ตอนที่แล้วตอนที่ 3 ฝีดาษ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 5 ย้ายกลับมายังเรือนเฉียงเวย

ตอนที่ 4 ล้มป่วยตาย


ตอนที่ 4 ล้มป่วยตาย

หลังนอนไปทั้งวัน ตกค่ำอวี้ซีก็ไม่อาจข่มตาหลับได้ นางมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นต้นไผ่สีเขียวขจีหลายต้นด้านนอกหน้าต่าง มันดูสดใสและมีชีวิตชีวาไม่น้อย

นายท่านกั๋วกงรุ่นที่สามแห่งจวนหันหลงใหลในต้นไผ่เป็นอย่างมาก ทุ่มเทเงินมหาศาลเพื่อปลูกป่าไผ่แห่งนี้ขึ้นมา และยังได้สร้างเรือนขึ้นภายใน นั่นคือที่มาของเรือนเล็กชิงจู๋ ทว่าป่าไผ่นั้นตั้งอยู่ห่างไกล กอปรกับผู้อาศัยที่นี่ล้วนแล้วแต่ไม่มีจุดจบที่ดี ทำให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นดินแดนอัปมงคลและถูกทิ้งร้างไปในที่สุด

เรือนเล็กชิงจู๋ตั้งอยู่สันโดษ เมื่อถึงเวลากลางคืนเงียบสงบยิ่งนัก เสียงฝีเท้าของกลุ่มของชิวซื่อสิบกว่าคนที่เดินมาจึงดังชัดเจน

แม่นมฟางได้ยินเสียงฝีเท้าก็รีบเดินออกไปทันที

ชิวซื่อไม่ได้เข้ามาในเรือน เพียงพูดคุยกับแม่นมฟางอยู่ด้านหน้าเท่านั้น ครั้นได้ยินว่าอวี้ซีฟื้นแล้วและยังสามารถกินอาหารได้ก็ดีใจเป็นอย่างมาก ไข้ลดแล้วและยังทานข้าวลง แสดงว่าพ้นช่วงวิกฤตินี้ไปแล้ว "แม่นมฟางวางใจได้ พรุ่งนี้ข้าจะเชิญหมอมาอย่างแน่นอน"

เมื่อรู้ว่าอวี้ซีปลอดภัยแล้ว ชิวซื่อก็วางใจ กำชับแม่นมฟางให้ดูแลหญิงสาวให้ดี จากนั้นจึงพาคนทั้งหมดกลับไป

แม่นมฟางเข้ามาในห้องแล้วกล่าวกับอวี้ซี "คุณหนู ฮูหยินใหญ่เพิ่งมาเมื่อครู่ พอรู้ว่าคุณหนูฟื้นแล้ว ท่านก็ดีใจมากเจ้าค่ะ"

อวี้ซีพยักหน้ารับเล็กน้อย แม้ว่าป้าสะใภ้ใหญ่จะดีกับนางเพราะต้องการตอบแทนบุญคุณ แต่การทำให้ถึงเพียงนี้ก็ชวนให้รู้สึกซาบซึ้งใจมากแล้ว

เช้าวันรุ่งขึ้น ชิวซื่อสืบหาจนทราบว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้คือหรงอี๋เหนียง

แววกรุ่นโกรธปรากฏในดวงตาของชิวซื่อ "นังชั่ว" หากจะพูดว่าใครที่ชิวซื่อเกลียดมากที่สุด ก็คงจะหนีไม่พ้นหรงอี๋เหนียง

หรงอี๋เหนียงเป็นบ่าวในจวนหัน เข้ามาปรนนิบัตินายท่านหัน หันจิ่งต๋ง ตั้งแต่อายุหกขวบ ขณะนั้นเขายังเยาว์วัย นางเป็นที่โปรดปรานของนายท่านหันมาก เมื่อครั้งชิวซื่อเพิ่งแต่งเข้ามาใหม่ไม่นาน หรงอี๋เหนียงก็ถูกตรวจพบว่าตั้งครรภ์ หากไม่ใช่เพราะฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวไว้ว่าไม่อาจมีบุตรที่เกิดแก่อนุก่อนบุตรชายคนโต และบังคับให้หรงอี๋เหนียงกินยาแท้งบุตร เกรงว่าบุตรชายของอนุคงจะได้ลืมตาดูโลกไปแล้ว ถึงกระนั้นหรงอี๋เหนียงก็ยังคงเริงร่าอยู่ได้!

แม่นมวังไม่เข้าใจว่า "เหตุใดหรงอี๋เหนียงถึงได้ลงมือกับคุณหนูสี่" ความตายของคุณหนูสี่ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับเจ้าตัวแต่อย่างใด

หลิ่วอิ้นรู้สึกเป็นห่วงสติปัญญาของแม่นมวัง หรงอี๋เหนียงลงมือกับคุณหนูสี่ ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าเป็นการกระทำที่มุ่งเป้ามาที่เจ้านายของนาง

ชิวซื่อเกิดในตระกูลแม่ทัพใหญ่ สภาพแวดล้อมในบ้านเรียบง่าย ไม่เคยผ่านเรื่องราวการแก่งแย่งชิงดี เมื่อแต่งเข้ามาในจวนหันก็ต้องเผชิญหน้ากับหรงอี๋เหนียงผู้ช่ำชองการใช้เล่ห์เหลี่ยม ไม่รู้ว่าต้องยอมสูญเสียไปมากมายเพียงใด "เรื่องนี้พักไว้ก่อน หลิ่วอิ้น พรุ่งนี้ไปที่ห้องเก็บของ นำรังนกนางแอ่นสองกล่องที่ข้าเพิ่งได้มาไปส่งที่เรือนเล็กชิงจู๋" แม้แม่นมวังจะไม่ฉลาด แต่คำพูดของนางก็ไม่ผิด ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังร้อนใจเรื่องอาการป่วยของนายน้อยสาม เวลานี้ไม่เหมาะจะก่อเรื่องวุ่นวาย หากไปทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากริ้วโกรธคงไม่มีใครได้อยู่ดี

แม่นมโลวคนสนิทของฮูหยินผู้เฒ่ารู้ว่าอวี้ซีฟื้นแล้วในเช้าตรู่ของวันถัดมา เมื่อได้รับข่าวดีนี้ นางก็รีบไปบอกฮูหยินผู้เฒ่าหันทันที "คุณหนูสี่ฟื้นตั้งแต่เมื่อวานตอนเช้าแล้ว ได้ยินว่าพอฟื้นมาก็ทานโจ๊กไปสองชาม" แม่นมโลวคิดในใจว่าคุณหนูสี่ช่างโชคดีนัก หมอไม่มาแต่ก็ยังฟื้นได้ ผิดกับนายน้อยสามกลับที่ยังไม่ฟื้นจนถึงบัดนี้

ฮูหยินผู้เฒ่าได้รับข่าวนี้แล้วนิ่งเงียบพลางหมุนลูกประคำในมืออยู่นาน "หมอหลวงจางและหมอไป๋บอกว่าอาการของฮุ่ยเอ๋อร์เป็นอย่างไร"

แม่นมโลวลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนบอก "หมอหลวงจางและหมอใหญ่ไป๋บอกว่า หากนายน้อยสามยังไม่ฟื้นในวันนี้ ก็จะ..." ประโยคที่ว่าเตรียมจัดงานศพนั้น นางไม่กล้าพูดออกมา

มือที่หมุนลูกประคำของฮูหยินผู้เฒ่าหยุดชะงักลง ครู่ใหญ่ต่อมาค่อยพูดเสียงแผ่วเบา "เรื่องนี้ไม่ต้องบอกอวี้เฉิน" คุณหนูสามอวี้เฉินกับนายน้อยสามฮุ่ยเอ๋อร์เป็นฝาแฝด เมื่อไม่กี่วันก่อนที่อวี้เฉินรู้ว่าพี่ชายของตนติดฝีดาษ เจ้าตัวก็เป็นกังวลจนล้มป่วยตามไปด้วย

ฮูหยินผู้เฒ่าหันให้กำเนิดบุตรชายเพียงสองคน คนหนึ่งคือนายท่านหันจิ่งต๋ง อีกคนหนึ่งคือนายท่านสามหันจิ่งเยี่ยน นายท่านสามหันจิ่งเยี่ยนแต่งภรรยาแล้วสามคน ภรรยาคนแรกคือคุณหนูเจียงแห่งจวนผิงชิงโหว เป็นมารดาของอวี้เฉินและพี่ชาย ส่วนภรรยาคนที่สองคือหนิงซื่อซึ่งเป็นมารดาของอวี้ซี ทั้งสองคนล้วนเสียชีวิตจากการคลอดบุตร ภรรยาคนที่สามคืออู่ซื่อซึ่งนายน้อยสามหันจิ่งเยี่ยนได้แต่งงานด้วยเมื่อครั้งไปรับดำรงตำแหน่ง จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยเดินทางมาที่เมืองหลวง คนในจวนหันจึงรู้จักเพียงชื่อแต่ไม่รู้จักหน้า

หรงอี๋เหนียงรู้ว่าอวี้ซีไม่ตายก็โมโหเป็นฟืนเป็นไฟ "นังเด็กคนนี้ตายยากนัก" ติดฝีดาษแล้วก็ยังไม่ตาย ไม่เรียกว่าตายยากแล้วจะเรียกว่าอะไรได้อีก

สาวใช้อาจวนลดเสียงลง "หรงอี๋เหนียงเจ้าคะ อาฉงถูกส่งตัวไปแล้ว เกรงว่าเรื่องนั้นจะถูกฮูหยินใหญ่จับได้แล้ว"

หรงอี๋เหนียงหัวเราะเบาๆ "นางรู้แล้วจะเป็นอันใดไปเล่า" นางไม่เกรงกลัวชิวซื่อแม้แต่น้อย หากไม่ใช่เพราะฮูหยินผู้เฒ่า ชิวซื่อสิบคนก็หาใช่คู่ต่อสู้ของนาง

แม่นมฟางเห็นอวี้ซีทานโจ๊กข้าวฟ่างและพุทราจนหมดชามจึงพูดด้วยความดีใจ "คุณหนู หากเป็นเช่นนี้ต่อไป อีกไม่กี่วันร่างกายก็จะหายดีแล้ว"

อวี้ซียังไม่ทันได้พูดอะไรก็ได้ยินเสียงนกร้องใสแจ๋วมาจากด้านนอก ชวนให้อารมณ์นางแจ่มใสขึ้นมาทันที "แม่นม วันนี้อากาศดี ท่านเปิดประตูหน้าต่างให้หมดเลย" ด้านนอกแดดจ้า เปิดประตูหน้าต่างจะได้หายใจเอาอากาศบริสุทธิ์บ้าง

แม่นมฟางไม่ยอม "ด้านนอกลมแรง คุณหนูเพิ่งจะหายดี หากเปิดหน้าต่างแล้วโดนลมจนเป็นหวัดจะทำอย่างไร" สิ่งที่อวี้ซีไม่รู้คือเมื่อคืนนี้หลังจากนางหลับไป แม่นมฟางเข้ามาอยู่หลายครั้ง ทุกครั้งล้วนแต่แตะหน้าผากนางเพื่อดูว่ามีไข้หรือไม่ กระทั่งใกล้สว่างค่อยเข้าห้องครัวไปต้มโจ๊กให้

อวี้ซีไม่ยอมอ่อนข้อในเรื่องนี้ "แม่นม กลิ่นในห้องแรงเกินไป ข้ารู้สึกไม่สบาย" ไม่ได้เปิดหน้าต่างมาหลายวันแล้ว กลิ่นยาอบอวลไปทั่วห้อง ได้กลิ่นแล้วอึดอัดไม่น้อย

แม่นมฟางห้ามปรามอวี้ซีไม่อยู่ ได้แต่ทำตามคำอีกฝ่าย

เมื่อหมอลู่คนใหม่ที่จ้างมาเดินทางมาถึง หน้าต่างในห้องของอวี้ซียังคงเปิดค้างไว้ เขาไม่ได้ว่าอะไร ภายหลังตรวจชีพจรของอวี้ซีแล้วจึงบอก "ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ทานยาอีกไม่กี่ครั้งก็หายดีแล้ว" ทั้งที่เด็กคนนี้ดูร่างกายไม่แข็งแรง แต่คาดไม่ถึงว่าจะสามารถผ่านพ้นช่วงวิกฤตินี้ไปได้

อวี้ซีฟื้นตัวแล้ว ทว่าไม่ใช่สำหรับนายน้อยสาม

หมอจางตรวจชีพจรของนายน้อยสามแล้วออกไปคุยกับฮูหยินผู้เฒ่า "ฮูหยินผู้เฒ่า ข้าไร้ความสามารถแล้ว!" คำพูดนี้ไม่ต่างกับการบอกให้เตรียมจัดงานศพ

หมอไป๋เองก็บอกว่าตนเองได้พยายามเต็มกำลังแล้ว

ฮูหยินผู้เฒ่าบีบลูกประคำในมือแน่น ครู่ใหญ่ต่อมาจึงถามด้วยความยากลำบาก "ไม่มีหนทางใดเลยแล้วจริงๆ หรือ" แท้จริงฮูหยินผู้เฒ่าได้เตรียมใจไว้แล้ว แต่เมื่อมาถึงขั้นนี้ก็ยังไม่อาจทนรับไหว

หมอทั้งสองต่างก็บอกว่าแม้แต่ฮัวถวอ*มาเกิดใหม่ก็คงช่วยไม่ได้ ในความเป็นจริงนั้นผู้ที่ติดฝีดาษ ประการหนึ่งขึ้นอยู่กับหมอ ประการที่สองขึ้นอยู่กับโชคชะตา หากทั้งสองอย่างนี้ครบถ้วนจึงจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้

*ฮัวถวอ = แพทย์ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นศัลยแพทย์ผู้บุกเบิก มีชีวิตอยู่ในยุคสามก๊ก

อวี้เฉินรู้ว่าพี่ชายของตนเสียชีวิตแล้วก็เป็นลมไปทันที ในจวนโกลาหลวุ่นวายไปหมด กว่าจะสงบลงก็เกือบเที่ยงคืน

ชิวซื่อเป็นคนที่ยุ่งที่สุด นายน้อยสามเสียชีวิตตั้งแต่ยังเด็กจึงไม่สามารถจัดงานศพในจวนได้ แต่ก็ต้องเชิญนักบวชมาสวดทำพิธี ในเวลานี้มีผู้คนจำนวนมากในเมืองหลวงเสียชีวิต จึงไม่ใช่ว่าจะหานักบวชได้ง่ายๆ สิ่งเหล่านี้ยุ่งยากยิ่ง เหนื่อยล้าในการจัดการไม่น้อย ชิวซื่อสบโอกาสมีเวลาว่างถามแม่นมวัง "อวี้ซีเป็นอย่างไรบ้าง"

อีกฝ่ายตอบ "หมอบอกว่าคุณหนูสี่ไม่มีอาการน่าเป็นห่วงแล้ว ทานยาอีกไม่กี่ครั้งก็หายดี" นายน้อยสามผู้สูงศักดิ์ไม่รอดชีวิต แต่คุณหนูสี่ที่ไม่มีแม้แต่หมอคอยดูแลกลับรอดชีวิตมาได้ นี่นับว่าเป็นโชคชะตาโดยแท้

แม้ว่าชิวซื่อจะไม่พอใจแม่นมวังในหลายเรื่อง แต่ความจงรักภักดีของแม่นมวังนั้นไร้ข้อกังขา "คอยสอดส่องเรื่องราวต่างๆ ในจวนให้ดี อย่าให้ใครมาหาช่องโหว่ได้อีก" เรื่องราวเมื่อครั้งก่อนถือว่าเป็นบทเรียนแล้ว

แม่นมวังรีบขานรับ ช่วงนี้นางได้สั่งให้ห้องครัวเลือกของดีๆ ส่งไปที่เรือนเล็กชิงจู๋ ด้วยกลัวว่าจะเกิดเหตุผิดพลาดขึ้นอีก

อวี้ซีได้ยินข่าวการเสียชีวิตของนายน้อยสามกลับไม่รู้สึกประหลาดใจเลย นางรู้ผลลัพธ์นี้มานานแล้ว อวี้ซีมองผ้าห่มไหมสีแดงสดที่คลุมบนตัวตนแล้วเอ่ย "แม่นม เปลี่ยนผ้าห่มผืนนี้เป็นสีอ่อนๆ ที" แม้ในชาติก่อนจะไม่ได้เกิดเรื่องวุ่นวายจากผ้าห่มไหมผืนนี้ แต่บางเรื่องก็ควรระมัดระวังไว้ก่อน

เรือนเล็กชิงจู๋ตั้งอยู่ห่างไกลผู้คน เวลานี้เพิ่งแสดงให้เห็นถึงข้อดีของมันออกมา นั่นก็คือเรื่องราวของจวนหันจะไม่มารบกวนนาง ทำให้นางสามารถพักฟื้นได้อย่างสงบสุข

นอนอยู่บนเตียงมาสามวัน กระดูกนางแทบจะหลุดออกจากกันหมดแล้ว อวี้ซีฉวยโอกาสช่วงแม่นมฟางกำลังยุ่งอยู่ในห้องครัวและไม่ได้สนใจตน รีบสวมเสื้อผ้าแล้วเดินออกไป เมื่อเดินเข้ามาด้านในก็ได้กลิ่นหอม "แม่นมฟาง ท่านกำลังทำของอร่อยอยู่!"

แม่นมฟางตกใจมาก "คุณหนูเจ้าประคุณเอ๋ย ออกมาทำไมเจ้าคะ ลมแรงขนาดนี้ หากเป็นหวัดจะทำอย่างไร"

สาวน้อยหัวเราะ "แม่นมฟาง วันนี้ไม่มีลม ไม่เป็นไรหรอก แม่นมฟาง ข้าไม่เอาเรื่องร่างกายของตนเองมาล้อเล่นเด็ดขาด"

แม่นมฟางรู้สึกว่าคุณหนูกลับกลายเป็นคนเชื่อฟังและว่าง่ายขึ้นมากหลังล้มป่วยครั้งนี้จึงไม่กล้าขัดใจ "ได้เจ้าค่ะ แต่เดี๋ยวลมพัดมาต้องรีบเข้าห้องนะเจ้าคะ"

อวี้ซีพยักหน้า "ได้ แม่นม กลิ่นอะไรในครัวหอมจัง"

เสียงหัวเราะดังมาจากปากหญิงเฒ่า "วันนี้ห้องครัวส่งไก่แก่มาให้คุณหนูบำรุงร่างกาย ข้าเชือดแล้วตั้งเตาตุ๋นอยู่ อีกเดี๋ยวก็ได้กิน้แล้ว"

อวี้ซีได้กลิ่นหอมก็ท้องร้องโครกครากขึ้นมา ครั้นนึกถึงช่วงเวลาที่ต้องคอยหลบหนีเมื่อครึ่งเดือนก่อน ก็รู้สึกว่าชีวิตในตอนนี้ราวกับอยู่ในสวรรค์ ทว่าเมื่อถึงเวลาได้ซดน้ำแกงไก่ อวี้ซีกลับทำหน้าฉงน "แม่นม ทำไมไม่ใส่เกลือ"

อีกฝ่ายหัวเราะ "คุณหนูไม่รู้หรอก น้ำแกงไก่แก่กับเป็ดแก่ตุ๋นไม่ใส่เกลือถึงจะบำรุงร่างกายได้ดีที่สุด"

อวี้ซีประหลาดใจ "มีคำพูดแบบนี้ด้วยหรือ ใครเป็นคนพูด"

แม่นมฟางขำ "คนเฒ่าคนแก่ว่ากันมา คนรุ่นก่อนพูดไว้ย่อมไม่ผิดแน่ คุณหนู น้ำมันในแกงนี้ข้าตักออกหมดแล้ว ไม่มัน คุณหนูทานเยอะๆ นะเจ้าคะ"

เห็นอวี้ซีทานเนื้อไก่และน้ำแกงหมดชาม แม่นมฟางก็ยิ้มกว้างจนแทบหุบปากไม่ลง "คุณหนู ข้าจะนวดท้องให้คุณหนู"

อวี้ซีไม่ใช่เด็กอายุสี่ขวบจริงๆ ไหนเลยจะยอมให้แม่นมฟางมานวดท้องให้ "ไม่ต้อง ข้าเดินไปเดินมาสักหน่อยก็หายแล้ว"

เมื่อสบายใจแล้วก็ไม่เลือกกินอีกต่อไป ผ่านไปไม่กี่วันร่างกายก็แข็งแรงขึ้น ไม่ผอมแห้งเหมือนไม้เสียบผีอีกต่อไป การเปลี่ยนแปลงของอวี้ซีทำให้แม่นมฟางชื่นใจเป็นอย่างมาก คอยพูดอยู่ตลอดเวลาว่ามีฮูหยินบนสวรรค์คอยคุ้มครอง

เทียบกับอวี้ซีที่อ้วนท้วนขึ้นมาก ฮูหยินใหญ่ชิวซื่อกลับผ่ายผอมลงไปมากเพราะความเหนื่อยล้า ช่วงนี้นอกจากนางจะต้องจัดการเรื่องต่างๆ ในจวนแล้ว ยังต้องดูแลคนป่วยอีกด้วย

หมอหลวงจางพูดกับชิวซื่อที่มีท่าทีกังวลใจไม่น้อย "ฮูหยินใหญ่วางใจได้ อาการฮูหยินผู้เฒ่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว เพียงแต่นางอายุเยอะแล้ว ไม่ควรคิดมาก โศกเศร้า หรือดีใจจนเกินไป" ความโศกเศร้าหรือดีใจจนเกินไปล้วนไม่ดีต่อร่างกายของผู้สูงอายุจริง ๆ

นางโล่งใจหลังได้ยินหมอบอกว่าฮูหยินผู้เฒ่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว ทว่าก็ยังถามต่อ "คุณหนูสามเป็นอย่างไรบ้าง"

หมอหลวงจางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบ "คุณหนูสามนั้นเป็นโรคทางใจ เมื่อทำใจได้แล้วก็จะหายจากโรคไปเอง" โรคทางใจนั้นไม่สามารถรักษาด้วยยาได้

ชิวซื่อฟังคำนี้แล้วสิ้นหวัง นางปลอบไปหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่ได้ผล ยามนี้ได้แต่หวังว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะสามารถเกลี้ยกล่อมคุณหนูสามได้

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด