่ยก็นำพวกเขาไปยังเขตศิษย์ใหม่

ที่นั่นมีภูเขาสูงตระหง่านเป็นจำนวนมาก ซึ่งแต่ละยอดภูเขานั้นสูงเสียดฟ้าและกว้างใหญ่ไพศาล

บนยอดภูเขามีป่าไม้โบราณนับไม่ถ้วน เสียงนกร้องและกลิ่นหอมของดอกไม้ทำให้ที่นี่ราวกับเป็นดินแดนแห่งสวรรค์

ระหว่างยอดภูเขาแต่ละยอดเชื่อมต่อกันด้วยสะพานโซ่เหล็ก

ศิษย์ทุกคนเดินตามผู้อาวุโสจูเที่ยไปตามสะพานโซ่เหล็ก มุ่งหน้าไปยังหนึ่งในยอดภูเขาเหล่านั้น

ไม่นานนัก พวกเขาก็มาถึงกลางภูเขา ซึ่งมีการสร้างบ้านพักอย่างประณีตไว้หลายหลัง

“ที่นี่คือหอพักของพวกเจ้า จะมีสองคนต่อหนึ่งบ้านพัก ภายในหอพักมีคู่มือศิษย์ซึ่งระบุสิ่งที่ศิษย์เข้าสำนักสามารถและไม่สามารถทำได้ไว้อย่างชัดเจน”

ผู้อาวุโสจูเที่ยชี้ไปยังบ้านพักหลายหลังที่อยู่เบื้องหน้า

“นอกจากนี้ พรุ่งนี้เช้าพวกเจ้าจะต้องไปยังวิหารยุทธ์เพื่อรับยาตระหนักรู้ และทำพิธีเปิดประตูพลัง!”

“ขอรับ!”

เหล่าศิษย์ต่างขานรับพร้อมกันด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความตื่นเต้น

เมื่อกลายเป็นศิษย์เข้าสำนักแล้ว พวกเขาจะสามารถไปรับยาตระหนักรู้จากวิหารยุทธ์ ได้เดือนละหนึ่งเม็ดเป็นเวลาหนึ่งปี

หากภายในหนึ่งปีไม่สามารถเปิดประตูพลังได้สำเร็จ พวกเขาจะถูกขับออกจากสำนัก

แต่สำหรับศิษย์ที่มีสายเลือดขั้นที่สี่อย่างพวกเขา เพียงแค่รับประทาน ยาตระหนักรู้ หนึ่งหรือสองเม็ดก็สามารถเปิดประตูพลังได้สำเร็จ และกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับเปิดประตูพลัง

หลังจากที่ผู้อาวุโสจูเที่ยออกจากไป เหล่าศิษย์ต่างก็รีบพุ่งเข้าไปยังบ้านพักเพื่อเลือกบ้านของตน

บ้านพักแต่ละหลังมีลักษณะคล้ายกับสี่เหลี่ยมล้อมรอบ มีประตูทางเข้าอยู่ด้านหนึ่ง มีห้องพักสองด้าน และมีสนามฝึกขนาดใหญ่ตรงกลางเพื่อสะดวกในการฝึกฝนวิชายุทธ์

ลู่เหรินเดินเข้ามายังบ้านพักหลังหนึ่งและเลือกห้องพักของตน

ห้องพักนั้นเรียบง่ายมากมีเพียงเตียงหนึ่งตัวและโต๊ะหนึ่งตัว บนโต๊ะมีหนังสือวางอยู่สองเล่ม เล่มหนึ่งคือคู่มือศิษย์ และอีกเล่มหนึ่งคือพื้นฐานวิถีวรยุทธ์

ลู่เหรินเปิดดูอย่างคร่าว ๆ เพื่อทำความเข้าใจกฎของสำนัก แต่กลับสนใจหนังสือ พื้นฐานวิถีวรยุทธ์มากกว่า เนื้อหาในนั้นแนะนำความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการฝึกฝน

เช่นการแบ่งระดับวรยุทธ์จากต่ำไปสูง ได้แก่ ขอบเขตเปิดประตูพลัง ขอบเขตลำธารวิญญาณ ขอบเขตสายธารเมฆา ขอบเขตสมุทรเทวะ และขอบเขตดาราฟ้าเป็นต้น

นักยุทธ์ขอบเขตเปิดประตูพลังหากสามารถเปิดวิญญาณเจ็ดช่อง จะสามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตลำธารวิญญาณได้

ขณะที่ลู่เหรินกำลังอ่านอย่างเพลิดเพลิน เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นจากภายนอก

เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาวัยประมาณสิบห้าถึงสิบหกปี รูปร่างผอมบางเดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“ศิษย์พี่มีธุระอะไรหรือ?”

ลู่เหรินกล่าวถาม

“ศิษย์น้องลู่เหริน ข้าจะไม่อ้อมค้อมแล้ว ข้ามีนามว่าเซียวหั่วหั่ว ข้ามาหาเจ้าก็เพื่อมาคุยเรื่อการค้าเล็กน้อย”

เด็กหนุ่มผอมบางพูดตรง ๆ

“การค้าหรือ? ระหว่างเรามีการค้าอะไรที่ต้องคุยกัน?”

ลู่เหรินสับสน

“ศิษย์น้องลู่เหริน พรุ่งนี้เราจะต้องไปยังวิหารยุทธ์เพื่อรับยาตระหนักรู้ และทำพิธีเปิดประตูพลัง ข้าขอถามเจ้าตรง ๆ ว่ายาตระหนักรู้ของเจ้าสามารถขายให้ข้าได้หรือไม่?”

เซียวหั่วหั่วกล่าวถึงวัตถุประสงค์อย่างตรงไปตรงมา

“ขาย?”

ลู่เหรินอึ้งไปทันที

“ศิษย์น้องลู่เหริน เจ้าอย่าได้โกรธที่ข้าพูดตรงไปหน่อย เจ้ามีสายเลือดขยะต่อให้ทานยาตระหนักรู้ไปมากแค่ไหนก็ไม่มีทางเปิดประตูพลังได้สำเร็จ แทนที่จะปล่อยให้เสียเปล่า สู้ขายให้ข้าดีกว่า!”

เซียวหั่วหั่วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

ลู่เหรินไม่ได้ตอบตกลงในทันที แต่กลับถามว่า “ด้วยพรสวรรค์ของพวกเจ้า ไม่นานก็สามารถเปิดประตูพลังได้สำเร็จไม่ใช่หรือ?”

“การฝึกฝนวรยุทธ์นั้นสำคัญที่การแข่งกับเวลา ข้าเองก็ไม่มั่นใจนักว่าจะสามารถเปิดประตูพลังได้สำเร็จในครั้งเดียว หากเจ้ายอมขายยาตระหนักรู้ให้ข้า พรุ่งนี้ข้าก็จะสามารถเปิดประตูพลังได้และกลายเป็นนักยุทธ์!”

ดวงตาของเซียวหั่วหั่วเปล่งประกายด้วยความมุ่งมั่น

การได้เป็นนักยุทธ์เร็วกว่าคนอื่นวันหนึ่งก็ถือว่าเป็นการนำหน้าไปอีกก้าวใหญ่

ลู่เหรินเริ่มรู้สึกสนใจจึงถามว่า “เสนอราคาเท่าไหร่?”

เซียวหั่วหั่วยื่นนิ้วสองนิ้วออกมาแล้วกล่าวว่า “ยาตระหนักรู้ในสำนักมีราคาอยู่ที่ประมาณหนึ่งหมื่นห้าพันเหรียญทองแดง ข้าจะให้เจ้าสองหมื่นเหรียญทองแดง!”

“สองหมื่น?”

ลู่เหรินตกตะลึง

เหรียญทองแดงเป็นสกุลเงินของแคว้นหาญเมฆา ซึ่งมีอำนาจซื้อใกล้เคียงกับสกุลเงินในชาติก่อนของเขา

คนธรรมดาทั่วไปหากหาเงินได้สามพันเหรียญทองแดงต่อเดือนก็ถือว่าเป็นรายได้ที่ดีแล้ว

แต่เซียวหั่วหั่วคนนี้กลับเสนอเงินให้เขาถึงสองหมื่นเหรียญทองแดง

ต้องเข้าใจว่าเขาใช้เวลาทั้งปีในการเป็นเด็กเสิร์ฟในโรงเตี๊ยมและโรงแรม ได้เพียงหนึ่งพันห้าร้อยเหรียญทองแดงต่อเดือนซึ่งเพียงพอแค่ให้ตัวเองได้กินข้าวเท่านั้น

เมื่อเห็นลู่เหรินแสดงความประหลาดใจ เซียวหั่วหั่วยิ้มอย่างภูมิใจ จากการแต่งกายของลู่เหรินดูออกชัดเจนว่าเขาไม่ใช่บุตรหลานของตระกูลใหญ่

สองหมื่นเหรียญทองแดงถือเป็นเงินจำนวนมากสำหรับลู่เหริน

ยิ่งไปกว่านั้นด้วยสายเลือดขยะของลู่เหรินเองก็ไม่จำเป็นต้องใช้ยาตระหนักรู้

อย่างไรก็ตาม ลู่เหรินกลับส่ายหน้าและปฏิเสธว่า “ไม่ขาย!”

“ไม่ขาย?”

เซียวหั่วหั่วเผยสีหน้าประหลาดใจแล้วถามว่า “ถ้าเจ้าไม่ขาย แล้วจะเก็บไว้ทำไม?”

ลู่เหรินยิ้มเล็กน้อยและตอบว่า “ศิษย์พี่เซียว ในเมื่อท่านต้องการยาตระหนักรู้ของข้า ศิษย์พี่คนอื่นก็คงต้องการเช่นกัน พรุ่งนี้ข้าจะนำออกมาประมูล ใครให้ราคาสูงสุดก็เอาไป”

ในตอนนี้สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดคือเงิน จึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะขายให้เซียวหั่วหั่ว ด้วยราคาสองหมื่นเหรียญทองแดงเพียงเท่านั้น

เซียวหั่วหั่วได้ยินดังนั้นแทบจะกระอักเลือดออกมา ถ้ารู้ว่าลู่เหรินเจ้าเล่ห์เช่นนี้ เขาคงไม่มาคุยเรื่องนี้กับลู่เหรินเป็นการส่วนตัวแน่!

5 1 โหวต
Article Rating
1 Comment
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด