ตอนที่ 7 ถุงผ้าละอาย
ตอนที่ 7 ถุงผ้าละอาย
*ถุงผ้าละอาย = กระเป๋าเงินร่อยหรอ
กลิ่นหอมของไม้จันทน์ลอยอบอวลทั่วห้องโถงใหญ่ของเรือนใหญ่
ฮูหยินผู้เฒ่าพิงหมอนแพรสีเขียวครึ่งเก่าครึ่งใหม่พลางกล่าวกับอวี้เฉินที่นั่งคุกเข่านวดขาอยู่ข้างๆ "เจ้าเด็กคนนี้ เจ้าไม่รู้หรือว่าผ้าปักสองหน้าผืนนั้นมันมีค่าแค่ไหน ถึงได้มอบให้กับเจ้าสี่ไปได้ง่ายๆ เช่นนั้น" ฮูหยินผู้เฒ่าไม่โกรธเคืองเด็กหญิง แต่รู้สึกว่าอวี้ซีนั้นตื้นเขินเกินไป เห็นของดีก็อยากได้มาเป็นของตนเอง
อวี้เฉินหัวเราะแล้วอธิบาย "ท่านย่าไม่ได้เห็นแววตาของน้องสี่ตอนมองผ้าปักผืนนั้น เหมือนกับว่ามันเป็นของล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่งนัก ข้าเห็นว่านางชอบมันจริงๆ จึงมอบให้ไป" ผ้าปักสองหน้าผืนนั้นแม้จะมีค่า แต่ก็ไม่ได้หาได้ยากเย็นอะไร
ฮูหยินผู้เฒ่าส่ายหัว "ครั้งนี้ก็ช่างเถอะ แต่ต่อไปเจ้าจะมอบของที่มารดาเจ้าทิ้งไว้ให้แก่คนอื่นไม่ได้อีกแล้ว"
ฝ่ายหลานสาวพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม "ข้ารู้"
ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวถึงเพียงนี้แล้ว อวี้ซีย่อมไม่กล้าไปหาฮูหยินผู้เฒ่าที่จวนอีก ทว่านางก็ไม่ได้อยู่เฉย ทุกเช้าจะไปคารวะฮูหยินใหญ่ชิว จากนั้นค่อยกลับมาเรียนปักผ้ากับโม่จวี
โม่จวีเริ่มสอนจากสิ่งพื้นฐานที่สุด เช่น การแยกเส้นด้ายและการปัก ไม่นานสาวใช้ก็รู้ว่าคุณหนูของตนมีพรสวรรค์ในการปักผ้ามากทีเดียว เพราะเจ้าตัวเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อฮูหยินใหญ่ชิวรู้เรื่องนี้ก็หัวเราะแล้วถามอวี้ซี "เจ้าสี่ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเริ่มเรียนงานปักผ้าแล้วรึ"
เด็กหญิงหยิบผ้าคาดหน้าผากที่ตนทำนำมาให้ฮูหยินใหญ่ชิว "ป้าสะใภ้ใหญ่ นี่คือของที่ข้าทำเอง อาจยังทำได้ไม่ดีนัก ขอให้ท่านป้าสะใภ้ใหญ่โปรดอย่ารังเกียจ"
อวี้ซีรู้สึกได้ว่าท่าทีของฮูหยินใหญ่ชิวที่มีต่อตนนั้นแตกต่างไปจากชาติก่อน ชาติก่อนแม้อีกฝ่ายจะดูแลตนเป็นอย่างดี แต่ก็เหมือนเป็นหน้าที่ที่ต้องทำเสียมากกว่า บัดนี้กลับดูเป็นห่วงเป็นใยกันมากขึ้น นางรู้ว่าเป็นเพราะช่วงนี้ตนหมั่นไปไหว้ฮูหยินใหญ่ชิวทุกวัน
ฮูหยินใหญ่ชิวรับผ้าคาดหน้าผากไปดูแล้วถามด้วยท่าทีเหลือเชื่อ "เจ้าปักเองหรือ" ไม่แปลกที่จะประหลาดใจ ลวดลายบนผ้าคาดหน้าผากนั้นค่อนข้างยุ่งเหยิง แต่ฝีเข็มกลับละเอียดอ่อนมาก ไม่มีทางที่คนเพิ่งฝึกหัดมาเพียงครึ่งเดือนจะทำได้
โม่จวีที่อยู่ข้างๆ อธิบาย "ข้าไม่กล้าโกหกฮูหยินเจ้าค่ะ ผ้าคาดหน้าผากผืนนี้คุณหนูเป็นคนปักเองจริงๆ พวกเราไม่ได้ช่วยเลย"
อวี้ซีหน้าแดง "ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ อีกไม่นานข้าจะปักได้ดีกว่านี้แน่นอน" อวี้ซีจงใจปักลวดลายให้ยุ่งเหยิง ทุกอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไป ตอนนี้ความก้าวหน้าในการเรียนรู้ของตนก็เร็วมากอยู่แล้ว หากมากกว่านี้จะเกินขอบเขตปกติไป นางไม่อยากถูกผู้อื่นมองว่าเป็นตัวประหลาด
ฮูหยินใหญ่ชิวได้ยินเช่นนั้นก็ไม่สงสัยอีกต่อไป หัวเราะแล้วบอก "ผ้าคาดหน้าผากผืนนี้สวยมาก ข้าชอบมาก" ยากนักที่เด็กหญิงคนนี้จะนึกถึงตน ทว่าสิ่งที่ควรเตือนก็ยังต้องเตือน “เมื่อฝีมือการปักผ้าของเจ้าดีขึ้นแล้ว ก็ต้องทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าด้วยผืนหนึ่ง”
ตอนแรกอวี้ซียังยิ้มอยู่ แต่เมื่อได้ยินเช่นนั้นดวงตาก็ฉายแววเศร้าสร้อย ก่อนก้มหัวลงแล้วเอ่ย "ข้ากลัวว่าท่านย่าจะไม่รับ" แม้ในใจจะไม่คิดตามคำ แต่ก็จำต้องแสดงท่าทีออกมา
ฮูหยินใหญ่ชิวกล่าวหลังนิ่งไปครู่หนึ่ง "ฮูหยินผู้เฒ่าจะไม่รับได้อย่างไร นั่นคือความกตัญญูของเจ้า ฮูหยินผู้เฒ่าได้รับแล้วจะต้องดีใจมากเป็นแน่"
ด้านเด็กหญิงพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจนัก
ขณะนั้นแม่นมวังเดินเข้ามากระซิบข้างหูฮูหยินใหญ่ชิว คนฟังหัวเราะแล้วบอกกับอวี้ซี "พรุ่งนี้จะมีคนเข้ามาในจวน เจ้าก็มาเลือกคนที่ถูกใจสักสองสามคน" คนรับใช้และแม่นมที่จวนหันใช้ส่วนใหญ่เป็นคนในตระกูล มีน้อยนักที่จะซื้อมาจากข้างนอก
อวี้ซีพยักหน้า "ได้" ชาติก่อนคนรับใช้ที่ขาดไปสองสามคนล้วนถูกส่งมาที่เรือนเฉียงเวยทันที ตอนนี้แตกต่างที่สามารถเลือกเองได้แล้ว
เมื่อกลับถึงเรือนเฉียงเวย อวี้ซีเล่าเรื่องนี้ให้แม่นมฟางฟังแล้วถาม "แม่นมฟาง ยังไม่มีข่าวคราวอะไรเลยหรือ"
หญิงสูงวัยลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบ "คุณหนู ครอบครัวของโม่อวิ๋นกับโม่เซียงไม่ได้เกิดเหตุผิดปกติ" โม่จวีกับโม่เถาเป็นคนรับใช้ที่ฮูหยินซื้อมา สัญญาขายตัวอยู่ที่คุณหนู หากคุณหนูเป็นอะไรไป พวกนางจะไม่มีหลักประกันในอนาคต จึงเป็นไปได้น้อยนักที่จะทำร้ายคุณหนู ส่วนโม่อวิ๋นกับโม่เซียงเป็นคนในตระกูล โอกาสที่จะคิดร้ายคุณหนูย่อมมีมากกว่า
อวี้ซีไม่ได้ผิดหวังนัก นางพักอยู่ที่เรือนเล็กชิงจู๋มานับเดือน เป็นช่วงเวลานานเพียงพอที่ผู้บงการจะลบร่องรอยของตนเอง
แม่นมฟางกล่าวต่อ "คุณหนู โม่อวิ๋นต้องคอยดูแลมารดาของนางอยู่ตลอด หรือว่าเราจะฉวยโอกาสนี้ปล่อยนางไป" แม้จะไร้หลักฐาน แต่เมื่อมีผู้ต้องสงสัย การขับไล่ออกไปก็เป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด
อวี้ซีส่ายหัว "ตอนนี้ยังไม่ควรปล่อยนางไป" ครอบครัวของโม่อวิ๋นกำลังลำบากอยู่ หากตนในฐานะนายไม่ช่วยเหลือ แล้วยังผลักไสออกไปอีก ก็ไม่ต่างอะไรกับการซ้ำเติมครอบครัวของโม่อวิ๋น แม้ว่าจะถูกต้องตามหลักการ แต่ก็จะทำให้บริวารหมดกำลังใจ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อตนแต่อย่างใด
แม่นมฟางทบทวนดูแล้วก็เห็นด้วยกับความกังวลของเจ้านาย
อวี้ซีเอ่ย "แม่นมฟาง ให้คนนำเงินไปให้ครอบครัวของโม่เซียงกับโม่อวิ๋นบ้านละสิบตำลึง!" โม่เซียงไม่อยู่แล้ว นางในฐานะนายต้องแสดงความเสียใจ ส่วนโม่อวิ๋น แม่ของเจ้าตัวป่วยอยู่ จำเป็นต้องใช้เงินพอดี น่าเสียดายที่นางมีเงินไม่มากนัก จึงไม่สามารถให้ได้มากกว่านี้
แม่นมฟางหนักใจ "คุณหนู เราเหลือเงินเพียงยี่สิบกว่าตำลึงแล้ว" นอกจากเงินเดือนหกตำลึงต่อเดือนแล้ว เด็กหญิงก็ไม่มีรายได้อื่นอีก เงินหกตำลึงนี้ต้องใช้จ่ายให้กับคนรับใช้และซื้อของจิปาถะในชีวิตประจำวัน เงินยี่สิบกว่าตำลึงนี้ก็เป็นเงินที่แม่นมฟางเก็บหอมรอมริบมาอย่างยากลำบาก
อวี้ซีส่ายหน้าบอก "ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหน ก็ต้องให้ของปลอบขวัญ"
แม้หนิงซื่อ มารดาของอวี้ซีจะเป็นสะใภ้รองและแต่งเข้ามาเป็นภรรยาคนที่สอง แต่ก็ได้แต่งเข้ามาในจวนหัน ตระกูลหนิงจึงให้สินเดิมเพื่อรักษาหน้ามาไม่น้อย ทว่าต่อมาเกิดเรื่องขึ้นกับตระกูลหนิง หนิงซื่อจำต้องขายสินเดิมเพื่อช่วยเหลือคนในตระกูล น่าเสียดายที่ทรัพย์สินที่มีไม่อาจช่วยเหลือคนในตระกูลหนิงได้เลย อีกทั้งนางยังต้องเดินทางระหกระเหินระหว่างตั้งท้อง เมื่อถึงเวลาคลอดจึงเกิดอาการแทรกซ้อนและเสียชีวิตหลังคลอดอวี้ซี
แม่นมฟางอัดอั้นตันใจ นางเคยปรามฮูหยินว่าไม่ควรนำสินเดิมทั้งหมดออกไป ควรเก็บไว้ให้ลูกในท้องบ้าง อีกฝ่ายกลับไม่ฟัง คนในจวนหันล้วนเอาแต่ดูแคลนผู้อื่น หากไม่มีเงินให้รางวัลก็จะถูกเหยียดหยามเสมอ
อวี้ซีถาม "แม่นม ทองคำและเงินที่ท่านย่ากับท่านป้าสะใภ้ใหญ่ให้มาตอนปีใหม่ หาโอกาสแลกเป็นเงินย่อยและเหรียญทองแดงให้หมดเลย"
แม่นมฟางไม่ค่อยเต็มใจนัก "คุณหนู ของเหล่านี้มีประโยชน์ในภายหลัง" ในภายภาคหน้าเมื่อคุณหนูออกไปพบปะผู้คน หากไม่มีเงินตบรางวัลก็จะถูกคนอื่นติฉินนินทาได้ ได้ชื่อว่าเป็นคนตระหนี่ ยากแก่การหาคู่ครอง
ผู้เป็นนายขบขัน "เรื่องเงินทอง ถึงอย่างไรก็หาทางได้อยู่ ไม่ต้องรีบร้อน"
ตั้งแต่หายป่วย แม่นมฟางรู้สึกว่าคุณหนูของตนมีความคิดความอ่านมากขึ้น สาวน้อยพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ นางจึงไม่ได้คัดค้าน
อวี้ซีพอใจกับท่าทีของแม่นมฟางมากทีเดียว "พรุ่งนี้ท่านไปกับข้าด้วย เราต้องเลือกสาวใช้ดีๆ สักสองสามคน" นางไม่ถูกใจสาวใช้ที่ถูกส่งมาในชาติก่อนแม้แต่น้อย
เช้าวันรุ่งขึ้นระหว่างอวี้ซีกำลังไปยังจวนใหญ่ นางได้พบกับหรงอี๋เหนียงและอวี้จิ้งซึ่งเป็นคุณหนูรอง
หรงอี๋เหนียงมีรูปโฉมงดงามมาก เมื่อเงยหน้ามองผู้อื่น ดวงตาของนางเปี่ยมล้นไปด้วยเสน่ห์ ไม่แปลกที่สาววัยสามสิบจะยังคงตรึงใจนายท่านหันได้
วันนี้อวี้จิ้งสวมชุดกระโปรงสีเหลืองอ่อน บนศีรษะสวมปิ่นปักผมสีทองประดับอัญมณี สร้อยคอสีทองประดับทับทิมตรงกลางบนลำคอส่องประกายแยงตา ดูร่ำรวยขนานแท้ รูปลักษณ์ของอวี้จิ้งโดดเด่นไม่แพ้กัน ใบหน้าเรียวเล็ก คิ้วเรียว ทว่าแววตาแฝงความเย่อหยิ่งและความดุร้ายอย่างละสามส่วน มองแวบเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่คนจิตใจดี
หรงอี๋เหนียงมองมายังอวี้ซี แล้วเอ่ยด้วยสายตาเป็นประกาย "ไม่คิดว่าคุณหนูสี่จะหายป่วยแล้ว ราวกับเป็นคนละคน" ก่อนหน้านี้อวี้ซีผอมแห้งเหมือนกิ่งไผ่ มักเอาแต่ก้มหัวขณะพูดกับคนอื่น ท่าทางไม่มั่นใจและขี้ขลาด ตอนนี้ทั้งอวบอ้วนและขาวผ่อง สีหน้าดีขึ้นมาก ท่าทางการเดินเหินไม่เหนียมอายอีกต่อไป ราวกับเป็นคนใหม่
อวี้ซีหัวเราะเบาๆ "ล้วนเป็นเพราะมารดาของข้าคอยคุ้มครองอยู่บนสวรรค์"
หรงอี๋เหนียงยกยิ้มชวนหลงใหล "ได้ยินมาว่าคุณหนูสี่เริ่มเรียนเรียนปักผ้าแล้ว หากไม่รังเกียจก็มาที่เรือนอีหรานของข้าได้" งานปักผ้าของหรงอี๋เหนียงเป็นเลิศ แม้แต่นางปักผ้าของจวนหันก็ยังเทียบไม่ได้
เด็กหญิงตอบหรงอี๋เหนียงไปเพียงสองคำ "ไม่ต้อง"
อวี้จิ้งหน้าเสีย จ้องอวี้ซีแล้วตอกกลับ "อี๋เหนียงของข้าเอ็นดูเจ้าจึงชวนไปที่เรือนอีหราน เจ้าคิดว่าเราต้องการเจ้าจริงๆ หรือ"
อวี้ซีเหลือบมองอีกฝ่ายแล้วพูดอย่างไม่ไว้หน้า "ข้าก็ไม่ต้องการ" ไม่ว่าตนจะโง่งมแค่ไหนก็รู้ว่าไม่ควรเป็นนกสองหัว หรงอี๋เหนียงกับท่านป้าสะใภ้ใหญ่เป็นศัตรูตัวฉกาจต่อกัน ในเมื่ออยู่ฝั่งท่านป้าสะใภ้ใหญ่แล้วก็ไม่อาจเป็นมิตรกับหรงอี๋เหนียงได้ นางจึงหลีกเลี่ยงหรงอี๋เหนียงมาโดยตลอด ทว่าบัดนี้เกิดสงสัยว่าหรงอี๋เหนียงเป็นคนลงมือวางยาตนจึงไม่คิดไว้หน้าอีกต่อไป
อวี้จิ้งโกรธมาก ตั้งท่าจะพุ่งตัวไปสั่งสอนบทเรียนแก่อวี้ซี
หรงอี๋เหนียงไวกว่า คว้าตัวนางไว้แล้วพูดกับอวี้ซีพร้อมรอยยิ้ม "คุณหนูสี่ไม่ต้องการก็ช่างเถิด"
อวี้ซีจ้องหรงอี๋เหนียงขณะบอก "ใช่ ข้าไม่ต้องการ" ไม่ต้องพูดถึงว่านางเองก็ปักผ้าได้ช่ำชอง แม้จะทำได้ไม่ดีก็คงไม่คิดไปเรียนกับอนุให้เสียเกียรติของตรเด็ดขาด
รอยยิ้มบนใบหน้าหรงอี๋เหนียงหายวับ นางคิดไม่ถึงว่าเด็กหญิงจะพูดจาหยามหน้าเช่นนี้ แต่เมื่อเห็นแววตาที่ลึกซึ้งจนมองไม่ถึงก้นบึ้งของอวี้ซีก็ใจหายวาบ ดีที่หรงอี๋เหนียงมีจิตใจแข็งแกร่งจึงไม่หลุดแสดงพิรุธออกมา
หลังเดินแยกกันไปแล้ว แม่นมฟางค่อยพูดเสียงเบา "คุณหนู ทำไมต้องไปหาเรื่องนางด้วยเจ้าคะ! ไม่อยากเรียนกับนางก็แค่ปฏิเสธไปสิ" แม้ว่าหรงอี๋เหนียงจะเป็นเพียงนางอนุ แต่ก็ได้รับความโปรดปรานจากนายท่านหันมาก ไม่ควรมีเรื่องบาดหมางกับอีกฝ่ายเพราะเรื่องหยุมหยิมเช่นนี้
อวี้ซีสวมสีหน้าเรียบเฉย "แม่นม ท่านคิดว่าที่ข้าเป็นฝีดาษโดยไม่ทราบสาเหตุ ใครมีแนวโน้มจะเป็นผู้บงการมากที่สุด"
สีหน้าของแม่นมฟางเปลี่ยนไป "คุณหนูหมายความว่า... ไม่มีทาง ท่านกับนางไม่มีเรื่องขัดแย้งกันมาก่อน นางจะลงมือทำร้ายคุณหนูด้วยวิธีนี้ได้อย่างไร" นางรู้สึกว่าเจ้านายของตนคิดมากไปแล้ว
เด็กหญิงเอ่ยสำทับ "แม่นม เมื่อครั้งที่พี่ชายรองประสบอุบัติเหตุ ท่านป้าสะใภ้ใหญ่กำลังป่วยอยู่ หากพี่ชายรองเสียชีวิตในเวลานั้น อาการของท่านป้าสะใภ้ใหญ่ก็คงตกอยู่ในอันตรายเช่นกัน" ด้วยสภาพป่วยอยู่แล้ว หากได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรงก็อาจจะเกิดเรื่องได้
อวี้ซีเพิ่งรู้ในภายหลังว่าการที่พี่ชายรองเกือบจมน้ำตายเมื่อครั้งก่อนไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นฝีมือของหรงอี๋เหนียง ดังนั้น นางจึงสงสัยว่าเป็นเพราะมารดาของตนขัดขวางแผนการของหรงอี๋เหนียง หรงอี๋เหนียงจึงต้องการแก้แค้น ทว่ามารดาของนางไม่อยู่แล้ว จึงมาลงกับนางแทน
สีหน้าของแม่นมฟางซีดเผือดไปอีกครั้ง