ตอนที่ 6 ความลำเอียง
ตอนที่ 6 ความลำเอียง
อวี้เฉินพักอาศัยอยู่ในห้องด้านซ้ายของเรือนใหญ่ ห้องทั้งสามล้วนเป็นของนาง
เมื่ออวี้ซีเดินเข้ามาในห้องก็เห็นโต๊ะยาวไม้จันทน์แดงวางอยู่ตรงกลาง เตาเผากำยานเคลือบสามขาประดับลวดลายเส้นไหมวางอยู่กลางโต๊ะ ส่งกลิ่นหอมหวานลอยออกมาจากมัน
สายตานางเหลือบไปทางพรมขนสัตว์หนาประมาณสองนิ้วที่ปูอยู่บนพื้น พรมปักลวดลายงดงามนัก มันมีมูลค่านับพันตำลึง
สาวใช้ซื่อชูเลิกผ้าม่านลูกไม้สีแดงปนทองขึ้น แหวกให้คนสองคนเดินเข้าไป
อวี้ซีสำรวจการตกแต่งภายในห้อง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเรือนไม้ ของประดับล้ำค่าบนหิ้งโบราณ หรือแม้แต่เครื่องเขียนบนโต๊ะก็ไม่ใช่ของธรรมดา มีคำกล่าวที่ว่า "ลูกชายต้องเลี้ยงให้ยากจน ลูกสาวต้องเลี้ยงให้ร่ำรวย" อวี้เฉินนับว่าได้รับการเลี้ยงดูให้ร่ำรวยอย่างแท้จริง เทียบกันแล้วห้องของอวี้ซีก็ดูน่าอนาถเสียจนอยากหลั่งน้ำตา ชาติก่อนตอนได้เห็นห้องของอวี้เฉินครั้งแรก นางก็ร้องไห้หลังกลับไปถึงห้องตนเอง แต่ตอนนี้นางไม่สนใจสิ่งของภายนอกเหล่านี้แล้ว
อวี้ซีกลับรู้สึกสนใจฉากกั้นเตียงที่ปักลายสองด้าน ด้านหนึ่งเป็นภาพหญิงงามชมดอกไม้ อีกด้านเป็นภาพดอกโบตั๋นสีสันสดใส "สวยจัง" ชาติก่อนสิ่งเดียวที่อวี้ซีสามารถนำมาอวดได้ก็คือทักษะการปักผ้า หลังแต่งเข้าตระกูลเจียงแล้ว นอกจากการปักผ้าแล้ว นางก็ไม่มีอะไรทำได้อีก
อวี้เฉินเห็นแววตาวิบวับของอวี้ซี จึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม "เจ้าชอบหรือ หากเจ้าชอบ ข้าจะมอบให้เจ้า"
อวี้ซีแปลกใจ "จริงหรือ" หากนางนำไปศึกษาวิธีการปักผ้า นางก็จะสามารถปักลายสองด้านได้
ซื่อชูที่อยู่ข้างหลังอวี้เฉินกังวลเล็กน้อย ของประดับล้ำค่าเช่นนี้จะมอบให้ผู้อื่นได้อย่างไร! เดิมทีซื่อชูหวังว่าคุณหนูสี่จะปฏิเสธ แต่ดูจากท่าทางแล้วก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ "คุณหนู คุณหนูทำเช่นนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ ของชิ้นนี้ฮูหยินผู้เฒ่ามอบให้แก่คุณหนู" นั่นหมายความว่าห้ามคิดที่จะแย่งของชิ้นนี้ไปเด็ดขาด
ความกระตือรือร้นในใจของอวี้ซีหายในทันที นางส่ายหัว "พี่สาม ของชิ้นนี้มีค่ามากเกินไป ข้ารับไว้ไม่ได้"
อวี้เฉินยังคงรอยยิ้มบาง "มอบให้เจ้าแล้ว เจ้าก็รับไปเถอะ"
อวี้ซีจึงไม่ปฏิเสธอีกต่อไป กล่าวพร้อมแย้มยิ้ม "ขอบคุณพี่สาวสาม" นางรับของชิ้นนี้มาอย่างหน้าตาเฉย ในภายภาคหน้าหากนางรู้วิธีการปักลายสองด้านได้ นางจะปักของชิ้นที่ดีกว่านี้ให้อวี้เฉิน
ไม่เพียงแต่การตกแต่งภายในห้องของอวี้เฉินจะวิจิตรพิสดารเท่านั้น แม้แต่เครื่องเขียนบนโต๊ะก็ไม่ใช่ของธรรมดา อวี้ซีเฝ้ามองตัวหนังสือที่ยังไม่แห้งบนโต๊ะแล้วถอนหายใจ อายุเพียงห้าขวบแต่ก็เขียนหนังสือได้ดีมากแล้ว ลายมือของนางในชาติก่อนก็คงไม่ดีไปกว่านี้
ซื่อชูเห็นดังนั้น จึงรีบกล่าวว่า "เครื่องเขียนลายดอกไม้เขียวหยกชุดนี้เป็นของที่ฮูหยินผู้เฒ่ามอบให้แก่คุณหนูของข้า" นั่นหมายความว่าห้ามคิดที่จะแย่งของชิ้นนี้ไปเช่นกัน
อวี้ซีหน้าเสีย รีบกล่าวกับอวี้เฉิน "พี่สาม ข้าต้องไปคารวะฮูหยินใหญ่ก่อน ข้าจะมาคารวะท่านย่าอีกครั้งในภายหลัง" นางไม่ต้องการให้คนอื่นระแวงนางราวกับเป็นขโมย
อวี้เฉินจ้องซื่อชูหลังอวี้ซีจากไป "ใครให้เจ้ากล้าทำเช่นนี้"
ซื่อชูตกใจ รีบหมอบลงกับพื้นแล้วเอ่ย "คุณหนู ข้าล่วงเกินไปแล้วเจ้าค่ะ ข้าเพียงคิดว่าของชิ้นนั้นเป็นของที่ฮูหยินผู้เฒ่ามอบให้แก่คุณหนู จึงรีบร้อนไปหน่อย"
ผู้เป็นนายพยักหน้า "ครั้งนี้ถือว่าเป็นการกระทำผิดครั้งแรก ข้าจะไม่เอาเรื่อง แต่หากมีครั้งต่อไป อย่าโทษที่ข้าไม่ไว้หน้า เจ้ารู้ดีว่าคุณหนูสี่เป็นอย่างไร แม้นางจะไม่เป็นที่โปรดปรานของฮูหยินผู้เฒ่าและท่านพ่อ แต่ก็ยังเป็นคุณหนูในจวน" ไม่ว่าอวี้ซีจะไม่ได้รับความรักจากฮูหยินผู้เฒ่าและท่านพ่ออย่างไร อีกฝ่ายก็ยังเป็นคุณหนูในจวน ไม่ใช่สาวใช้ที่สามารถดูถูกได้
ซื่อชูตกใจจนตัวสั่นจนไม่กล้าพูดอะไรอีก
อวี้ซีไม่รู้ว่ามีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น นางพาโม่จวีไปที่เรือนหลักเท่านั้น เรือนของฮูหยินแห่งจวนหันเป็นเรือนที่ใหญ่ที่สุดในจวน มีห้องโถงห้าห้อง ห้องเล็กเรียงรายอยู่สองข้างทางเดิน กว้างขวางและโอ่อ่า
หลิ่วอิ้นเห็นอวี้ซีก็รีบเข้ามาต้อนรับแล้วกล่าวพลางยิ้ม "คุณหนูสี่มาแล้ว ฮูหยินรอคุณหนูอยู่ในห้องเจ้าค่ะ" ก่อนพาอวี้ซีเข้าไป
ชิวซื่อสวมชุดอยู่บ้าน นางอ้วนท้วนสมบูรณ์ ส่งสีหน้าเมตตา ดูเป็นคนจิตใจดี
อวี้ซีไม่ได้เปิดปากพูดทันที นางคุกเข่าลงกับพื้นแล้วก้มคารวะให้ชิวซื่อสามครั้งก่อนเอ่ยจากใจจริง "ขอบคุณฮูหยินใหญ่ที่ช่วยชีวิตข้า" การก้มหัวสามครั้งนี้ของอวี้ซีไม่เพียงแต่เป็นการขอบคุณที่ช่วยชีวิตนางในครั้งนี้เท่านั้น แต่ยังเป็นการขอบคุณที่ดูแลนางในชาติก่อนด้วย
ชิวซื่อตกใจ ครั้นตั้งสติได้ก็รีบเดินไปประคองอวี้ซีลุกขึ้นแล้วกล่าวด้วยความเอ็นดู "เจ้าพูดอะไรเช่นนี้ ช่วยชีวิตเจ้าเป็นหน้าที่ของข้า"
อวี้ซีกล่าวด้วยความซาบซึ้งใจว่า "ข้ารู้ว่าหากไม่ใช่เพราะฮูหยินใหญ่ ข้าคงตายไปแล้ว" ไม่เพียงเท่านั้น ที่นางสามารถเติบโตมาอย่างปลอดภัยในชาติก่อนก็เพราะชิวซื่อ
อีกฝ่ายรู้สึกอบอุ่นใจ ลูบหัวอวี้ซีขณะบอกเสียงอ่อนโยน "เจ้ามีโชคจึงรอดชีวิตมาได้" แท้จริงแล้วนางไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก การเชิญหมอมารักษาก็เพียงเพื่อให้ตนเองสบายใจเท่านั้น ไม่คาดคิดว่าเด็กหญิงจะรอดชีวิตมาได้
อวี้ซีเพิ่งจะพูดได้ไม่กี่คำ ก็มีสาวใช้เข้ามาบอก "ฮูหยิน คุณหนูใหญ่มาแล้วเจ้าค่ะ" คุณหนูใหญ่อวี้หรูเป็นบุตรสาวของสาวใช้ที่แต่งเข้ามา แต่เจ้าตัวก็ด่วนจากไปไม่นานหลังคลอดอวี้หรู
อวี้หรูสวมชุดสีชมพูอ่อน มัดผมเป็นมวยสองข้างบนศีรษะ ปักปิ่นหยกสองชิ้น คิ้วเรียว ตาโต แววตาสดใส ยามแย้มยิ้มจะปรากฏรอยบุ๋มเล็กๆ สองข้างแก้ม นับว่าเป็นหญิงงามคนหนึ่ง
นางเข้ามาคารวะชิวซื่อ ก่อนหันไปกล่าวกับอวี้ซี "น้องสี่ ข้าได้ยินว่าเจ้าหายดีแล้ว ขอแสดงความยินดีด้วย"
อวี้ซีคารวะอวี้หรูกลับ "ขอบคุณพี่ใหญ่ที่เป็นห่วง" อวี้หรูอายุแปดขวบ โตกว่านางสี่ปี ทั้งสองไม่ได้ติดต่อกันมากนัก
ชิวซื่อกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า "พี่น้องสองคนกลับเกรงใจกันเสียแล้ว"
หลังจากนั้นมีแม่นมมาแจ้งเรื่องงาน ชิวซื่อจึงรีบออกไป อวี้หรูรู้จักกาละเทศะจึงกลับออกไป ก่อนไปยังบอกกับอวี้ซี "น้องสี่ หากเจ้าไม่รังเกียจ ก็ไปนั่งรอที่ห้องของข้าสักครู่"
อวี้ซีประหลาดใจ ก่อนหน้านี้เป็นอวี้เฉิน ตอนนี้เป็นอวี้หรู นางจำได้ว่าชาติก่อนหลังนางหายป่วยไม่มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น "ได้" นางตอบ
เมื่อคุณหนูแห่งจวนหันอายุครบแปดขวบจะมีเรือนเป็นของตนเอง ยกเว้นแต่มีเหตุการณ์พิเศษ เช่น อวี้จิ้งที่ยังคงอาศัยอยู่กับหรงอี๋เหนียง
อวี้ซีเข้าไปในห้องแล้วเห็นรองเท้าคู่หนึ่งในตะกร้าปักผ้า ฝีเข็มที่ปักแน่นมาก แสดงออกถึงความตั้งใจ อวี้ซีกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า "พี่ใหญ่กำลังปักรองเท้าให้ฮูหยินใหญ่หรือ"
อวี้หรูพยักหน้า "ใช่แล้ว ปักให้ท่านแม่"
เด็กหญิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม "ฮูหยินใหญ่เห็นแล้วจะต้องชอบมาก" ที่จริงคุณหนูแห่งจวนหันมีพร้อมทุกอย่าง ไม่ขาดแคลนสิ่งใด การที่อวี้หรูทำเช่นนี้ก็เพื่อเอาใจฮูหยินแห่งจวนหัน
อวี้ซีมองเห็นความบกพร่องของตนเองจากรองเท้าคู่หนึ่ง ฮูหยินใหญ่ดูแลนางมาสิบกว่าปี แต่นางกลับไม่เคยทำอะไรให้อีกฝ่ายเลย ในเวลานี้อวี้ซีรู้สึกสำนึกผิดไม่น้อย
อวี้หรูแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็รู้สึกยินดีกับคำชมที่ได้รับ "ปักไม่สวยหรอก ไม่คู่ควรให้เจ้าชม"
อวี้ซีเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม "นี่คือความกตัญญูของพี่ใหญ่ ฮูหยินใหญ่ต้องชอบแน่" ฮูหยินแห่งจวนหันเป็นคนใจกว้างมาก ดังนั้นแม้อวี้หรูจะเป็นบุตรสาวของอนุ แต่ชีวิตของสาวน้อยก็ไม่ยากลำบากนัก
หลังพูดคุยกันสักพัก อวี้ซีค่อยกลับไปที่เรือนของตนเอง
อวี้หรูเฝ้ามองแผ่นหลังอวี้ซีแล้วครุ่นคิด สาวใช้ชิงเซวียนถามอย่างสงสัย "คุณหนูมองอะไรอยู่เจ้าคะ"
อวี้หรูตอบเสียงเบา "น้องสี่เปลี่ยนไปมาก" ก่อนหน้านี้อวี้ซีดูหม่นหมอง บัดนี้กลับร่าเริงแจ่มใสขึ้นมาก ความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นของอีกฝ่ายใช่ว่าเป็นเรื่องดีสำหรับนางเสมอไป
ชิงเซวียนหยิบตะกร้าปักผ้าขึ้นมาแล้วกล่าว "คุณหนูสี่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น นางก็สามารถมาหาคุณหนูได้บ่อยๆ"
อวี้หรูเอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น "ข้าเป็นบุตรสาวของอนุ ส่วนน้องสี่เป็นบุตรสาวของภรรยาเอก นางจะยอมมาหาข้าบ่อยๆ ได้อย่างไร" นางพูดเช่นนี้ก็มีเหตุผล นางเคยเอาอกเอาใจอวี้เฉิน แต่อวี้เฉินก็ยังเย็นชาต่อนาง
ชิงเซวียนไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว
ทันทีที่แม่นมฟางเห็นอวี้ซีกลับมาก็รีบเข้ามาหาถาม "คุณหนู คุณหนูสามส่งของมาให้ ข้าปฏิเสธอย่างไรก็ไม่ยอม คุณหนู เกิดอะไรขึ้นกันเจ้าคะ"
อวี้ซีเข้ามาในห้องแล้วเห็นผ้าปักสองด้าน "พี่สามมอบให้ข้า" อีกไม่นานนางจะเลาะผ้าปักชิ้นนี้และศึกษาอย่างละเอียด
แม่นมฟางเป็นกังวล "คุณหนู คุณหนูสามส่งของล้ำค่าเช่นนี้มาให้คุณหนูทำไมกัน" ไม่แปลกที่แม่นมฟางจะวิตก หากได้รับของชิ้นนี้มาจากคุณหนูสาม ฮูหยินผู้เฒ่าอาจไม่พอใจเอาได้
อวี้ซีส่ายหน้าบอก "ข้าก็ไม่รู้" นางไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดอวี้เฉินจึงส่งของล้ำค่าเช่นนี้มาให้ แต่เมื่อของมาถึงแล้วนางก็ขอไม่ปฏิเสธ
แม่นมฟางตั้งท่าจะพูดบางอย่าง ก็ได้ยินว่าหลิ่วอิ้นมาถึง
หลิ่วอิ้นเองก็มาส่งของเช่นกัน ครั้งนี้ชิวซื่อใจกว้างมาก ไม่เพียงแต่ส่งรังนกและโสมมาให้ ยังมีผ้าไหมอีกสองพับด้วย ผืนหนึ่งสีแดง และอีกผืนหนึ่งสีเขียว
หลังส่งหลิ่วอิ้นกลับไปแล้ว แม่นมฟางมองผ้าไหมสองผืนด้วยความดีใจ "มีผ้าผืนนี้ คุณหนูก็สามารถทำเสื้อผ้าได้หลายชุดแล้ว" เสื้อผ้าของอวี้ซีเป็นส่วนหนึ่งที่ได้จากการแจกจ่ายของจวนหัน ฤดูกาลละหกชุด หกชุดสำหรับคนธรรมดาก็ถือว่ามากแล้ว ทว่าสำหรับคุณหนูในจวนนั้นนับว่าน้อยเกินไป
ด้านโม่จวีก็เปิดกล่องรังนกแล้วร้องอุทาน "โอ้โห เป็นรังนกเลือด" รังนกที่ดีที่สุดคือรังนกเลือด มันมีคุณค่าทางโภชนาการสูงทีเดียว
อวี้ซีสับสนเล็กน้อย นางจำได้ว่าชาติก่อนหลังจากนางหายป่วย ฮูหยินใหญ่แห่งจวนหันก็ส่งของบำรุงมาให้ แต่ไม่มีของบำรุงล้ำค่าอย่างรังนกเลือด แล้วเหตุใดชาตินี้จึงแตกต่างกัน เรื่องนี้ทำเอานางครุ่นคิดลึกซึ้ง
แม่นมฟางไม่ทันจะได้มีความสุขนานเกินไป สาวใช้ของฮูหยินผู้เฒ่าชื่อชุ่ยอวี้ก็มาเยือน อีกฝ่ายไม่ได้มาส่งของ แต่มาถ่ายทอดคำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่า "คุณหนูสี่ ฮูหยินผู้เฒ่าสั่งให้คุณหนูพักผ่อนให้เต็มที่ ไม่ต้องมาคารวะทุกวัน"
สีหน้าของแม่นมฟางพลันเปลี่ยนไป ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังทำอะไรกันอยู่ ถึงได้สั่งให้คุณหนูของนางไม่ต้องมาคารวะ นี่มันมากเกินไปแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่ามีคำสั่งเช่นนี้ เป็นที่ชัดเจนว่าไม่ต้องการพบหน้าอวี้ซี ชาติก่อนตอนได้ยินคำสั่งนี้ นางเสียใจมากจนล้มป่วย ตอนนี้กลับไม่รู้สึกอะไรแม้แต่น้อย ทว่ายังจำต้องทำเป็นเสียใจ "ฝากพี่ชุ่ยอวี้บอกท่านย่าว่าข้าจะพักผ่อนให้เต็มที่"
ชุ่ยอวี้กล่าว "ข้าจะนำคำนี้ไปบอกฮูหยินผู้เฒ่า"
แม่นมฟางกลัวเด็กหญิงจะเสียใจจึงรีบปลอบ "คุณหนูร่างกายเพิ่งจะหายดี ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นห่วงคุณหนู จึงไม่ให้คุณหนูไปคารวะ" คุณหนูเพิ่งจะร่าเริงแจ่มใสขึ้นมาได้ หากพูดอะไรบั่นทอนจิตใจ เจ้าตัวคงเศร้าโศกและเซื่องซึมลงไปอีกครั้ง
อวี้ซีแสร้งยิ้มเศร้าเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ "วันนี้ข้าเห็นพี่ใหญ่กำลังปักรองเท้าให้ฮูหยินใหญ่ แม่นม ข้าอยากเรียนรู้การปักผ้า จะได้ปักรองเท้าให้คุณนายใหญ่ในอนาคตบ้าง"
แม่นมฟางรีบรับคำ "ได้ คุณหนูอยากเรียนย่อมเรียนได้" คุณหนูมีอะไรทำแล้วจะได้ไม่คิดมากเกินไป ซึ่งถือเป็นเรื่องดีแล้ว