ตอนที่ 9 หาเลี้ยงชีพ (1)
ตอนที่ 9 หาเลี้ยงชีพ (1)
จากเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าไปยังเรือนเฉียงเวยใช้เวลาเพียงครู่เดียว ทว่าในวันนี้เส้นทางนี้กลับทำให้แม่นมฟางรู้สึกหนักใจยิ่งนัก
เมื่อกลับถึงเรือนเฉียงเวย อวี้ซีจึงไล่ทุกคนออกไป พาเพียงแม่นมฟางเข้าไปในห้อง
แม่นมฟางจับมืออวี้ซีพลางร่ำไห้ "คุณหนู หากข้าจากไปแล้ว คุณหนูจะเป็นอย่างไร" สามีของนางล่วงลับไปนานแล้ว นางไม่มีลูกหลานที่ไหน ญาติพี่น้องที่เคยมีในตระกูลหนิงก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ใดแล้ว หากต้องจากจวนหันและคุณหนูไป นางก็ไม่รู้ว่าตนเองจะทำสิ่งใดได้อีก เรื่องในภายภาคหน้านั้น แม่นมฟางไม่เพียงหวาดกลัว แต่ยังสับสนอีกด้วย
อวี้ซีครุ่นคิดไว้มากมายระหว่างทางแล้ว หากปล่อยแม่นมฟางออกไป ชีวิตของเจ้าตัวในอนาคตคงลำบากยากเข็ญยิ่งนัก สิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับคนคือการไม่มีอะไรทำ จิตใจว่างเปล่า เด็กหญิงจึงเตรียมหาบางอย่างให้หญิงชราทำ หากมีอะไรให้ทำ ชีวิตก็จะดีขึ้นมาก เช่นเดียวกับชาติก่อนของนางที่ชีวิตยากลำบาก แต่ก็ใช้เวลาเกือบทั้งวันไปกับการเย็บปักถักร้อย เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว อวี้ซีกุมมือแม่นมฟางกลับแล้วกล่าว "แม่นม ท่านย่าให้แม่นมออกไป อาจเป็นเรื่องดีสำหรับเราทั้งสอง"
แม่นมฟางงุนงง "คุณหนู พูดอะไรกัน ท่านว่าการที่ข้าจากไปเป็นเรื่องดีหรือ"
อวี้ซีลดเสียงลงแล้วเอ่ย "แม่นม ท่านก็รู้ว่าข้าไม่มีเงินมากนัก หากแม่นมออกไปเปิดร้านค้าข้างนอกได้ ข้าก็จะมีเงินมากขึ้น ชีวิตในจวนก็จะดีขึ้น"
แม่นมฟางพูดไม่ออก "คุณหนู ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เราไม่มีทุนเปิดร้านค้า แม้เราจะหาเงินมาได้ ข้าก็ไม่รู้ว่าจะทำสิ่งใดได้" นางไร้ซึ่งความรู้ หากเปิดร้านค้าต้องขาดทุนเป็นแน่
อวี้ซีจึงเล่าแผนการของตนเอง "แม่นมจำไม่ได้หรือว่าท่านทำซาลาเปาและเกี๊ยวได้อร่อยมาก เปิดร้านขายซาลาเปาต้องได้กำไรแน่" แม้ว่าการเปิดร้านขายซาลาเปาจะทำเงินได้น้อยและเหนื่อยยาก แต่กลับเหมาะสมที่สุดสำหรับแม่นมฟาง หากมีอะไรทำ เจ้าตัวจะได้ไม่คิดฟุ้งซ่าน
แม่นมฟางยิ้มขมขื่น "คุณหนู การค้าขายนั้นไม่ง่ายดายเช่นนั้น"
อวี้ซีกลับท้วง "แม่นม ซาลาเปาและเกี๊ยวของท่านอร่อยมาก ขายได้แน่นอน แม่นม ข้าเชื่อมั่นในตัวท่าน" ก่อนเอ่ยสำทับหลังหยุดคิดครู่หนึ่ง "แม่นม หากท่านได้เงินจากการค้าขาย ภายหลังข้าก็จะมีรายได้ ไม่ต้องกังวลเรื่องการให้รางวัลแก่คนรับใช้"
เห็นชัดว่าแม่นมฟางคล้อยตามคำพูดถัดมาของอวี้ซี "หากขาดทุนเล่า" การออกไปเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ หากมีอะไรทำและสามารถช่วยเหลือคุณหนูได้ ก็ถือเป็นการได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย นางเพียงเป็นห่วงว่าตนเองจะขาดทุน
ผู้เป็นนายยกยิ้ม "เราจะเปิดร้านขายซาลาเปาเล็กๆ ใช้ทุนไม่มากนัก และข้าก็เชื่อมั่นในฝีมือของแม่นม แม่นมก็ต้องเชื่อมั่นในตัวเองด้วย"
หญิงอาวุโสเชื่อมั่นในรสมือของตน ที่ไม่เชื่อมั่นคือการค้าขายต่างหาก นางไม่มีความรู้ด้านการค้า แต่ก็รู้ว่าหนทางที่อวี้ซีพูดมานี้นั้นที่ดีที่สุดแล้ว
ด้านฮูหยินผู้เฒ่าได้ถามแม่นมโลวหลังอวี้ซีกลับไป "แท้จริงแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่" ขนาดอวี้ซียังไม่เชื่อคำพูดของแม่นมโลวเมื่อครู่ ไหนเลยจะตบตาฮูหยินผู้เฒ่าได้
แม่นมโลวกระซิบกล่าว "สอบถามแล้วได้ความว่าสิ่งสกปรกนั่นเป็นของแม่เฒ่าเสี้ยวที่อยู่ข้างกายหรงอี๋เหนียง ส่วนเหตุผลที่หรงอี๋เหนียงต้องการทำร้ายคุณหนูสี่นั้น โม่อวิ๋นไม่ทราบเจ้าค่ะ"
มือที่หมุนลูกประคำของฮูหยินผู้เฒ่าไม่หยุดนิ่ง แม้ไร้หลักฐานยืนยัน แต่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังก็คงไม่พ้นหรงอี๋เหนียง "หรงอี๋เหนียงกุมจุดอ่อนใดของสาวใช้ผู้นั้นไว้กัน” หากเป็นเพียงเรื่องเงินทอง หญิงสาวคงไม่ยอมตกลงกับหรงอี๋เหนียง เหตุผลนั้นง่ายดาย หากถูกจับได้ว่าลอบทำร้ายเจ้านาย ไม่เพียงแต่ตนจะต้องตาย แม้แต่ครอบครัวยังต้องตายอย่างไม่มีที่ฝัง
แม่นมโลวพูดเสียงเบา "โม่อวิ๋นมีสัมพันธ์กับลูกชายคนเล็กของผู้ดูแลเซวีย" ที่บอกว่ามีสัมพันธ์นั้นก็คือการมีสัมพันธ์ในทางลับ สายใช้ล้วนเป็นสมบัติส่วนตัวของเจ้านาย ไม่อาจมีสัมพันธ์กับผู้อื่นโดยที่ผู้เป็นนายไม่ยินยอม ยิ่งโม่อวิ๋นยังเป็นนางสาวใช้ข้างกายคุณหนูด้วยแล้ว เรื่องนี้ยิ่งร้ายแรง หากทำลายชื่อเสียงของคุณหนูแล้ว ถึงตายก็ยังไม่คุ้ม
ฮูหยินผู้เฒ่าหยุดมือที่หมุนลูกประคำก่อนสั่ง "ขายไปยังเหมือง" บังอาจมีสัมพันธ์ลับและลอบทำร้ายเจ้านาย ต่อให้ฆ่าตายก็คงจะไม่สาสมกับความผิดที่ก่อขึ้น
แม่นมโลวรับคำอย่างไม่เปลี่ยนสีหน้า ครั้นเห็นฮูหยินผู้เฒ่าไม่พูดต่อหลังผ่านไปครู่หนึ่ง จึงถามอย่างระมัดระวัง "ฮูหยินผู้เฒ่า แล้วลูกชายคนเล็กของผู้ดูแลเซวียจะจัดการอย่างไรเจ้าคะ"
ฮูหยินผู้เฒ่าตอบด้วยท่าทีเย็นชา "ส่งไปอยู่ชนบท" แม่ของผู้ดูแลเซวียเป็นพี่เลี้ยงของฮูหยินผู้เฒ่า นางจึงปฏิบัติต่อเขาอย่างเป็นกันเองเสมอมา ตำแหน่งผู้ดูแลถึงได้ตกมาถึงมือเขา แต่ไม่ว่าจะใกล้ชิดเพียงใด หากกล้าทำผิดกฎก็ต้องถูกลงโทษสถานหนัก
ชิวซื่อได้ยินว่าฮูหยินผู้เฒ่าลงโทษผู้ดูแลเซวียอย่างหนัก จึงถามด้วยความประหลาดใจไม่น้อย "เกิดเรื่องอะไรขึ้น" คนตระกูลเซวียสนิทสนมกับฮูหยินผู้เฒ่า หากไม่ใช่เพราะกระทำความผิดร้ายแรง ฮูหยินผู้เฒ่าคงจะไม่ส่งครอบครัวนี้ไปชนบท
แม่นมหลี่ส่ายหัว "เช้าวันนี้คุณหนูสี่ก็มัดโม่อวิ๋นแล้วส่งไปยังเรือนของฮูหยินผู้เฒ่า ข้าคิดว่าเรื่องของตระกูลเซวียน่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เจ้าค่ะ"
ชิวซื่อคิดไม่ออก "ถึงโม่อวิ๋นจะทำผิด แต่ก็ไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลของเซวียหมิง"
ขณะกำลังสงสัยอยู่นั้น หลิ่วอิ้นก็เดินยิ้มร่าเข้ามาแล้วกล่าว "ฮูหยิน หรงอี๋เหนียงถูกกักบริเวณแล้วเจ้าค่ะ"
ชิวซื่อยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำ ย่อมต้องเกี่ยวข้องกับอวี้ซีเป็นแน่ "แท้จริงแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้น"
พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา นางนึกถึงอวี้ซีอยู่พอดี ก็ได้ยินสาวใช้ข้างนอกรายงานว่าคุณหนูสี่มาหา
อวี้ซีอธิบายให้แม่นมฟางเข้าใจแล้ว แต่พวกนางไม่มีความรู้เรื่องการค้าขาย เด็กหญิงคิดว่าชิวซื่อที่ดูแลการจัดการภายในบ้านคงจะคุ้นเคยกับเรื่องเหล่านี้ดี จึงมาเพื่อขอคำแนะนำ
ทันทีที่ชิวซื่อเห็นอวี้ซีก็รีบถาม "อวี้ซี เหตุใดเจ้าจึงมัดโม่อวิ๋นแล้วส่งตัวไปที่เรือนใหญ่เมื่อเช้า"
อวี้ซีให้ชิวซื่อไล่สาวใช้ที่อยู่ข้างกายออกไปค่อยเล่าเรื่องราวทั้งหมด "ท่านป้าก็รู้ว่านิสัยของข้าเป็นเช่นไร แม้ว่าโม่อวิ๋นจะทำไม่ดี ข้าก็คงจะเพียงต่อว่าสองสามคำเท่านั้น แต่ลงมือกับข้าเช่นนี้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ไม่เข้าท่าเกินไปแล้ว"
ตอนนี้ชิวซื่อได้รู้แล้วว่าเหตุใดฮูหยินผู้เฒ่าจึงกักบริเวณหรงอี๋เหนียง "สตรีผู้นี้อำมหิตนัก" กล้าเหี้ยมโหดถึงเพียงนี้ แม้แต่เด็กหญิงอายุเพียงสี่ขวบก็ยังไม่เว้น
อวี้ซีเห็นด้วย หรงอี๋เหนียงเป็นสตรีอำมหิตขนานแท้ แต่ก็ยังไม่ถึงเวลาหากต้องการกำจัดอีกฝ่าย
ชิวซื่อคาดเดาว่าเหตุที่หรงอี๋เหนียงลงมือกับอวี้ซีก็คงเพราะต้องการแก้แค้นหนิงซื่อ เพียงแต่ไม่กล้าบอกกับอวี้ซี ทำได้เพียงถามด้วยเสียงอ่อนโยน "เจ้ามาที่นี่มีเรื่องอะไรหรือ"
เด็กน้อยเล่าเรื่องที่ตนต้องการให้แม่นมฟางออกไปเปิดร้านค้า
นางเงียบไปครู่หนึ่งแล้วปราม "อวี้ซี การเปิดร้านค้าไม่ใช่เรื่องง่าย"
อวี้ซีรีบกล่าว "ท่านป้า ข้ารู้ว่าการเปิดร้านค้าไม่ใช่เรื่องง่าย ข้าก็ไม่ได้หวังว่าจะเปิดร้านค้าแล้วจะได้เงินมากมาย เพียงต้องการหาอะไรให้แม่นมฟางทำ ท่านป้า คนของตระกูลหนิงไม่มีเหลือแล้ว แม่นมฟางไร้ญาติพี่น้องข้างนอก หากปล่อยนางออกไปตอนนี้ นางจะไปที่ใดได้อีก นี่เป็นเรื่องเล็กน้อย ข้ากลัวที่สุดก็คือแม่นมฟางจะออกไปแล้วคิดฟุ้งซ่านจนทำให้ร่างกายทรุดลง" หยุดคิดครู่หนึ่งอวี้ซีค่อยเอ่ยต่อ "ท่านป้า ที่เปิดร้านค้าก็เพื่อให้แม่นมฟางมีอะไรทำ นางจะได้ไม่คิดฟุ้งซ่าน"
ชิวซื่อถาม "นี่เป็นความคิดของเจ้าหรือเป็นความคิดของแม่นมฟาง" หากเป็นความคิดของอวี้ซีก็แสดงว่าเด็กหญิงคนนี้มีจิตใจดีมาก
อวี้ซีตอบ "เป็นความคิดของข้าเอง แม่นมฟางก็เห็นด้วยหลังข้าเกลี้ยกล่อมไป ท่านป้า ข้าและแม่นมฟางไม่รู้เรื่องการเปิดร้านค้าเลย จึงอยากให้ท่านช่วยชี้แนะ"
ชิวซื่อฟังแล้วรู้สึกสนใจขณะหัวเราะ "การเปิดร้านค้ามีเรื่องต้องคำนึงหลายอย่าง เช่น จะเปิดในย่านใด มีขนาดใหญ่เพียงใด และต้องดูด้วยว่าบริเวณใกล้เคียงมีร้านประเภทเดียวกันหรือไม่..."
หลังอวี้ซีฟังจบก็คิดอย่างจริงจังแล้วกล่าว "ท่านป้า ร้านค้าไม่ต้องใหญ่เกินไป นอกจากนี้ค่าเช่าทางตะวันตกและตะวันออกก็แพงเกินไปด้วย เป็นไปไม่ได้เช่นกัน"
ชิวซื่อยิ้มบาง "ไม่คิดว่าเจ้าจะรู้เรื่องมากมายเช่นนี้ เจ้าคิดถูกแล้ว ค่าเช่าร้านบนถนนทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตกแพงมาก ปีหนึ่งต้องเสียค่าเช่าอย่างน้อยหนึ่งพันตำลึง ไม่สามารถเปิดร้านขายซาลาเปาในที่เช่นนั้นได้"
อวี้ซีเอ่ย "เช่นนั้นท่านป้าคิดว่าควรเปิดที่ใด"
นางคิดครู่หนึ่งก่อนตอบ "ทางใต้เป็นย่านของสามัญชน แม้ว่าผู้คนในย่านนั้นจะไม่ร่ำรวยเท่ากับทางตะวันออกและตะวันตก แต่ก็ยังมีเงินเหลือใช้ หากซาลาเปาของพวกเจ้าอร่อย ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะขายไม่ออก ข้าคิดว่าพวกเจ้าสามารถเปิดร้านขายซาลาเปาทางใต้ได้" ร้านค้าขนาดเล็ก ค่าเช่าราคาต่ำ ต่อให้ไม่ราบรื่นก็คงไม่ขาดทุนมากเกินไป หากเป็นไปด้วยดี สั่งสมชื่อเสียงไปเรื่อยๆ ถึงเวลานั้นค่อยขยับขยายก็ยังไม่สาย