บทที่ 244 จอมโจรบุกวังหลวงเพื่อขโมยของ?
[แปลโดยแฟนเพจ BamแปลNiyay มาติดตามในแฟนเพจเพื่อติดตามข่าวสารได้นะ]
[Thai-novel ลงไวกว่าที่อื่นทุกที่ 5 ตอน แต่จะราคาแพงที่สุด]
[หลังแปลจบจะมีการแก้ไขคำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง ถ้าอ่านแบบเถื่อนจะไม่มีการกลับมาแก้ให้นะครับ]
บทที่ 244 จอมโจรบุกวังหลวงเพื่อขโมยของ?
กองทัพเซียนเยว่ และกองทัพอู๋ซีกำลังห้ำหั่นกันอีกครา แต่หลินเป่ยฟานผู้เป็นต้นเหตุแห่งศึก กลับมิได้ใส่ใจ ยามนี้เขากำลังมุ่งมั่นกับการไถนาในฤดูใบไม้ผลิ
ดังคำกล่าวโบราณที่ว่า 'แผนการสำหรับวันนี้ เริ่มต้นในยามรุ่งอรุณ แผนการสำหรับปีนี้ เริ่มต้นในฤดูใบไม้ผลิ' ผลผลิตแห่งปีล้วนขึ้นอยู่กับการเตรียมการในฤดูใบไม้ผลิเป็นสำคัญ
หลินเป่ยฟานให้ความสำคัญกับการเกษตรเป็นอย่างยิ่ง เพื่อส่งเสริมการพัฒนาทางหลวงเกษตร และเพิ่มผลผลิตให้เกษตรกรมีรายได้มากขึ้น นอกจากการใช้ปูนกาวในการสร้างและปรับปรุงระบบชลประทานแล้ว เขายังนำประสบการณ์จากชาติภพก่อน มาสรุปเป็นแปดวิธีการเกษตร และเผยแพร่สู่สาธารณชนอย่างกว้างขวาง
แปดวิธีการเกษตรนี้ ประกอบด้วย ดิน ปุ๋ย น้ำ เมล็ดพันธุ์ ความหนาแน่น การปกป้อง การจัดการ และเครื่องมือ
ดิน จำเป็นต้องเพาะปลูกและปรับปรุงดินอย่างล้ำลึก สำรวจสภาพดิน และวางแผนการใช้ที่ดินให้เหมาะสม
ปุ๋ย การใช้ปุ๋ยอย่างถูกต้องและเหมาะสม
น้ำ การพัฒนาแหล่งน้ำ และการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ
เมล็ดพันธุ์ การคัดเลือกและส่งเสริมเมล็ดพันธุ์ที่ดี
ความหนาแน่น การปลูกพืชในระยะห่างที่เหมาะสม
การปกป้อง การดูแลรักษาพืชผล การป้องกันและกำจัดโรคและแมลงศัตรูพืช
การจัดการ การจัดการพื้นที่เพาะปลูกอย่างมีระบบ
เครื่องมือ การพัฒนาและปรับปรุงเครื่องมือทางหลวงเกษตร
แต่ละวิธีการล้วนมีคำอธิบายอย่างละเอียด ช่วยให้เกษตรกรสามารถเพาะปลูกพืชผลได้อย่างมีเหตุผลและเป็นระบบ เพิ่มผลผลิตและรายได้ให้สูงขึ้น
ในบรรดาสิ่งเหล่านี้ นอกจากระบบชลประทานแล้ว หลินเป่ยฟานยังให้ความสำคัญกับปุ๋ยเป็นอย่างมาก
ดังคำกล่าวที่ว่า "พืชผลงาม ด้วยปุ๋ยดี!"
การใช้ปุ๋ยอย่างถูกต้องหรือไม่นั้น มีผลโดยตรงต่อผลผลิต
ในโลกใบนี้ ไม่เคยขาดแคลนผู้มีปัญญา เพื่อเพิ่มผลผลิตทางหลวงเกษตร โลกนี้จึงรู้จักการใช้ปุ๋ยมาเนิ่นนานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นมูลสัตว์ชนิดต่าง ๆ เช่น มูลคน มูลม้า มูลวัว มูลแกะ และมูลสุกร รวมถึงเถ้าถ่านและฟาง ซึ่งมีมากมายเกือบสี่สิบชนิด ส่วนใหญ่เป็นปุ๋ยอินทรีย์
ยิ่งปุ๋ยหลากหลายเพียงใด ผืนดินก็ยิ่งอุดมสมบูรณ์ ผลผลิตก็ยิ่งเพิ่มพูน
หลินเป่ยฟานจึงคิดค้นปุ๋ยหลากหลายชนิด พร้อมวิธีปรุงแต่งให้แตกต่าง เพื่อให้ราษฎรเข้าถึงได้ง่าย เพิ่มพูนผลผลิต สร้างรายได้ให้มากขึ้น
ไม่เพียงเท่านั้น เขายังคิดค้นปุ๋ยอนินทรีย์อีกหลายชนิด อาทิ ปูนขาว ยิปซั่ม กำมะถัน และน้ำเกลือ ซึ่งล้วนหาได้ไม่ยาก เพียงผ่านกรรมวิธีเล็กน้อย
ขุนนางผู้ดูแลการเกษตรหลายคนมองปุ๋ยอนินทรีย์เหล่านี้ด้วยความเคลือบแคลง "ท่านเจ้านคร สิ่งเหล่านี้จะช่วยเพิ่มผลผลิตได้จริงหรือ?"
หลินเป่ยฟานแย้มยิ้ม "แน่นอน พืชพรรณล้วนต้องการสารอาหารเหล่านี้ ทั้งยังหาง่ายดาย ทำตามที่ข้าบอกเถิด ท่านคงไม่คิดว่าข้าจะล้อเล่นกับตำแหน่งของตนเองกระมัง"
"ขอรับ! ข้าจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้!" ขุนนางผู้นั้นรีบร้อนจากไป
หลินเป่ยฟานยังคิดค้นปุ๋ยพืชสดอีกหลายชนิด
เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น หลินเป่ยฟานยิ้มอย่างอารมณ์ดี "ปีนี้คงได้เก็บเกี่ยวอย่างงาม"
เขาไม่กล้ารับปากมากนัก แต่ผลผลิตเพิ่มขึ้นสี่ถึงห้าส่วนนั้นคงเป็นไปได้
แม้สถานการณ์จะยากลำบาก แต่ในฐานะขุนนาง เขาต้องทำประโยชน์ให้ราษฎรตราบเท่าที่ยังดำรงตำแหน่งอยู่!
อย่างน้อยก็จะได้จากไปอย่างไม่ต้องเสียใจภายหลัง!
เมื่อว่างเว้นจากงาน หลินเป่ยฟานจึงพาโม่หรูซวงและกัวเส้าซวนออกไปเดินเล่น
บรรยากาศในนครหลวงคึกคักยิ่งกว่าก่อนตรุษจีน รถม้าและผู้คนพลุกพล่าน เสียงพ่อค้าแม่ค้าดังเซ็งแซ่ การค้าขายรุ่งเรืองยิ่งนัก
ทั้งหมดนี้ล้วนเกี่ยวเนื่องกับการกระทำของหลินเป่ยฟานนับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง
ท่านได้แก้ไขข้าหลวงแห่งอำเภอเต๋อเทียน ปรับปรุงการบริหารบ้านเมือง และทำให้สภาพสังคมบริสุทธิ์ผ่องใส เหล่าราษฎรต่างสามารถเชิดหน้าชูตา ดำรงตนอย่างซื่อตรง
การผ่อนปรนข้อจำกัดทางเศรษฐกิจ ทำให้ผู้คนจำนวนมากมีรายได้เพิ่มพูน ตลาดริมทางก็คึกคักยิ่งขึ้น สิ่งสำคัญที่สุดคือการเปิดตัวปูนกาว วัสดุก่อสร้างมหัศจรรย์ ซึ่งไม่เพียงแต่กระตุ้นการพัฒนาทางหลวงค้า ยังช่วยแก้ปัญหาการว่างงานของผู้คนจำนวนมาก ก่อให้เกิดกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นในหมู่ราษฎร
ด้วยเหตุนี้ เมื่อจำนวนประชากรในนครหลวงเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งล้านคน และตลาดก็ขยายตัว นครจะไม่เจริญรุ่งเรืองได้อย่างไร?
ด้วยความสำเร็จเหล่านี้ แม้จะยังถูกตราหน้าว่าเป็นข้าหลวงที่โลภมาก แต่ชื่อเสียงของหลินเป่ยฟานก็ยังคงเพิ่มพูนขึ้นไม่หยุดหย่อน
ยามเขาเดินทอดน่องไปตามถนนหนทาง มักจะมีเสียงทักทายจากชาวบ้านดังแว่วมา
"คำนับท่านเจ้านคร!"
"ท่านเจ้านคร ท่านรับข้าวเช้าแล้วหรือยัง?"
...
หลินเป่ยฟานแย้มยิ้ม พยักหน้ารับ
โดยไม่รู้ตัว ตัวเขาก็มาถึงโรงน้ำชา กำลังจะสั่งน้ำชาหนึ่งกา ฟังเพลง และพักผ่อน
โรงน้ำชาและโรงเตี๊ยมมักเป็นสถานที่ที่ได้รับข้อมูลข่าวสารมากที่สุดเสมอ
ขณะจิบชา หลินเป่ยฟานก็ฟังการสนทนาที่โต๊ะข้างๆ อย่างเงียบๆ
"ได้ยินหรือไม่? เย่เซียงกำลังจะมาที่นครของเรา!"
[เย่เซียง=จอมโจรราตรี=ราตรีหอมรัญจวน]
"จริงหรือ? เจ้าได้ยินข่าวนี้จากที่ใด?"
"แน่นอนว่ามาจากเขา! เขากำลังเตรียมที่จะทดสอบฝีมือในนครของเรา! ข่าวนี้จะแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วแล้ว!"
"โว้ว! ไม่รู้เลยว่าครั้งนี้เขาจะเล็งใคร!"
"ไม่ต้องกังวล เขามักจะกำหนดเป้าหมายไปที่ผู้มีอำนาจและมีอิทธิพล มันไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเราชาวบ้านหรอก!"
"เจ้าพูดถูก พวกเราดูความสนุกสนานกันเถอะ!"
...
หลินเป่ยฟานคุ้นเคยกับเย่เซียงผู้นี้เป็นอย่างดี
บุรุษผู้นี้คือจอมโจรเลื่องชื่อ ลือเลื่องในการปล้นสะดมทรัพย์สมบัติจากผู้มีอำนาจและอิทธิพล ในราชวงศ์เซี่ยอันยิ่งใหญ่ เขาลงมือมาแล้วสิบเจ็ดครั้ง ทั้งหมดมุ่งเป้าไปยังกองกำลังสำคัญ รวมถึงราชสำนักเซี่ยอันยิ่งใหญ่ และไม่เคยพลาดเป้าเลยแม้แต่คราเดียว
ด้วยเหตุนี้ ชื่อเสียงของเขาจึงขจรขจายไปทั่วหล้า!
แม้ไม่อาจล่วงรู้ถึงขอบเขตความสามารถที่แท้จริงของเขาได้ แต่ฝีมือในการลักขโมยและวิชาตัวเบานั้นยากจะมีผู้ใดเทียบเทียม
ยามเมื่อจอมโจรบุกวังหลวงต้าเซี่ย แม้มีปรมาจารย์สองท่านคุ้มกันสมบัติล้ำค่าก็ไม่อาจต้านทาน
ก่อนจะลงมือปล้นทุกครั้ง เขาจะส่งสาสน์แจ้งเป้าหมายอย่างสุภาพ ทุกคราปรากฏกายด้วยชุดขาวสะอาด ท่วงท่าสง่างาม ชาวบ้านจึงขนานนามว่า 'จอมโจรชั้นสูง' หรือ 'คุณชายจอมโจร'
คลับคล้ายภาพลักษณ์ของจอมโจรคิดในโลกสัมยปัจจุบัน
หลินเป่ยฟานคิดในใจว่าจอมโจรเย่เซียงจะมีเสน่ห์เหมือนคิดหรือไม่
เขาตื่นเต้นเล็กน้อย
"จอมโจรชั้นสูงจะมา ท่านเจ้านครโปรดระวังตัวด้วย" โม่หรูซวงเอ่ยเตือนพลางแย้มยิ้ม
หลินเป่ยฟานยิ้มตอบ "เจ้ารู้ได้อย่างไร"
"ลือกันว่าเย่เซียงจะเล็งเป้าหมายคนใหญ่คนโต คุณชายคือขุนนางที่องค์จักรพรรดินีทรงโปรดปราน ท่านเจ้านครหลวงมีของล้ำค่ามากมาย เขาอาจมาหาท่าน" โม่หรูซวงอธิบาย
หลินเป่ยฟานพยักหน้าเห็นด้วย "ก็มีเหตุผล"
แต่ลึกๆ แล้วเขาไม่คิดอะไรมาก
ถ้าจะมา ก็มาเถอะ ขโมยของจากข้าได้ ค่อยนับว่าแน่จริง!
ทันใดนั้น ทหารคนหนึ่งรีบวิ่งมาด้วยสีหน้าร้อนใจ "ท่านเจ้านคร องค์จักรพรรดินีทรงเรียกพบขอรับ!"
"ตกลง นำทางไป"
ไม่นาน หลินเป่ยฟานก็เข้าวัง พบขุนนางมากมายอยู่แล้ว
ที่น่าแปลกใจ ไม่เพียงเจ้ากรมสำนักพิทักษ์ธรรม แต่ผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร ผู้ควบคุมคลังแสงตะวันออกตะวันตก และขุนนางจากหน่วยงานอื่นๆ ล้วนอยู่ที่นี่
ยิ่งกว่านั้น องค์จักรพรรดินีทรงประทับบนบัลลังก์ สีพระพักตร์เคร่งขรึมและมีแววกริ้ว
ดูท่าสถานการณ์ไม่สู้ดีนัก
หลินเป่ยฟานยืนอยู่ด้านหลังเจ้ากรมสำนักพิทักษ์ธรรม เอ่ยถามเสียงแผ่วเบา "ท่านกั๋ว เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ"
เจ้ากรมกัวตอบกลับด้วยเสียงกระซิบ "ข้าเองก็ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับจอมโจรเย่เซียง"
เย่เซียง?
หลินเป่ยฟานขมวดคิ้ว เพิ่งเคยได้ยินชื่อนี้เป็นครั้งแรก ก็ถูกเรียกเข้าวังหลวงเสียแล้ว
หรือว่ามันหมายตาสมบัติล้ำค่าภายในวัง?
ไม่นานนัก ขุนนางทั้งหมดก็มาพร้อมหน้า
"ท่านขุนนางทั้งหลาย จงอ่านสารฉบับนี้ แล้วจะเข้าใจทุกสิ่ง!" องค์จักรพรรดินีตรัสพลางยื่นจดหมายลงมา
หลินเป่ยฟานรับจดหมายมาเปิดอ่าน
ท่ามกลางวังหลวงแห่งอาณาจักรอู๋อันยิ่งใหญ่ มีไข่มุกเจ็ดสี บานสะพรั่งยามราตรี ส่องแสงดุจรุ้งงามจับตา คืนวันที่เจ็ด จอมโจรเย่เซียงจะมาขโมย!
—เย่เซียง!
หลินเป่ยฟานครุ่นคิดในใจ ช่างบังอาจนัก เล็งเป้าหมายมาที่วังหลวง!
เมื่อทุกคนอ่านจดหมายจบ ขันทีชราก็เอ่ยอธิบาย "ข้าพบสิ่งนี้ปักอยู่ที่เสาหน้าประตูท้องพระโรงเมื่อเที่ยงวัน ดูเหมือนถูกกิ่งไม้หนีบมา"
ขุนนางทั้งหลายต่างแตกตื่น ส่งจดหมายมาถึงหน้าประตูท้องพระโรง นี่มันเรื่องใหญ่!
"พวกข้าบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ องค์จักรพรรดินีทรงโปรดอภัยโทษ" หัวหน้าองครักษ์และผู้ควบคุมคลังแสงต่างรีบขออภัย
องค์จักรพรรดินีทรงตบโต๊ะด้วยความพิโรธ "นี่มันการท้าทายเกียรติภูมิของราชสำนัก! เรื่องนี้เกี่ยวกับชื่อเสียงของแผ่นดิน ท่านขุนนางทั้งหลาย มีแผนการใดที่จะปกป้องไข่มุกเจ็ดสีและจับกุมเย่เซียงบ้าง"
"ฝ่าบาท ควรส่งยอดฝีมือคุ้มกันไข่มุกเจ็ดสีทั้งวันทั้งคืนพ่ะย่ะค่ะ" ขุนนางคนหนึ่งรีบเสนอ
"แต่เย่เซียงสำเร็จการโจรกรรมมาสิบเจ็ดครั้งในอาณาจักรเซี่ยอันยิ่งใหญ่ ไม่เคยพลาด! แม้แต่สมบัติในวังหลวงเซี่ยอันยิ่งใหญ่ จักรพรรดิส่งปรมาจารย์สองท่าน ยอดฝีมือลมปราณสามสิบท่าน และทหารกว่าสองแสนนายก็ยังจับเขาไม่ได้ ราชสำนักเราจะทำอะไรเขาได้" ขุนนางอีกคนกล่าวอย่างจนใจ
"ท่านหวัง ทำไมจึงยกยอผู้อื่นแต่ดูถูกตนเอง แล้วบอกมา ท่านมีวิธีอะไร" องค์จักรพรรดินีทรงถาม
…
ทุกคนต่างถกเถียงกันเสียงดัง บรรยากาศในท้องพระโรงเต็มไปด้วยความตึงเครียด
"เงียบ!" องค์จักรพรรดินีตบโต๊ะเสียงดัง เหล่าขุนนางพลันเงียบกริบ พระเนตรกวาดมองขุนนางทั้งหลาย ก่อนหยุดลงที่หลินเป่ยฟานด้วยแววตาเปี่ยมหวัง "ท่านหลิน ท่านมีแผนการใด รีบกล่าวมา"
"ฝ่าบาท กระหม่อมมีแผนการที่จะทำให้เย่เซียงกลับไปมือเปล่า และปกป้องเกียรติภูมิแห่งราชสำนัก!" หลินเป่ยฟานเอ่ยเสียงดังฟังชัด
ดวงเนตรขององค์จักรพรรดินีเบิกกว้าง "ว่ามาเร็วๆ"
หลินเป่ยฟานแสยะยิ้ม "อีกฝ่ายหมายจะมาลักขโมยไข่มุกเจ็ดสี พวกเราควรชิงลงมือก่อน ทุบมันเสีย เขาจะได้ไม่มีอะไรให้ขโมย!"
ทุกคนในท้องพระโรงพลันเงียบกริบ นี่มันแผนการบ้าอะไรกัน!
องค์จักรพรรดินีทรงขมวดพระขนง "ท่านหลิน อย่าได้ล้อเล่น"
ทันใดนั้น ขันทีสองนายก็ยกหีบประณีตขึ้นมาอย่างระมัดระวัง
เมื่อเปิดหีบออก แสงเจิดจ้าสาดส่องทั่วท้องพระโรง เผยให้เห็นไข่มุกขนาดเท่ากำปั้นเปล่งประกายรัศมีเจ็ดสี งดงามจับตา
"นี่คือไข่มุกเจ็ดสี สิ่งที่เย่เซียงหมายปอง เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มีเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้า ประเมินค่ามิได้! เป็นหนึ่งในสมบัติล้ำค่าที่สุดของราชสำนัก!" องค์จักรพรรดินีตรัส
เหล่าขุนนางต่างตกตะลึงในความงามของไข่มุก
"ไข่มุกเจ็ดสี งามล้ำเกินบรรยาย!"
"ไข่มุกเช่นนี้อย่างน้อยก็ล้านตำลึง!"
"ท่านประเมินต่ำไป! ยามราชวงศ์เซี่ยนเยว่ยังเรืองอำนาจ เคยมีผู้ขอแลกไข่มุกนี้ด้วยสองหัวนคร แต่องค์จักรพรรดินีแห่งอู๋ยังไม่ยินยอม!"
"ประเมินค่ามิได้จริง ๆ!"
…
องค์จักรพรรดินีทรงพอพระทัยในปฏิกิริยาของเหล่าขุนนาง พระเนตรทอดมองหลินเป่ยฟานพร้อมรอยยิ้ม "ท่านหลิน ไข่มุกนี้งามหรือไม่"
หลินเป่ยฟานพยักหน้าโดยพลัน "งาม งามหาใดเปรียบ!"
องค์จักรพรรดินีทรงถามต่อ "ท่านชอบไข่มุกนี้หรือไม่"
หลินเป่ยฟานพยักหน้าอีกครั้ง "ชอบ ชอบยิ่งนัก!"
"หากท่านชอบ เราจะยกให้ท่าน!" องค์จักรพรรดินีตรัสอย่างใจกว้าง
หลินเป่ยฟาน "หา?!"
เหล่าขุนนาง "หา?!"