บทที่ 188 สิ้นสุดการทดสอบ
“ข้าไม่เคยรู้สึกชื่นชมใครมากขนาดนี้มาก่อน ทั้งๆ ที่เจ้ามีพลังยุทธ์ระดับเดียวกันกับพวกเรา แต่เจ้ากลับรับมือมันได้”
หยวนจื่อหลานมองหลัวเฉิงด้วยแววตาสดใสขณะเผยอริมฝีปากบางเอ่ยชม ดวงตากระจ่างใสดุจน้ำค้างนั้นประกายความชื่นชมอย่างชัดเจน
“ข้าแค่พยายามถ่วงเวลามันไว้เท่านั้นเอง ใช่จะสู้กับมันได้ที่ไหน ข้าว่าเรารีบไปกันเถอะ ยามนี้จวนถึงเวลาที่เรือสำเภาจะมาแล้ว”
หลัวเฉิงหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องนี้
หลังจากคืนแห่งการสังหารหมู่สิ้นสุดลง ทั่วพื้นป่าแห่งนี้ก็แทบไม่หลงเหลือสัตว์อสูรปรากฏให้เห็นเลย การเดินทางกลับจึงเป็นไปได้อย่างราบรื่น
ครึ่งชั่วยามถัดมา ทั้งสามมาถึงด้านตะวันออก สุดขอบของเกาะชิงอวิ๋น เหนือน่านฟ้าปรากฏเรือสำเภาขนาดยักษ์ห้าลำ แต่ละลำลอยอยู่ห่างกันหลายลี้
กู่หลิงเฟิงต้องขึ้นเรือหมายเลขหนึ่ง ส่วนหยวนจื่อหลานต้องขึ้นเรือหมายเลขสาม ทั้งสองจึงกล่าวอำลาทันที
หลัวเฉิงก้าวเท้าแล้วกระโดดขึ้นเรือหมายเลขห้าเช่นเดียวกัน
ขณะนั้น ก็มีกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งออกมาจากป่า
“อ๊ะ นั่นหลัวเฉิง!”
“หลัวเฉิงจริงด้วย เขายังไม่ตาย!”
หนึ่งในนั้นจำหลัวเฉิงได้ทันที
กลุ่มคนเหล่านั้นมองยังหลัวเฉิงด้วยแววตาเต็มไปด้วยความอาฆาตแฝงละโมบ
การทดสอบชิงอวิ๋นยังไม่สิ้นสุดจนกว่าจะถึงเวลาที่กำหนด หากพวกเขาสามารถฆ่าหลัวเฉิงได้ พวกเขาจะได้เลื่อนขั้นเป็นศิษย์ฝ่ายนอกทันที!
“ไสหัวไป!”
หลัวเฉิงจ้องไปยังกลุ่มคนเหล่านั้น ด้วยแววตาประกายแสงเยือกเย็น แผ่รัศมีอำมหิตอันรุนแรงกระจายไปเป็นวงกว้าง สร้างแรงกดดันต่อผู้พบเห็นมิใช่น้อย
หลายคนในนั้นถึงกับหยุดฝีเท้าตน ใบหน้าซีดเผือดไร้เลือดฝาด บ้างก็แสดงความขลาดจนถึงกับฉี่ราดกางเกง
“แผ่แรงกดดันโดยไม่ต้องปลดปล่อยพลัง! นี่มันขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับห้า!”
“แต่นี่มันจะเป็นไปได้อย่างไร จากข่าวที่ได้ยินมามิใช่ว่าเขาอยู่ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสามหรอกหรือ?”
“บัดซบ! ไอ้หน้าไหนเป็นผู้แพร่งพรายข่าวลือเท็จนี้! ข้าเกือบเอาชีวิตไปทิ้งแล้ว!”
จนกระทั่งหลัวเฉิงเดินจากไป กลุ่มคนเหล่านั้นจึงได้มีสติสัมปชัญญะกลับมา แต่ทว่าเนื้อตัวยังสั่นสะท้านมิอาจควบคุมได้ เหงื่อเย็นไหลแซมผ่านใบหน้าประหนึ่งว่าเพิ่งเอาชีวิตรอดออกมาจากขุมนรก
บนเรือหมายเลขห้า มีผู้อาวุโสสองคนยืนอยู่บนหัวเรือ มองดูเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยสายตาเย็นชา
“ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะยังมีชีวิตรอดกลับมาได้”
ชายวัยกลางคนผู้มีสีหน้าเคร่งขรึม จ้องหลัวเฉิงด้วยความประหลาดใจ
หญิงสาวในชุดกระโปรงเขียวที่ยืนอยู่ด้านซ้ายก็กล่าวด้วยความประหลาดใจเช่นเดียวกัน
“ได้ยินมาว่าในระหว่างที่เขาเข้าร่วมการทดสอบ หลัวเฉิงอยู่แค่ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสามเท่านั้น แล้วเหตุใดในเวลาเพียงไม่กี่วัน เขากลับสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับห้าได้?”
“มันจะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไร!”
ชายวัยกลางคนกล่าววาจาเย้ยหยัน “อย่าลืมสิว่า เขาเป็นแค่คนที่มีวิญญาณยุทธ์ขยะ เกรงว่าข่าวลือนั่นอาจจะผิดพลาด แท้จริงแล้วเขาคงอยู่ในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับห้ามาตั้งนานแล้วกระมัง”
สตรีในชุดกระโปรงเขียวพยักหน้าเห็นด้วย แล้วกล่าวน้ำเสียงแผ่วเบา “ตอนนี้อวิ๋นเหมิงลี่เลื่อนขึ้นเป็นศิษย์แท้จริงแล้ว ทั้งเด็กหนุ่มผู้นี้ยังเป็นคนที่อวิ๋นเหมิงลี่แนะนำให้เข้าสำนักอีก หากเหอกวงเจ๋อรู้ว่าเด็กคนนี้ยังมีชีวิตอยู่ คงกระวนกระวายจนกินไม่ได้นอนไม่หลับเป็นแน่”
เมื่อคืนที่ผ่านมา ผลการต่อสู้ระหว่างอวิ๋นเหมิงลี่และหยวนชิงอิงเพิ่งถูกส่งกลับมายังสำนักซวนหยวน
อวิ๋นเหมิงลี่เอาชนะหยวนชิงอิง และกลายเป็นศิษย์แท้จริงที่อายุน้อยที่สุดในสำนักซวนหยวน ด้วยเหตุนี้นามของนางจะต้องระบือไกลไปทั่วอาณาจักรต้าเยว่เป็นแน่
ชายวัยกลางคนส่ายศีรษะเล็กน้อย “ไม่แน่จะเป็นเช่นนั้นเสมอไป เด็กหนุ่มคนนี้มิใช่อัจฉริยะผู้มากพรสวรรค์ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นเพียงผู้มีวิญญาณยุทธ์ขยะ
“เมื่อเปรียบกับอวิ๋นเหมิงลี่ เขาและนางก็เหมือนฟ้ากับเหว อวิ๋นเหมิงลี่ไหนเลยจะสนใจเรื่องความเป็นตายของเขา มิแน่ว่ายามนี้นางอาจลืมเขาไปแล้วกระมัง”
“อีกอย่าง ข้าได้ยินมาว่า การที่เหอกวงเจ๋อกล้าเหิมเกริมกระทำการใหญ่ไล่ล่าหลัวเฉิงนั้น ผู้ที่อยู่เบื้องหลังคือจินหมิน อวิ๋นเหมิงลี่คงไม่ถึงกับยอมเผชิญหน้ากับจินหมินเพียงเพราะหลัวเฉิงหรอก”
สตรีในกระโปรงเขียว กล่าวว่า “อาจจะเป็นเช่นนั้น แต่ไม่ว่าอย่างไร เราควรอยู่ให้ห่างจากเรื่องนี้เอาไว้ดีกว่า อย่าหาเรื่องให้ตัวเองเดือดร้อนย่อมเป็นการดีที่สุด”
“เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว”
ชายวัยกลางคนพยักหน้า
เมื่อเวลาผ่านไป จำนวนคนที่ขึ้นเรือก็ลดลงเรื่อยๆ
ในไม่ช้าเวลาแห่งการสิ้นสุดการทดสอบก็มาถึง
ฟึบ!
เรือสำเภาทั้งห้าต่างถอนสมอเรือขึ้น ใบเรือขนาดมหึมาโบกสะบัดไปมาอย่างแรง ไม่ช้าเรือสำเภาแต่ละลำก็ลอยขึ้นสูงเหนือน่านฟ้า แล้วมุ่งหน้ากลับสู่สำนักซวนหยวน