ตอนที่แล้วบทที่ 59 : เผชิญหน้าสำนักเสินโหยว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 61​ : ผู้​อาวุโส​รั่วหยุนตกตะลึง​!

บทที่ 60​ : สำนักเทียนเซียว, สำนักเสินโหยว,​ สำนักเสินหมิง


บทที่ 60​ : สำนักเทียนเซียว, สำนักเสินโหยว,​ สำนักเสินหมิง

"ไม่ผิด!"

"เป็นหนึ่งในสามสำนักใหญ่…สำนักเสินโหยวจริงๆ!"

องครักษ์สิบสามพยักหน้าแล้วกล่าว

"สำนักเทียนเซียว, สำนักเสินโหยว, และสำนักเสินหมิง เป็นสามสำนักใหญ่แห่งมณฑลกว่างหลิง…โดยรวมแล้วพลังของแต่ละสำนักก็พอๆกัน!"

"ดังนั้น, ตามธรรมดา…ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ยอมกันหรอก!"

"ยิ่งไปกว่านั้น แต่ละสำนักต่างเองก็อยากจะกลืนกินอีกสองสำนักที่เหลือ เพื่อขึ้นเป็นสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดในมณฑลกว่างหลิง"

"ในช่วงหลายปีมานี้, การต่อสู้ระหว่างสามสำนักจึงไม่เคยสิ้นสุด"

"ในช่วงที่สัมพันธ์ย่ำแย่ที่สุด, แค่เพียงพบหน้ากันก็ลงมือกันแล้ว!"

"ตอนนั้น, แม้แต่เหล่าศิษย์หลักก็ยังต้องมาตายไปหลายคน"

"จนกระทั่งเจ้าสำนักของทั้งสาม…มาเจรจากันด้วยตัวเอง!"

"สุดท้ายก็ตกลงให้ใช้การ​​ประลองสามสำนักเพื่อชี้ชะตากัน"

"การ​​ประลองสามสำนักจะจัดขึ้นทุกๆ สิบปี, ในการ​​ประลองครั้งที่แล้ว สำนักเทียนเซียวของเราได้อันดับหนึ่ง ส่วนสำนักเสินโหยวได้แค่อันดับสอง"

"ภายนอกสำนักเสินโหยวทำเป็นยอมรับ, แต่เบื้องหลังพวกมันก็คอยหาเรื่องเล่นงานพวกเราตลอด"

"ตอนนี้,​ เมื่ออสูรโลหิตทองคำตัวนี้มีพวกเราและคนของสำนักเสินโหยวต่างก็จับตามองมันอยู่พร้อมๆกัน”

“เรื่องนี้คงจะจบลงด้วยดีไม่ได้แน่”

องครักษ์สิบสามกล่าวด้วยสีหน้าหนักใจ

อสูรโลหิตทองคำแค่ตัวเดียว มันก็ไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้น…ถึงจะไม่ได้มาก็ไม่เห็นจะเป็นไร,​ มันยังสามารถ​หาใหม่ได้

แต่การที่ดันมีสำนักเสินโหยวเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย, เรื่องมันก็เลยต่างออกไป

ถ้าหากองครักษ์สิบสามยอมถอย สำนักเสินโหยวจะต้องประกาศเรื่องนี้เพื่อทำลายชื่อเสียง​ของสำนักเทียนเซียวอย่างเเน่นอน

เเน่นอนว่าองครักษ์สิบสามไม่มีทางยอมเสียหน้าเป็นแน่

ดังนั้น, องครักษ์สิบสามจึงต้องเผชิญหน้าเเละหยั่งเชิง​กับคนของสำนักเสินโหยวมาตลอดทั้งคืน

"ดูท่าแล้ว, อสูรโลหิตทองคำตัวนี้…พวกเราคงจะต้องเอามาให้ได้สินะ?"

หลินเสวียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขัน

หลินเสวียนรู้สึกว่าสำนักเทียนเซียวและสำนักเสินโหยว ก็เหมือนกับเด็กสองคนที่กำลังทะเลาะกัน

ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็ต้องหาเรื่องมา​​ประลองกันให้ได้!

"องครักษ์สิบสาม!"

"คนที่เจ้ารอ คงมาถึงแล้วสินะ?"

ในตอนนี้เอง ก็มีเสียงคำรามดังมาจากทิศทางที่คนของสำนักเสินโหยวอยู่

"มาถึงแล้ว!"

องครักษ์สิบสามแสยะยิ้มแล้วตอบกลับ

"คุยกันหน่อยไหม?"

"แบบนี้มันไม่ใช่ทางออกที่ดีหรอก"

เสียงคำรามดังขึ้นอีกครั้ง, โดยน้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความกวนประสาท

"ได้สิ!"

"พวกเจ้าอยากจะคุยแบบไหนล่ะ?"

องครักษ์สิบสามตอบรับ

เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนน่าจะรู้จักกันมาก่อน, และก็น่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขา​ขัดแย้งกัน

"ง่ายมาก!"

"พวกเราก็ต่างก็ต้องการอสูรโลหิตทองคำเหมือนกัน!"

"งั้นพวกเรามาตัดสินกัน…ใครชนะ,​ อสูรโลหิตทองคำก็ตกเป็นของคนนั้น!"

ผู้เชี่ยวชาญ​์ของสำนักเสินโหยวกล่าวอย่างโหดเหี้ยม

"ได้สิ!"

"สู้ก็สู้!"

“ยังไงฝั่งข้าก็มีคนมาเพิ่มแค่คนเดียว, ส่วนเจ้ามีตั้งสอง!”

“​เเละข้าจะสังหารศิษย์สำนักเสินโหยวของเจ้าทั้งสองคนเลย”

องครักษ์สิบสามพูดอย่างไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย

“อย่าตีหน้าซื่อนักเลย!”

“ข้ามีศิษย์ เจ้าก็มี, ถ้าเจ้าจะฆ่าศิษย์สำนักเสินโหยวของข้าได้ แล้วข้าจะฆ่าศิษย์สำนักเทียนเซียวของเจ้าไม่ได้รึไง?”

ผู้เชี่ยวชาญ​์ของสำนักเสินโหยวโต้กลับอย่างไม่ยอม

เเต่จริงๆแล้วทั้งสองคนต่างก็รู้แก่ใจดี

สองสำนักจะต่อสู้กัน, จะแก่งแย่งชิงกันยังไงก็ได้!

แต่ห้ามมีการล้มตายเด็ดขาด!

ถ้าหากมีคนตายขึ้นมา ผลที่ตามมาจะร้ายแรงมาก…เเละพวกเขาสองคนไม่อาจแบกรับไว้ได้

“ถ้าอย่างนั้นก็รีบๆหน่อย อย่าเอาเรื่องนี้ไร้สาระ​นี้มาพูดอยู่ร่ำไป!”

องครักษ์สิบสามกล่าวอย่างดูถูก

“ตกลง!”

“ศิษย์ที่เจ้าพามา ต้องเป็นนักปรุงโอสถ​หรือนักหลอมอาวุธ​แน่ๆ… ส่วนผู้ใช้ค่ายกลคงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะระดับพลังลมปราณยังไม่ถึงขั้นก่อกำเนิด​ ย่อมไม่สามารถร่ายค่ายกลได้”

“ศิษย์สองคนของข้า, คนหนึ่งเป็นนักปรุงโอสถ​, ส่วนอีกคนเป็นนักหลอมอาวุธ​!”

“ดังนั้น…ศิษย์ของเจ้าจงเลือกเอาคนใดคนหนึ่งในศิษย์ทั้งสองคนของข้ามาประลองปรุงโอสถ​หรือหลอมอาวุธ​ก็ได้”

“ตราบใดที่พวกเจ้าชนะ, อสูรโลหิตทองคำก็เป็นของพวกเจ้า!”

ผู้เชี่ยวชาญ​์ของสำนักเสินโหยวพูดด้วยท่าทางมั่นใจราวกับจับเสือติดปีก

“ประลองปรุงโอสถ​และหลอมอาวุธ​?”

องครักษ์สิบสามถึงกับอึ้งไปเล็กน้อย​

ส่วนหลินเสวียนก็มีสีหน้าแปลกประหลาดเช่นกัน

“ใช่แล้ว!”

“ว่าไง…กล้ารับคำท้าหรือเปล่า​?”

ผู้เชี่ยวชาญของสำนักเสินโหยวยกยิ้มอย่างพอใจ

“ไร้สาระ!”

“ใครๆในมณฑลกว่างหลิงต่างก็รู้ว่า สำนักเสินโหยวของพวกเจ้าเก่งกาจเรื่องปรุงโอสถ​และหลอมอาวุธ​!”

“การที่เอาข้อได้เปรียบของพวกเจ้ามา​​ประลอง​กับพวกเรา, เจ้าไม่ละอายใจบ้างเลยรึไง?”

เมื่อได้ยินดังนั้น องครักษ์สิบสามก็เหลือบมองหลินเสวียน เป็นเชิงบอกว่าให้เขาใจเย็นๆก่อน

จากนั้นก็รีบด่าทอกลับไปทันที

“ถ้าอย่างนั้น, เจ้าต้องการจะ​ประลองแบบไหน?”

น้ำเสียงของผู้เชี่ยวชาญของสำนักเสินโหยวเริ่มเย็นชาลงเล็กน้อย

“ง่ายมาก!”

“สำนักเทียนเซียวของพวกเราไม่ถนัดเรื่องหลอมอาวุธ​และปรุงโอสถ, ​ ถ้าเจ้าอยากจะ​ประลองแบบนี้ก็ได้”

“แต่พวกเจ้าต้องเพิ่มรางวัล​เดิมพันเข้ามาอีกหน่อย”

“ไม่งั้น…ข้าเห็นว่าเราลงมือต่อสู้​กันตรงๆเลยน่าจะดีกว่า” องครักษ์สิบสามยกยิ้มเหี้ยม

“เพิ่มรางวัลเดิมพัน​?” ผู้เชี่ยวชาญของสำนักเสินโหยวขมวดคิ้ว

“ใช่แล้ว, มันต้องมีรางวัลเดิมพันเพิ่มเติม​!” องครักษ์สิบสามยืนยัน

หลินเสวียนที่ได้ยินดังนั้นก็ยิ่งรู้สึกขบขัน….องครักษ์สิบสามคนนี้ช่างไม่ใช่คนซื่อสัตย์เอาเสียเลย

นี่เขากำลังวางกับดักกับคนของสำนักเสินโหยวชัดๆ!

“ตกลง!”

“ถ้าเจ้าอยากได้เดิมพัน, ข้าก็จะเพิ่มเดิมพันให้!”

“โอสถก่อกำเนิด​หนึ่งเม็ด!”

“ตราบใดที่ศิษย์ของสำนักเทียนเซียวของเจ้าสามารถเอาชนะศิษย์ของสำนักเสินโหยวของข้าได้, อสูรโลหิตทองคำก็เป็นของพวกเจ้า แถมข้ายังจะมอบยาก่อกำเนิด​ให้อีกหนึ่งเม็ด!”

“แต่ถ้าหากพวกเจ้าแพ้, ก็จะไม่ได้อะไรเลย!”

สำนักเสินโหยวขึ้นชื่อเรื่องปรุงโอสถ​และหลอมอาวุธ​

พอเอ่ยปากก็สามารถ​มอบยาก่อกำเนิด​ระดับสีเหลืองขั้นสูงออกมาได้ในทันที

“หลินเสวียน!”

“เจ้าหมอนี่ขึ้นชื่อเรื่องขี้เหนียว เเต่ครั้งนี้กลับใจปล้ำแบบนี้”

“ศิษย์สองคนที่มันพามา คงจะต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ”

“เเบบนี้…เจ้ามั่นใจรึเปล่า?”

องครักษ์สิบสามไม่ได้ตอบตกลงทันที

แต่เขากลับหันไปพูดกับหลินเสวียนด้วยเสียงเบาๆ

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ตราบใดที่พวกเขาปรุงโอสถ​ระดับลึกลับออกมาไม่ได้…พวกมันก็ไม่ใช่คู่มือของข้า” หลินเสวียนพูดอย่างมั่นใจ

มีทักษะควบแน่นโอสถขั้นสมบูรณ์และทักษะสำเร็จเป็นโอสถขั้นสมบูรณ์อยู่ในมือ!

มันก็สามารถรับรองได้ว่าการปรุงโอสถของเขา​จะสำเร็จร้อยเปอร์เซ็นต์, แถมสรรพคุณของยาก็ยังเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งส่วน!

ต่อให้หลินเสวียนอยากจะยอมแพ้มันก็ยังยากเลย

………….

“องครักษ์สิบสาม!”

“จะ​ประลองหรือไม่​ประลอง…รีบๆตัดสินใจสักที​!”

“ไม่กล้า​ประลองก็รีบไสหัวไป เห็นแก่ที่พวกเราเคยเจอหน้ากันมาบ้าง…ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไปดีๆละกัน”

เห็นองครักษ์สิบสามไม่ตอบสักที, ผู้

เชี่ยวชาญของสำนักเสินโหยวก็เร่งเร้าด้วยความไม่สบอารมณ์​

“หึๆ…พวกเจ้าใจดีจะมอบโอสถ​ให้พวกข้าฟรีๆเเบบนี้, พวกข้ามีหรือจะปฏิเสธ”

เมื่อองครักษ์สิบสามมั่นใจในคำตอบของหลินเสวียน

เขาจึงหัวเราะเสียงดังแล้วกล่าวตอบรับการ​ประลอง

“ดี!”

“แบบนี้ก็ไม่ต้องหลบๆซ่อนๆกันแล้ว”

“พวกเจ้าออกมาได้เเล้ว!”

ผู้เชี่ยวชาญขอบเขต​ก่อกำเนิด​เเก่น​เเท้​ของสำนักเสินโหยวกล่าว​, พร้อมกับเดินออกมาจากด้านหลังก้อนหินพร้อมกับศิษย์สองคน

ผู้เชี่ยวชาญขอบเขต​ก่อกำเนิด​เเก่น​เเท้​ของสำนักเสินโหยวน, เป็นชายวัยกลางคนที่มีผมสีแดงเพลิงเเละสวมชุดคลุมสีฟ้า

ทั่วร่างของเขาแผ่รังสีความเกรี้ยวกราดออกมาอยู่ตลอดเวลา​!

ส่วนคนที่อยู่ด้านหลังเขา เป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง…พวกเขา​ล้วนเป็นนักฝึกฝนระดับหลอมรวมลมปราณ

ทั้งคู่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับหลินเสวียน

นอกจากนี้, ทั้งคู่ยังมีใบหน้าคล้ายคลึงกันมาก…พวกเขา​น่าจะเป็นพี่น้องฝาแฝดกัน

ทั้งสองสวมชุดของศิษย์สายนอกของสำนักเสินโหยวน, หญิงสาวคาดเข็มขัด…โดยที่เข็มขัดมีป้ายประจำตัวสลักตัวอักษรเลขสอง, ส่วนเข็มขัดของชายหนุ่มสลักเลขหนึ่งเอาไว้

“ศิษย์สายนอกลำดับ​ที่​หนึ่งเเละสอง?”

สีหน้าขององครักษ์สิบสามพลันเปลี่ยนไป

องครักษ์สิบสามคาดเดาไว้แล้วว่าการที่รั่วหยุนยอมมอบโอสถ​​ก่อกำเนิด​​ออกมา, แสดงว่าพวกมันต้องมีไพ่ตายอะไรบางอย่าง

แต่ไม่คิดเลยว่าครั้งนี้เขาจะมาพร้อมกับศิษย์สายนอกลำดับหนึ่งและลำดับสองของสำนักเสินโหยว

“สุ่ยหนิง สุ่ยหาน ยังไม่รีบมาคารวะองครักษ์สิบสามแห่งสำนักเทียนเซียวอีก”

เมื่อรั่วหยุนเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปขององครักษ์สิบสาม

เขาก็เหลือบมองป้ายประจำตัวที่สลักหมายเลขสิบของหลินเสวียน, ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างพึงพอใจ

“สุ่ยหนิง/สุ่ยหาน…คารวะองครักษ์สิบสามขอรับ/ คารวะองครักษ์สิบสามเจ้าค่ะ”

ศิษย์สองคนของสำนักเสินโหยวคารวะองครักษ์สิบสามอย่างสุภาพ

“ไม่ต้องมากพิธีหรอก!”

“ได้ยินมาว่าปีที่แล้วมีอัจฉริยะสองคนปรากฏตัวขึ้นในสายนอกของสำนักเสินโหยวของพวกเจ้า”

“ทั้งสองเป็นพี่น้องฝาแฝดที่มีพรสวรรค์อันโดดเด่น!”

“คนหนึ่งได้รับการยอมรับจากเปลวเพลิงโอสถ, ส่วนอีกคนเชี่ยวชาญการหลอมอาวุธ…​ในการประลองจัดอันดับครั้งที่แล้ว พวกเขากลายเป็นศิษย์สายนอกลำดับหนึ่งและลำดับสอง”

“วันนี้ได้มาเห็นกับตาตัวเอง, พวกเจ้าก็ไม่ธรรมดาจริงๆ!”

องครักษ์สิบสามหรี่ตาลงพลางกล่าว

ที่เขาพูดแบบนี้ ก็เพื่อจะย้ำเตือนหลินเสวียนโดยเฉพาะ

เขากลัวว่าหลินเสวียนจะประมาท!

“รู้ดีนักนะ!”

“เเล้วเป็นไงบ้าง…กลัวแล้วล่ะสิ?”

“ถ้ากลัว, เจ้าจะยอมแพ้ตอนนี้ก็ยังทันนะ!”

“แต่ก็น่าเสียดายโอสถ​ก่อกำเนิด​ของข้า…ข้าอุตส่า​อยากจะมอบให้ แต่กลับไม่มีโอกาสเเล้ว” รั่วหยุนเอ่ยขึ้นอย่างกวนประสาท

“ใครบอกว่าพวกข้าจะยอมแพ้”

“มีคนอยากจะมอบโอสถ​​ก่อกำเนิด​ให้ฟรีๆเเบบนี้…มีหรือที่พวกข้าจะปฏิเสธ”

องครักษ์สิบสามโต้กลับ

“ดี…งั้นก็เลือกมา, จะประลองปรุงโอสถ​หรือหลอมอาวุธ​!”

เมื่อได้ยินดังนั้น, รั่วหยุนก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

ในใจของรั่วหยุนตอนนี้กำลังรู้สึกสะใจไว้ล่วงหน้า​!

ถึงกับคิดวิธีที่จะป่าวประกาศ​เพื่อ​ทำให้องครักษ์สิบสามขายหน้าและสำนักเทียนเซียวขายขี้หน้า​ไว้เรียบร้อยแล้ว

“ประลองปรุงโอสถ​!” หลินเสวียนเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา

“ประลองปรุงโอสถ​?”

“ฮ่าๆๆๆ ดูเหมือนว่าสวรรค์ยังไม่เข้าข้างพวกเจ้าสินะ!”

“องครักษ์สิบสาม ถ้าเจ้าพานักหลอมอาวุธ​มา…มันก็อาจจะมีโอกาสอยู่บ้าง”

“แต่ในเมื่อเจ้าดันพานักปรุงโอสถ​มา …เจ้าก็เตรียมตัวแพ้ได้เลย!”

รั่วหยุนหัวเราะลั่น…ราวกับว่าเขาเป็นฝ่ายชนะไปแล้ว

“พูดมากน่ารำคาญ!”

“ใครแพ้ใครชนะ, ต้องลองดูก่อนถึงจะรู้!” องครักษ์สิบสามกล่าวอย่างเย็นชา

“สุ่ยหนิง, เตรียมตัว​!”

“เจ้าค่ะ…อาจารย์!”

เมื่อได้ยินดังนั้นรั่วหยุนก็เรียกสุ่ยหนิงด้วยรอยยิ้ม

“เอาล่ะ…บอกมาหน่อยสิ, ว่าจะ​ประลองกันแบบไหน!”

หลินเสวียนถามด้วยรอยยิ้ม

“ง่ายมาก!”

“พวกเรากำหนดเวลาให้หนึ่งวัน, ให้พวกเจ้าทั้งสองคนปรุงโอสถ​ออกมาคนละหนึ่งเตา!”

“ใครปรุงโอสถ​ออกมาได้ระดับสูงกว่า คนนั้นก็ชนะไป!”

รั่วหยุนกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ

“เเล้วถ้าหากปรุงได้โอสถ​ระดับเดียวกันล่ะครับ?” หลินเสวียนถามด้วยรอยยิ้มจางๆ

“ระดับเดียวกัน?”

เมื่อได้ยินดังนั้น บนใบหน้าของรั่วหยุนก็ปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยัน

“ถ้าหากเจ้าปรุงโอสถ​ก่อกำเนิด​ออกมาได้, พวกข้าจะยอมแพ้ให้เลย!”

…………………

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด