บทที่ 60 : สำนักเทียนเซียว, สำนักเสินโหยว, สำนักเสินหมิง
บทที่ 60 : สำนักเทียนเซียว, สำนักเสินโหยว, สำนักเสินหมิง
"ไม่ผิด!"
"เป็นหนึ่งในสามสำนักใหญ่…สำนักเสินโหยวจริงๆ!"
องครักษ์สิบสามพยักหน้าแล้วกล่าว
"สำนักเทียนเซียว, สำนักเสินโหยว, และสำนักเสินหมิง เป็นสามสำนักใหญ่แห่งมณฑลกว่างหลิง…โดยรวมแล้วพลังของแต่ละสำนักก็พอๆกัน!"
"ดังนั้น, ตามธรรมดา…ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ยอมกันหรอก!"
"ยิ่งไปกว่านั้น แต่ละสำนักต่างเองก็อยากจะกลืนกินอีกสองสำนักที่เหลือ เพื่อขึ้นเป็นสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดในมณฑลกว่างหลิง"
"ในช่วงหลายปีมานี้, การต่อสู้ระหว่างสามสำนักจึงไม่เคยสิ้นสุด"
"ในช่วงที่สัมพันธ์ย่ำแย่ที่สุด, แค่เพียงพบหน้ากันก็ลงมือกันแล้ว!"
"ตอนนั้น, แม้แต่เหล่าศิษย์หลักก็ยังต้องมาตายไปหลายคน"
"จนกระทั่งเจ้าสำนักของทั้งสาม…มาเจรจากันด้วยตัวเอง!"
"สุดท้ายก็ตกลงให้ใช้การประลองสามสำนักเพื่อชี้ชะตากัน"
"การประลองสามสำนักจะจัดขึ้นทุกๆ สิบปี, ในการประลองครั้งที่แล้ว สำนักเทียนเซียวของเราได้อันดับหนึ่ง ส่วนสำนักเสินโหยวได้แค่อันดับสอง"
"ภายนอกสำนักเสินโหยวทำเป็นยอมรับ, แต่เบื้องหลังพวกมันก็คอยหาเรื่องเล่นงานพวกเราตลอด"
"ตอนนี้, เมื่ออสูรโลหิตทองคำตัวนี้มีพวกเราและคนของสำนักเสินโหยวต่างก็จับตามองมันอยู่พร้อมๆกัน”
“เรื่องนี้คงจะจบลงด้วยดีไม่ได้แน่”
องครักษ์สิบสามกล่าวด้วยสีหน้าหนักใจ
อสูรโลหิตทองคำแค่ตัวเดียว มันก็ไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้น…ถึงจะไม่ได้มาก็ไม่เห็นจะเป็นไร, มันยังสามารถหาใหม่ได้
แต่การที่ดันมีสำนักเสินโหยวเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย, เรื่องมันก็เลยต่างออกไป
ถ้าหากองครักษ์สิบสามยอมถอย สำนักเสินโหยวจะต้องประกาศเรื่องนี้เพื่อทำลายชื่อเสียงของสำนักเทียนเซียวอย่างเเน่นอน
เเน่นอนว่าองครักษ์สิบสามไม่มีทางยอมเสียหน้าเป็นแน่
ดังนั้น, องครักษ์สิบสามจึงต้องเผชิญหน้าเเละหยั่งเชิงกับคนของสำนักเสินโหยวมาตลอดทั้งคืน
"ดูท่าแล้ว, อสูรโลหิตทองคำตัวนี้…พวกเราคงจะต้องเอามาให้ได้สินะ?"
หลินเสวียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขัน
หลินเสวียนรู้สึกว่าสำนักเทียนเซียวและสำนักเสินโหยว ก็เหมือนกับเด็กสองคนที่กำลังทะเลาะกัน
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็ต้องหาเรื่องมาประลองกันให้ได้!
"องครักษ์สิบสาม!"
"คนที่เจ้ารอ คงมาถึงแล้วสินะ?"
ในตอนนี้เอง ก็มีเสียงคำรามดังมาจากทิศทางที่คนของสำนักเสินโหยวอยู่
"มาถึงแล้ว!"
องครักษ์สิบสามแสยะยิ้มแล้วตอบกลับ
"คุยกันหน่อยไหม?"
"แบบนี้มันไม่ใช่ทางออกที่ดีหรอก"
เสียงคำรามดังขึ้นอีกครั้ง, โดยน้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความกวนประสาท
"ได้สิ!"
"พวกเจ้าอยากจะคุยแบบไหนล่ะ?"
องครักษ์สิบสามตอบรับ
เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนน่าจะรู้จักกันมาก่อน, และก็น่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาขัดแย้งกัน
"ง่ายมาก!"
"พวกเราก็ต่างก็ต้องการอสูรโลหิตทองคำเหมือนกัน!"
"งั้นพวกเรามาตัดสินกัน…ใครชนะ, อสูรโลหิตทองคำก็ตกเป็นของคนนั้น!"
ผู้เชี่ยวชาญ์ของสำนักเสินโหยวกล่าวอย่างโหดเหี้ยม
"ได้สิ!"
"สู้ก็สู้!"
“ยังไงฝั่งข้าก็มีคนมาเพิ่มแค่คนเดียว, ส่วนเจ้ามีตั้งสอง!”
“เเละข้าจะสังหารศิษย์สำนักเสินโหยวของเจ้าทั้งสองคนเลย”
องครักษ์สิบสามพูดอย่างไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย
“อย่าตีหน้าซื่อนักเลย!”
“ข้ามีศิษย์ เจ้าก็มี, ถ้าเจ้าจะฆ่าศิษย์สำนักเสินโหยวของข้าได้ แล้วข้าจะฆ่าศิษย์สำนักเทียนเซียวของเจ้าไม่ได้รึไง?”
ผู้เชี่ยวชาญ์ของสำนักเสินโหยวโต้กลับอย่างไม่ยอม
เเต่จริงๆแล้วทั้งสองคนต่างก็รู้แก่ใจดี
สองสำนักจะต่อสู้กัน, จะแก่งแย่งชิงกันยังไงก็ได้!
แต่ห้ามมีการล้มตายเด็ดขาด!
ถ้าหากมีคนตายขึ้นมา ผลที่ตามมาจะร้ายแรงมาก…เเละพวกเขาสองคนไม่อาจแบกรับไว้ได้
“ถ้าอย่างนั้นก็รีบๆหน่อย อย่าเอาเรื่องนี้ไร้สาระนี้มาพูดอยู่ร่ำไป!”
องครักษ์สิบสามกล่าวอย่างดูถูก
“ตกลง!”
“ศิษย์ที่เจ้าพามา ต้องเป็นนักปรุงโอสถหรือนักหลอมอาวุธแน่ๆ… ส่วนผู้ใช้ค่ายกลคงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะระดับพลังลมปราณยังไม่ถึงขั้นก่อกำเนิด ย่อมไม่สามารถร่ายค่ายกลได้”
“ศิษย์สองคนของข้า, คนหนึ่งเป็นนักปรุงโอสถ, ส่วนอีกคนเป็นนักหลอมอาวุธ!”
“ดังนั้น…ศิษย์ของเจ้าจงเลือกเอาคนใดคนหนึ่งในศิษย์ทั้งสองคนของข้ามาประลองปรุงโอสถหรือหลอมอาวุธก็ได้”
“ตราบใดที่พวกเจ้าชนะ, อสูรโลหิตทองคำก็เป็นของพวกเจ้า!”
ผู้เชี่ยวชาญ์ของสำนักเสินโหยวพูดด้วยท่าทางมั่นใจราวกับจับเสือติดปีก
“ประลองปรุงโอสถและหลอมอาวุธ?”
องครักษ์สิบสามถึงกับอึ้งไปเล็กน้อย
ส่วนหลินเสวียนก็มีสีหน้าแปลกประหลาดเช่นกัน
“ใช่แล้ว!”
“ว่าไง…กล้ารับคำท้าหรือเปล่า?”
ผู้เชี่ยวชาญของสำนักเสินโหยวยกยิ้มอย่างพอใจ
“ไร้สาระ!”
“ใครๆในมณฑลกว่างหลิงต่างก็รู้ว่า สำนักเสินโหยวของพวกเจ้าเก่งกาจเรื่องปรุงโอสถและหลอมอาวุธ!”
“การที่เอาข้อได้เปรียบของพวกเจ้ามาประลองกับพวกเรา, เจ้าไม่ละอายใจบ้างเลยรึไง?”
เมื่อได้ยินดังนั้น องครักษ์สิบสามก็เหลือบมองหลินเสวียน เป็นเชิงบอกว่าให้เขาใจเย็นๆก่อน
จากนั้นก็รีบด่าทอกลับไปทันที
“ถ้าอย่างนั้น, เจ้าต้องการจะประลองแบบไหน?”
น้ำเสียงของผู้เชี่ยวชาญของสำนักเสินโหยวเริ่มเย็นชาลงเล็กน้อย
“ง่ายมาก!”
“สำนักเทียนเซียวของพวกเราไม่ถนัดเรื่องหลอมอาวุธและปรุงโอสถ, ถ้าเจ้าอยากจะประลองแบบนี้ก็ได้”
“แต่พวกเจ้าต้องเพิ่มรางวัลเดิมพันเข้ามาอีกหน่อย”
“ไม่งั้น…ข้าเห็นว่าเราลงมือต่อสู้กันตรงๆเลยน่าจะดีกว่า” องครักษ์สิบสามยกยิ้มเหี้ยม
“เพิ่มรางวัลเดิมพัน?” ผู้เชี่ยวชาญของสำนักเสินโหยวขมวดคิ้ว
“ใช่แล้ว, มันต้องมีรางวัลเดิมพันเพิ่มเติม!” องครักษ์สิบสามยืนยัน
หลินเสวียนที่ได้ยินดังนั้นก็ยิ่งรู้สึกขบขัน….องครักษ์สิบสามคนนี้ช่างไม่ใช่คนซื่อสัตย์เอาเสียเลย
นี่เขากำลังวางกับดักกับคนของสำนักเสินโหยวชัดๆ!
“ตกลง!”
“ถ้าเจ้าอยากได้เดิมพัน, ข้าก็จะเพิ่มเดิมพันให้!”
“โอสถก่อกำเนิดหนึ่งเม็ด!”
“ตราบใดที่ศิษย์ของสำนักเทียนเซียวของเจ้าสามารถเอาชนะศิษย์ของสำนักเสินโหยวของข้าได้, อสูรโลหิตทองคำก็เป็นของพวกเจ้า แถมข้ายังจะมอบยาก่อกำเนิดให้อีกหนึ่งเม็ด!”
“แต่ถ้าหากพวกเจ้าแพ้, ก็จะไม่ได้อะไรเลย!”
สำนักเสินโหยวขึ้นชื่อเรื่องปรุงโอสถและหลอมอาวุธ
พอเอ่ยปากก็สามารถมอบยาก่อกำเนิดระดับสีเหลืองขั้นสูงออกมาได้ในทันที
“หลินเสวียน!”
“เจ้าหมอนี่ขึ้นชื่อเรื่องขี้เหนียว เเต่ครั้งนี้กลับใจปล้ำแบบนี้”
“ศิษย์สองคนที่มันพามา คงจะต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ”
“เเบบนี้…เจ้ามั่นใจรึเปล่า?”
องครักษ์สิบสามไม่ได้ตอบตกลงทันที
แต่เขากลับหันไปพูดกับหลินเสวียนด้วยเสียงเบาๆ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ตราบใดที่พวกเขาปรุงโอสถระดับลึกลับออกมาไม่ได้…พวกมันก็ไม่ใช่คู่มือของข้า” หลินเสวียนพูดอย่างมั่นใจ
มีทักษะควบแน่นโอสถขั้นสมบูรณ์และทักษะสำเร็จเป็นโอสถขั้นสมบูรณ์อยู่ในมือ!
มันก็สามารถรับรองได้ว่าการปรุงโอสถของเขาจะสำเร็จร้อยเปอร์เซ็นต์, แถมสรรพคุณของยาก็ยังเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งส่วน!
ต่อให้หลินเสวียนอยากจะยอมแพ้มันก็ยังยากเลย
………….
“องครักษ์สิบสาม!”
“จะประลองหรือไม่ประลอง…รีบๆตัดสินใจสักที!”
“ไม่กล้าประลองก็รีบไสหัวไป เห็นแก่ที่พวกเราเคยเจอหน้ากันมาบ้าง…ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไปดีๆละกัน”
เห็นองครักษ์สิบสามไม่ตอบสักที, ผู้
เชี่ยวชาญของสำนักเสินโหยวก็เร่งเร้าด้วยความไม่สบอารมณ์
“หึๆ…พวกเจ้าใจดีจะมอบโอสถให้พวกข้าฟรีๆเเบบนี้, พวกข้ามีหรือจะปฏิเสธ”
เมื่อองครักษ์สิบสามมั่นใจในคำตอบของหลินเสวียน
เขาจึงหัวเราะเสียงดังแล้วกล่าวตอบรับการประลอง
“ดี!”
“แบบนี้ก็ไม่ต้องหลบๆซ่อนๆกันแล้ว”
“พวกเจ้าออกมาได้เเล้ว!”
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตก่อกำเนิดเเก่นเเท้ของสำนักเสินโหยวกล่าว, พร้อมกับเดินออกมาจากด้านหลังก้อนหินพร้อมกับศิษย์สองคน
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตก่อกำเนิดเเก่นเเท้ของสำนักเสินโหยวน, เป็นชายวัยกลางคนที่มีผมสีแดงเพลิงเเละสวมชุดคลุมสีฟ้า
ทั่วร่างของเขาแผ่รังสีความเกรี้ยวกราดออกมาอยู่ตลอดเวลา!
ส่วนคนที่อยู่ด้านหลังเขา เป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง…พวกเขาล้วนเป็นนักฝึกฝนระดับหลอมรวมลมปราณ
ทั้งคู่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับหลินเสวียน
นอกจากนี้, ทั้งคู่ยังมีใบหน้าคล้ายคลึงกันมาก…พวกเขาน่าจะเป็นพี่น้องฝาแฝดกัน
ทั้งสองสวมชุดของศิษย์สายนอกของสำนักเสินโหยวน, หญิงสาวคาดเข็มขัด…โดยที่เข็มขัดมีป้ายประจำตัวสลักตัวอักษรเลขสอง, ส่วนเข็มขัดของชายหนุ่มสลักเลขหนึ่งเอาไว้
“ศิษย์สายนอกลำดับที่หนึ่งเเละสอง?”
สีหน้าขององครักษ์สิบสามพลันเปลี่ยนไป
องครักษ์สิบสามคาดเดาไว้แล้วว่าการที่รั่วหยุนยอมมอบโอสถก่อกำเนิดออกมา, แสดงว่าพวกมันต้องมีไพ่ตายอะไรบางอย่าง
แต่ไม่คิดเลยว่าครั้งนี้เขาจะมาพร้อมกับศิษย์สายนอกลำดับหนึ่งและลำดับสองของสำนักเสินโหยว
“สุ่ยหนิง สุ่ยหาน ยังไม่รีบมาคารวะองครักษ์สิบสามแห่งสำนักเทียนเซียวอีก”
เมื่อรั่วหยุนเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปขององครักษ์สิบสาม
เขาก็เหลือบมองป้ายประจำตัวที่สลักหมายเลขสิบของหลินเสวียน, ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างพึงพอใจ
“สุ่ยหนิง/สุ่ยหาน…คารวะองครักษ์สิบสามขอรับ/ คารวะองครักษ์สิบสามเจ้าค่ะ”
ศิษย์สองคนของสำนักเสินโหยวคารวะองครักษ์สิบสามอย่างสุภาพ
“ไม่ต้องมากพิธีหรอก!”
“ได้ยินมาว่าปีที่แล้วมีอัจฉริยะสองคนปรากฏตัวขึ้นในสายนอกของสำนักเสินโหยวของพวกเจ้า”
“ทั้งสองเป็นพี่น้องฝาแฝดที่มีพรสวรรค์อันโดดเด่น!”
“คนหนึ่งได้รับการยอมรับจากเปลวเพลิงโอสถ, ส่วนอีกคนเชี่ยวชาญการหลอมอาวุธ…ในการประลองจัดอันดับครั้งที่แล้ว พวกเขากลายเป็นศิษย์สายนอกลำดับหนึ่งและลำดับสอง”
“วันนี้ได้มาเห็นกับตาตัวเอง, พวกเจ้าก็ไม่ธรรมดาจริงๆ!”
องครักษ์สิบสามหรี่ตาลงพลางกล่าว
ที่เขาพูดแบบนี้ ก็เพื่อจะย้ำเตือนหลินเสวียนโดยเฉพาะ
เขากลัวว่าหลินเสวียนจะประมาท!
“รู้ดีนักนะ!”
“เเล้วเป็นไงบ้าง…กลัวแล้วล่ะสิ?”
“ถ้ากลัว, เจ้าจะยอมแพ้ตอนนี้ก็ยังทันนะ!”
“แต่ก็น่าเสียดายโอสถก่อกำเนิดของข้า…ข้าอุตส่าอยากจะมอบให้ แต่กลับไม่มีโอกาสเเล้ว” รั่วหยุนเอ่ยขึ้นอย่างกวนประสาท
“ใครบอกว่าพวกข้าจะยอมแพ้”
“มีคนอยากจะมอบโอสถก่อกำเนิดให้ฟรีๆเเบบนี้…มีหรือที่พวกข้าจะปฏิเสธ”
องครักษ์สิบสามโต้กลับ
“ดี…งั้นก็เลือกมา, จะประลองปรุงโอสถหรือหลอมอาวุธ!”
เมื่อได้ยินดังนั้น, รั่วหยุนก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
ในใจของรั่วหยุนตอนนี้กำลังรู้สึกสะใจไว้ล่วงหน้า!
ถึงกับคิดวิธีที่จะป่าวประกาศเพื่อทำให้องครักษ์สิบสามขายหน้าและสำนักเทียนเซียวขายขี้หน้าไว้เรียบร้อยแล้ว
“ประลองปรุงโอสถ!” หลินเสวียนเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา
“ประลองปรุงโอสถ?”
“ฮ่าๆๆๆ ดูเหมือนว่าสวรรค์ยังไม่เข้าข้างพวกเจ้าสินะ!”
“องครักษ์สิบสาม ถ้าเจ้าพานักหลอมอาวุธมา…มันก็อาจจะมีโอกาสอยู่บ้าง”
“แต่ในเมื่อเจ้าดันพานักปรุงโอสถมา …เจ้าก็เตรียมตัวแพ้ได้เลย!”
รั่วหยุนหัวเราะลั่น…ราวกับว่าเขาเป็นฝ่ายชนะไปแล้ว
“พูดมากน่ารำคาญ!”
“ใครแพ้ใครชนะ, ต้องลองดูก่อนถึงจะรู้!” องครักษ์สิบสามกล่าวอย่างเย็นชา
“สุ่ยหนิง, เตรียมตัว!”
“เจ้าค่ะ…อาจารย์!”
เมื่อได้ยินดังนั้นรั่วหยุนก็เรียกสุ่ยหนิงด้วยรอยยิ้ม
“เอาล่ะ…บอกมาหน่อยสิ, ว่าจะประลองกันแบบไหน!”
หลินเสวียนถามด้วยรอยยิ้ม
“ง่ายมาก!”
“พวกเรากำหนดเวลาให้หนึ่งวัน, ให้พวกเจ้าทั้งสองคนปรุงโอสถออกมาคนละหนึ่งเตา!”
“ใครปรุงโอสถออกมาได้ระดับสูงกว่า คนนั้นก็ชนะไป!”
รั่วหยุนกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
“เเล้วถ้าหากปรุงได้โอสถระดับเดียวกันล่ะครับ?” หลินเสวียนถามด้วยรอยยิ้มจางๆ
“ระดับเดียวกัน?”
เมื่อได้ยินดังนั้น บนใบหน้าของรั่วหยุนก็ปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยัน
“ถ้าหากเจ้าปรุงโอสถก่อกำเนิดออกมาได้, พวกข้าจะยอมแพ้ให้เลย!”
…………………