ตอนที่ 5 ย้ายกลับมายังเรือนเฉียงเวย
ตอนที่ 5 ย้ายกลับมายังเรือนเฉียงเวย
ไม้ไผ่นอกเรือนมีขนาดหนายาวแตกต่างกัน แต่ก็ล้วนสูงชะลูดสง่างาม ลมพัดแผ่วเบาให้ใบไผ่สั่นไหวราวกับหญิงงามกำลังกล่าวกระซิบ
แม่นมฟางเห็นอวี้ซีเดินชมต้นไผ่ที่สวนหลังบ้านอยู่ครึ่งวันก็ไม่รู้ว่าต้นไผ่มีอะไรดีถึงได้ดูเพลินนัก "คุณหนู ลมแรงเช่นนี้ เข้าไปในเรือนเถิดเจ้าค่ะ!"
อวี้ซีหันกลับมาตอบ "ไม่เอา อยู่ในเรือนก็อึดอัด แม่นม ถึงเวลาทำอาหารแล้วไม่ใช่หรือ"
แม่นมฟางรู้สึกจนปัญญา ตั้งแต่คุณหนูผู้นี้หายป่วยก็มักมาวนเวียนดูนางทำอาหารอยู่ข้างๆ บอกว่าอยากเรียนรู้ศาสตร์การทำอาหาร แม่นมฟางหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เด็กอายุเพียงสี่ขวบจะมาเรียนรู้เรื่องพวกนี้ไปเพื่ออะไร ทว่าก็ไม่อาจห้ามปรามอวี้ซีได้ อีกทั้งมันยังเป็นเรื่องดีจึงไม่ได้คัดค้านอะไร
หลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จ แม่นมฟางจึงบอกกับอวี้ซี "คุณหนู วันนี้แม่เฒ่าเฉาที่นำกับข้าวมาส่งบอกว่าอีกสองวันเราจะได้ย้ายกลับไปยังเรือนเฉียงเวยแล้ว" เรือนเฉียงเวยคือเรือนพักอาศัยของอวี้ซีนั้นเอง
อวี้ซีพยักหน้า ชาติก่อนนางพักที่เรือนเล็กชิงจู๋อยู่เป็นเดือน กระทั่งอาการป่วยของอวี้เฉินทุเลาลง นางถึงค่อยได้ย้ายกลับไป
อวี้ซีลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วถาม "แม่นมฟาง ข้าอยากถามท่านสักเรื่องหนึ่ง ข้าเป็นฝีดาษได้อย่างไร"
แม่นมฟางแปลกใจ "มีอะไรหรือเจ้าคะ"
อวี้ซีกล่าว "พี่ชายสามเป็นฝีดาษเพราะติดจากคนข้างนอก ส่วนข้าก็อยู่ในเรือนชั้นในตลอด ไม่ได้ออกไปไหน ไม่ได้ใกล้ชิดกับพี่ชายสาม แล้วข้าเป็นฝีดาษได้อย่างไร" ฝีดาษแม้จะเป็นโรคร้าย แต่หากไม่สัมผัสกับเชื้อโรคก็จะไม่เป็นโรคนี้ ช่วงนี้นางคิดทบทวนดูแล้วก็ยิ่งรู้สึกว่าการที่ตนเป็นฝีดาษนั้นมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
แม่นมฟางไม่เคยคิดไปในทางนี้มาก่อน เมื่อได้ยินคำพูดนี้ก็เปลี่ยนสีหน้าทันที "คุณหนูหมายความว่ามีคนจงใจทำร้ายท่านหรือเจ้าคะ" ครั้นย้อนนึกถึงเรื่องที่ห้องครัวตัดการส่งอาหาร แม่นมฟางก็ใจหายวาบ
ด้านอวี้ซียังไม่กล้าฟันธง "ข้าก็ไม่รู้ว่ามีใครจงใจทำร้ายข้าหรือไม่ เพียงแต่รู้สึกว่าเรื่องนี้แปลกประหลาดเกินไป"
แววตาของแม่นมฟางวาววับด้วยประกายโกรธ "คุณหนูวางใจเถิด หากมีคนใจดำจงใจทำร้ายท่าน ข้าจะทำให้คนผู้นั้นอยู่ไม่สู้ตาย"
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เรือนเล็กชิงจู๋ก็มีแขกมาเยือนสามคน นำโดยหญิงสาวรูปร่างหน้าตาดีในชุดสีคราม ใบหน้ารูปไข่ มีสาวใช้ร่างใหญ่สองคนเดินตามหลังมา
อวี้ซีรู้สึกคุ้นหน้าหญิงสาวที่เดินนำหน้า แต่จำไม่ได้ว่าเป็นใคร แม่นมฟางรีบร้องถามด้วยความดีใจ "โม่จวี เจ้ามาเพื่อรับคุณหนูกลับไปยังเรือนเฉียงเวยใช่หรือไม่"
อวี้ซีพลันนึกได้ว่าโม่จวีคือหัวหน้าสาวใช้ของนางเอง นางไม่ได้พบอีกฝ่ายมาสิบกว่าปีจนเกือบลืมไปแล้ว
โม่จวีมีน้ำตาคลอในดวงตา คุกเข่าลงคารวะอวี้ซีขณะกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ "ใช่แล้วเจ้าคะ ฮูหยินใหญ่ให้ข้ามารับคุณหนูกลับไปยังเรือนเฉียงเวย คุณหนูสามารถผ่านพ้นเคราะห์กรรมครั้งนี้มาได้ ก็เพราะพระโพธิสัตว์คุ้มครองแล้ว"
อวี้ซีสีหน้าเรียบเฉย "ที่ข้ารอดชีวิตมาได้ครั้งนี้ ก็เพราะมารดาคุ้มครองข้าอยู่บนสวรรค์ต่างหาก"
โม่จวีพยักหน้ารัวๆ "ใช่แล้วเจ้าค่ะ ฮูหยินย่อมต้องคุ้มครองคุณหนูอยู่บนสวรรค์เป็นแน่" ครั้งนี้มีผู้คนจำนวนมากเสียชีวิตจากโรคฝีดาษ ศพของผู้ที่เสียชีวิตจะถูกเผาทั้งหมดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค ไม่หลงเหลือแม้แต่ร่างกาย การที่คุณหนูรอดชีวิตจากเคราะห์กรรมครั้งนี้ได้ ก็ต้องเป็นเพราะฮูหยินคอยคุ้มครองอยู่บนสวรรค์
อวี้ซีโล่งใจ ในที่สุดนางก็จะได้ออกจากที่นี่แล้ว ไม่มีอะไรต้องเก็บเพราะของใช้ในที่แห่งนี้จะต้องถูกเผาทิ้งทั้งหมด
เรือนเล็กชิงจู๋อยู่ไกลจากเรือนเฉียงเวยพอสมควร อวี้ซีไม่รีบร้อน เดินชมทิวทัศน์ข้างทางไปเรื่อย ตั้งแต่แต่งเข้าตระกูลเจียง นางได้กลับมาที่นี่เพียงไม่กี่ครั้ง ทุกสิ่งทุกอย่างในเวลานี้จึงดูแปลกตาไปสำหรับนาง
โม่เถาเห็นอวี้ซีก็ร้องไห้โฮ "คุณหนูกลับมาแล้ว" อวี้ซีมีหัวหน้าสาวใช้สี่คน ได้แก่ โม่จวี โม่เถา โม่อวิ๋น
และโม่เซียง
แม่นมฟางกล่าว "มีอะไรก็พูดกันในเรือนเถิด แดดร้อนนัก คุณหนูจะเป็นลมเอาได้" เดินมาไกลขนาดนี้ หน้าผากของคุณหนูมีเหงื่อซึมออกมาแล้ว
โม่เถาจุดเตาไฟหน้าประตูแล้วกล่าว "คุณหนูเจ้าคะ หากคุณหนูก้าวข้ามเตาไฟนี้ เคราะห์ร้ายต่างๆ ก็จะหมดสิ้นไป"
อวี้ซีไม่ลังเลแม้แต่น้อย นางก้าวข้ามเตาไฟเข้าไปในเรือนเฉียงเวย
เรือนเฉียงเวยไม่ใหญ่นัก ด้านหน้ามีห้องโถงสองห้อง ข้างห้องโถงสองฝั่งมีห้องเล็กสองห้อง เป็นห้องด้านตะวันออกและตะวันตก นับว่าค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับเรือนอื่นๆ ในจวนหัน
ที่ได้ชื่อว่าเรือนเฉียงเวยก็เพราะว่ามีต้นกุหลาบเลื้อยอยู่บนกำแพงด้านขวาของเรือน ช่วงนี้ดอกกุหลาบบานสะพรั่ง บนกำแพงมีทั้งดอกสีม่วงแดงและสีขาวหยก งดงามมาก นอกจากนี้ใต้หน้าต่างยังปลูกต้นกล้วยหลายต้น ใบกล้วยที่แผ่กว้างเหมือนพัดสีเขียวมรกตสะท้อนแสงแดดจนเกิดเป็นร่มเงา
เมื่อเข้ามาในห้อง อวี้ซีก็สำรวจห้องนอนของตนเอง ห้องนอนตกแต่งอย่างเรียบง่าย ที่ผนังมีเตียงไม้แกะสลักหกเสา ม่านสีเขียวอ่อนแขวนอยู่ข้างเตียง ด้านบนปูด้วยเครื่องนอนสีชมพูอ่อน ตรงข้ามมีเก้าอี้ไม้มะเกลือสองตัว ข้างๆ มีฉากกั้น ด้านหลังฉากกั้นเป็นห้องน้ำขนายย่อม เครื่องเรือนในห้องมีเท่าที่จำเป็น ไร้เครื่องประดับอย่างหยก ทองคำ เครื่องเคลือบ หรือเพชรพลอย เรือนอื่นๆ ตกแต่งหรูหรา แต่ห้องของนางกลับไม่เป็นเช่นนั้น
แม่นมฟางเดินเข้ามาแล้วบอก "คุณหนู อาบน้ำเถิดเจ้าค่ะ" หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว เสื้อผ้าที่ถอดออกก็ถูกสาวใช้เอาไปเผาทิ้งเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
โม่จวีใช้ผ้าขนหนูแห้งเช็ดผมให้อวี้ซีแล้วกล่าวด้วยเสียงเบา “ช่วงนี้คุณหนูคงลำบากแย่”
อวี้ซีเหลือบมองโม่จวี เดือนที่ผ่านมานางได้กินของอร่อยๆ มากมายจนมีเนื้อมีหนังขึ้นมาก ใบหน้าก็ดูมีน้ำมีนวล ที่โม่จวีบอกว่านางลำบากนั้นคงไม่จริง อวี้ซีกล่าวเสียงเรียบ "รอดตายมาได้ย่อมโชคดี" เพราะยังกังขาในใจ นางจึงไม่ไว้ใจหัวหน้าสาวใช้ทั้งสี่คน ชาติก่อนนางอาภัพยิ่งนัก กระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิตก็ยังไม่มีแม้แต่คนเดียวที่วางใจได้
โม่จวีหัวเราะ "เจ้าค่ะ คุณหนูจะต้องมีโชคลาภและร่ำรวยในอนาคต"
อวี้ซีถาม "โม่อวิ๋นกับโม่เซียงอยู่ที่ไหน" หัวหน้าสาวใช้ทั้งสี่คน เวลานี้เหลือเพียงสองคนเท่านั้น ไม่รู้ว่าอีกสองคนหายไปไหน
โม่จวีไม่ได้คิดมาก "มารดาของโม่อวิ๋นป่วยเมื่อไม่กี่วันก่อน นางไม่รู้ว่าคุณหนูจะกลับมาวันนี้ จึงลาแม่นมเพื่อกลับไปดูแล ส่วนโม่เซียง..." โม่จวีหยุดพูดไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า "คุณหนู โม่เซียงไม่อยู่แล้ว"
อวี้ซีแข็งค้างก่อนถาม "ไม่อยู่แล้วหมายถึงอย่างไร"
มือของโม่จวีสั่นขณะกล่าวเสียงแผ่ว "โม่เซียงเองก็ตายด้วยโรคฝีดาษ" พูดให้เข้าใจง่ายก็คือโม่เซียงติดเชื้อฝีดาษแล้วเสียชีวิตโดยไม่ได้รับการรักษา
อวี้ซีรู้สึกไม่สบายใจนัก
หลังจากเช็ดผมจนแห้งดี อวี้ซีเดินไปนั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง โต๊ะเครื่องแป้งนี้ทำจากไม้ไก่ดำ เท่าที่อวี้ซีรู้มา เครื่องเรือนที่แม่นมในจวนหันใช้ก็ล้วนทำจากไม้ไก่ดำทั้งสิ้น เมื่อก่อนนางไม่พอใจที่เรือนตกแต่งอย่างซอมซ่อ ทว่าเวลานี้ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้อีกแล้ว "หยิบชุดสีอ่อนๆ มาให้ข้า"
โม่เถาแบ่งผมของอวี้ซีออกเป็นสองข้าง มัดมวยด้านบนของศีรษะสองข้าง แล้วดึงปอยผมให้ห้อยลงมาเล็กน้อย
อวี้ซีส่องกระจกดูตนเอง ชาติก่อนในเวลานี้นางผอมแห้งเหมือนไม้ไผ่ ยามนี้ใบหน้าของนางกลับมีเลือดฝาด ดูสดใสมีชีวิตชีวา
โม่เถาหยิบกล่องเล็กออกมาสองกล่อง อวี้ซีเห็นว่าครึ่งหนึ่งเป็นเครื่องประดับเงิน อีกครึ่งไม่เป็นทองก็ไข่มุก ส่วนอัญมณีหรือเพชรนั้นไม่มีสักชิ้น นางเอ่ยห้าม "ไม่ต้องใส่เครื่องประดับหรอก"
โม่เถาคัดค้านความคิดของอวี้ซี "คุณหนูเจ้าคะ ใส่เครื่องประดับสักสองชิ้นเถิด หากไม่ใส่เครื่องประดับเลยก็จะดูเรียบง่ายเกินไป ฮูหยินผู้เฒ่าจะไม่ชอบใจเอาได้" ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ชอบคุณหนูอยู่แล้ว หากคุณหนูยังแต่งตัวเหมือนไว้ทุกข์ อีกฝ่ายจะต้องตำหนิคุณหนูเป็นแน่
อวี้ซีอยากจะพูดว่านางไม่สนใจหรอก ช่างหัวฮูหยินผู้เฒ่าไปสิ ทว่าก็ได้แต่คิดในใจ "เช่นนั้น เจ้าคิดว่าจะใส่เครื่องประดับอะไรดี"
สาวใช้หยิบหยิบดอกไม้มุกสีฟ้าสองชิ้นจากกล่องมาสวมให้ก่อนถาม “คุณหนูเจ้าคะ เป็นอย่างไรบ้าง”
อวี้ซีไม่ได้ใส่ใจนัก แม้นางจะรักษาตัวมานานนับเดือร ผิวพรรณดีขึ้นเล็กน้อย ทว่าร่างกายก็ยังอ่อนแอ ต้องใช้เวลามากกว่านี้เพื่อให้ฟื้นตัวเต็มที่ จึงไม่เห็นว่าการแต่งตัวในตอนนี้ช่วยให้สภาพดีขึ้นมากเท่าใดนัก “ก็ดีเท่าที่จะเป็นไปได้แล้ว”
โม่จวีถือชุดกระโปรงสีฟ้ามาให้หลังหวีผมเสร็จ นางส่ายหัว "เปลี่ยนชุดใหม่" ชุดสีฟ้าเหมือนอย่างเคย นางไม่ชอบมันอีกต่อไปแล้ว
เมื่อแต่งตัวเสร็จแล้ว อวี้ซีไปเรือนใหญ่พร้อมโม่จวี ที่นั่นอยู่ไกลจากเรือนเฉียงเวยพอสมควร นางยังคงเดินช้าๆ เพื่อทำความคุ้นเคยกับเส้นทางที่นี่
เมื่อก้าวพ้นประตูบานพับเข้ามา ผ่านฉากกั้นดอกโบตั๋นด้านหน้า เดินมาตามทางเดินก็จะเห็นลานบ้านกว้างขวางและสว่างไสวตรงหน้า ด้านหน้ามีห้องโถงห้าห้อง แกะสลักลวดลายบนคานและเสา ชายคางดงาม สองข้างมีทางเดินเชื่อมห้องเล็กที่เรียงรายอยู่ด้านข้าง
สาวงามในชุดสีม่วงแหวกม่านประตูแล้วเดินออกมาจากห้อง เมื่อเห็นอวี้ซีก็ยิ้มแย้มทักทาย "คุณหนูสี่ ฮูหยินผู้เฒ่าเพิ่งจะพักผ่อน ตื่นแล้วข้าจะไปแจ้งเจ้าค่ะ"
อวี้ซีไร้ซึ่งสีหน้าไม่พอใจ กลับยิ้มกล่าว "ขอบคุณพี่ชุ่ยอวี้"
ชุ่ยอวี้ค่อนข้างประหลาดใจ ก่อนหน้านี้คุณหนูสี่ดูหม่นหมอง ทว่าหลังป่วยก็ดูเฉลียวฉลาดขึ้น "คุณหนูอย่าได้เกรงใจเลยเจ้าค่ะ นี่เป็นหน้าที่ของข้า"
เมื่ออวี้ซีหันหลังเตรียมจะจากไป นางก็เห็นอวี้เฉินเดินออกมาจากห้อง
อวี้เฉินสวมชุดผ้าโปร่งสีขาว มีผ้าคลุมแขนสีขาวครีม กระโปรงยาวสีขาวราวกับแสงจันทร์ ผิวขาวละเอียด ใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่งดงาม ดวงตาโตกลมใสราวกับน้ำหยด แม้สีหน้าจะซีดเซียวและร่างผอมบาง แต่ท่วงท่าและคิ้วตาของนางกลับแฝงไปด้วยเสน่ห์ที่หาได้ยาก
เมื่อเห็นอวี้เฉิน สายตาอวี้ซีก็ฉายแววซับซ้อน แม้จะได้มีชีวิตใหม่อีกครั้ง แต่อวี้ซียังรู้สึกว่าสวรรค์ลำเอียงต่ออวี้เฉินมากเกินไป ไม่เพียงแต่ประทานโฉมงามให้อวี้เฉิน ยังมอบพรสวรรค์ที่เหนือกว่าคนทั่วไปให้อีกด้วย เพราะมีพี่สาวที่โดดเด่นเช่นนี้ นางจึงรู้สึกกดดันและขาดความมั่นใจในตนเอง
อวี้ซีระงับความรู้สึกแปลกประหลาดในใจแล้วกล่าวกับอวี้เฉินด้วยรอยยิ้ม "พี่สาม" นางได้มีชีวิตใหม่อีกครั้งจึงมองโลกในแง่ดีขึ้นมาก บางสิ่งถูกกำหนดไว้แล้ว ไม่ว่าจะอิจฉาริษยาอย่างไรก็ไร้ผล นอกจากมีแต่จะทำให้ตนเองทุกข์ใจแล้ว ก็ไม่ได้มีผู้ใดทุกข์ร้อนด้วย
อวี้เฉินเห็นอวี้ซีแล้วนึกถึงพี่ชายที่เสียชีวิตไปเมื่อไม่นานมานี้จึงรู้สึกเศร้าโศก แต่เมื่อเห็นชุดของอวี้ซีก็เกิดความรู้สึกชื่นชอบขึ้นมา "เมื่อวานท่านย่านอนไม่หลับ เพิ่งจะหลับไปวันนี้ คุณหนูสี่ ไปนั่งรอที่ห้องของข้าก่อนเถิด"
อวี้ซีแปลกใจอยู่บ้าง ชาติก่อนนางไม่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ แต่ก็ตอบตกลงด้วยความยินดี "ได้" ท่านย่ารักอวี้เฉินมาก ตั้งแต่เกิดเจ้าตัวก็อยู่กับท่านย่ามาโดยตลอด